เปรียบเทียบสเปค AirPods 3 vs AirPods Pro 2 ต่างกันอย่างไรและควรเลือกซื้อรุ่นไหนดีให้เหมาะกับตัวเองในปี 2023
AirPods นั้นถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใครหลายคนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดี ด้วยดีไซน์และเทคโนโลยีไร้สายที่มีมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของหูฟังไร้สายแบบเสียบหู และในตอนนี้ก็มีหลากหลายรุ่นให้เลือกซื้อกัน แต่ว่ารุ่นที่มีคนให้ความสนใจกันหลักๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นรุ่นใหม่อย่าง AirPods Pro 2 และ AirPods 3 ที่ถือว่าเป็นรุ่นล่าสุดของรุ่นธรรมดากับรุ่นโปรแล้ว โดยทั้งสองรุ่นนี้ทั้งด้านการใช้งาน สเปค รูปแบบการดีไซน์ต่างๆ ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าหลายคนที่กำลังเล็งๆ จะซื้ออยู่ก็ต้องมีการชั่งใจและอยากรู้ว่าทั้งสองรุ่นนี้มันต่างกันอย่างไรบ้าง และจะซื้อรุ่นไหนดีให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด อีกอย่างก็คือราคาของทั้งสองรุ่นก็ห่างกันพอสมควรเลย ถ้าซื้อแล้วไม่ถูกใจอาจจะเกิดความเสียดายขึ้นมาได้ วันนี้ทาง Specphone เลยจะมาเปรียบเทียบสเปค AirPods 3 vs AirPods Pro 2 ว่าทั้งสองรุ่นนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และเราควรเลือกซื้อรุ่นไหนดีให้เหมาะกับตัวเองในปี 2023
เปรียบเทียบสเปค AirPods 3 vs AirPods Pro 2
สรุปว่า AirPods 3 vs AirPods Pro 2 ควรซื้อรุ่นไหนดี
ดีไซน์หูฟังและเคสคนละแบบคนละสไตล์
เริ่มที่การเปรียบเทียบสเปค AirPods 3 vs AirPods Pro 2 กับตัวหูฟังและการดีไซน์การใช้งานกันก่อนเลย ที่ต้องบอกว่าทั้งสองรุ่นนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญหลักๆ ในการใช้งานเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่นับรวมเคสชาร์จที่มีขนาดความสั้นสูงยาวแตกต่างกัน ที่รุ่นโปรนั้นจะยาวกว่าและมีน้ำหนักมากกว่าหน่อย และมีไฟ LED เหมือนกัน
จุดหลักๆ ก็คือตัวหูฟังเองนั่นแหละที่ต่างกันเยอะที่สุด อย่างแรกเลยคือขนาดทั้งคู่มีความต่างกันเล็กน้อย แต่จุดที่สังเกตได้ชัดเจนคือ AirPods 3 จะเป็นหูฟังแบบ Earbuds หรือพูดง่ายๆ ก็คือหูฟังแบบเสียบหูทั่วไป ไม่มีจุกยาง แต่อาจจะไม่ค่อยพอดีกับหูของบางคน และทำให้หลุดร่วงได้ง่าย (หากไม่พอดี) จึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไป ใช้ทำงานหรือไม่ได้ขยับตัวแรงๆ อย่างการออกกำลังกาย แต่จากการใช้งานจริงก็ไม่ได้หลุดร่วงง่ายขนาดนั้นถ้าพอดีกับหู และไม่ได้เล่นกิจกรรมรุนแรงนะ
ส่วนตัวหูฟังของ AirPods Pro 2 จะเป็นแบบ In-Ear หรือหูฟังแบบสอดเข้าไปในหูแบบแน่นกระชับ มีจุกยางที่เลือกขนาดให้พอดีกับรูหูได้ สามารถปิดเสียงภายนอกได้ดีกว่าและไม่หลุดร่วงง่าย จึงเหมาะกับการใช้งานในทุกๆ ด้านทั้งใช้งานทั่วไป และการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมทุกรูปแบบ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการใช้งานได้ง่ายกว่า เพราะรุ่นโปรสามารถเลื่อนขึ้นหรือลงเพื่อปรับระดับเสียงได้ที่ตัวหูฟังเลย ในขณะที่รุ่น AirPods 3 จะต้องปรับเองจากอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมด้วยเช่น iPhone ส่วนการกันเหงื่อและน้ำสามารถป้องกันได้ทั้งตัวหูฟังและเคสชาร์จเหมือนกันที่ระดับ IPX4
AirPods (รุ่นที่ 3) AirPods Pro (รุ่นที่ 2) ขนาด
(สูงxกว้างxหนา)หูฟัง
30.79×18.26×19.21 มม.
เคสชาร์จ
46.4×54.4×21.38 มม.หูฟัง
30.9×21.8×24 มม.
เคสชาร์จ
45.2×60.6×21.7 มม.น้ำหนัก หูฟัง
4.28 กรัม
เคสชาร์จ
37.91 กรัมหูฟัง
5.3 กรัม
เคสชาร์จ
50.8 กรัมรูปแบบหูฟัง Earbuds
ไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่ง
และหันเข้าด้านในIn-Ear
ไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่ง
และหันเข้าด้านในการควบคุม เซ็นเซอร์แรงกด การควบคุมแบบสัมผัส
(เลื่อนขึ้นลงปรับระดับเสียง)เคสชาร์จ Lightning
หรือ
MagSafeLightning, MagSafe
มีลำโพง
และช่องคล้องสายทนเหงื่อและน้ำ IPX4 IPX4 อุปกรณ์อื่นๆ – จุกหูฟังซิลิโคน 4 ขนาด
ชิปต่างกัน ฟีเจอร์การใช้งานก็ยิ่งต่างกัน
มาดูที่จุดหลักอีกหนึ่งจุดสำคัญของการเปรียบเทียบสเปค AirPods 3 vs AirPods Pro 2 นั่นก็คือชิปประมวลผล เซ็นเซอร์และฟีเจอร์การใช้งาน ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหลักในการเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างที่เหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นโปรกว่าจึงทำให้ฟีเจอร์ต่างๆ ทำได้ดีกว่าเห็นๆ โดยรุ่น AirPods 3 นั้นได้ใช้ชิป H1 ที่มีไดรเวอร์แบบไดนามิกทำให้ได้เสียงเบสหนักแน่น พร้อม EQ แบบปรับได้เองได้ตามสไตล์ของตัวเอง อีกทั้งยังมีระบบเสียงตามตำแหน่ง พร้อมการติดตามการเคลื่อนไหวของหัวเราแบบไดนามิก ทำให้เสียงอยู่ออกมาแบบ 3 มิติหรือเหมือนมีเสียงอยู่รอบตัวนั่นเอง นอกจากนี้ตัวไมโครโฟนยังช่วยลดเสียงลมและเสียงรบกวนได้อีกด้วย ส่วนการใช้งานสามารถบีบได้ 1-3 ครั้งหรือบีบค้างไว้เพื่อเรียก Siri
ส่วนทางด้านของ AirPods Pro 2 นั้นก็มาเหนือกว่าด้วยชิป H2 ทั้งประหยัดพลังงานและประมวลผลเสียงได้ดีเยี่ยม กับชิป Apple U1 ในเคสชาร์จที่สามารถติดตามและมีลำโพงเพื่อส่งเสียงได้ด้วย ซศึ่งจุดที่เหมือนกับรุ่นธรรมดาก็คือมีไดรเวอร์แบบไดนามิกที่ให้เสียงออกมาทั้งเบสและอื่นๆ หนักแน่น กับ EQ แบบปรับได้เองได้ และระบบเสียงตามตำแหน่งที่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของหัวเราได้ ทำให้เสียงออกมาเป็น 3 มิติ และมมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างก็คือรุ่นโปรมีการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ ที่สามารถตัดเสียงภายนอกได้แบบเงียบสุดๆ และยังมีโหมดฟังเสียงภายนอกที่ปรับตามสภาวะ โดยจะปรับให้เลยถ้ามีเสียงดังมากๆ อย่างเสียงไซเรนหรือเครื่องจักร ทำให้เราได้ยินเสียงรอบตัวอื่นๆ ได้สบายๆ นอกจากนี้ยังมีระบบช่องระบายอากาศเพื่อการรักษาแรงดันให้เท่ากัน และสามารถเพิ่มเสียงสนทนาได้อีกด้วย ส่วนการใช้งานสามารถกดได้ 1-3 ครั้งและบีบเพื่อเปลี่ยนโหมดตัดเสียงรบกวนและโหมดฟังเสียงภายนอก พร้อมกับการสัมผัสเลื่อนขึ้นลงปรับระดับเสียง
AirPods (รุ่นที่ 3) AirPods Pro (รุ่นที่ 2) ชิป H1 H2
Apple U1 ในเคสชาร์จเซ็นเซอร์ ตรวจจับผิวหนัง
ตรวจจับการเคลื่อนไหว
และจากการพูด
ใช้แรงกดตรวจจับผิวหนัง
ตรวจจับการเคลื่อนไหว
และจากการพูด
ใช้แบบสัมผัสฟีเจอร์ เสียงฟังสด
ระดับของหูฟัง
การช่วยปรับหูฟัง
EQ ปรับได้เอง
ไดรเวอร์ High-excursion
ตัวขยายสัญญาณช่วงไดนามิกสูง
ระบบเสียงตามตำแหน่ง
การติดตามศีรษะแบบไดนามิก
หวัดดี Siriเสียงฟังสด
ระดับของหูฟัง
การช่วยปรับหูฟัง
เพิ่มเสียงสนทนา
EQ ปรับได้เอง
ไดรเวอร์ High-excursion
ตัวขยายสัญญาณช่วงไดนามิกสูง
ระบบเสียงตามตำแหน่ง
การติดตามศีรษะแบบไดนามิก
ตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ
โหมดฟังเสียงภายนอกปรับตามสภาวะ
ระบบระบายอากาศเพื่อรักษาแรงดันให้เท่ากัน
หวัดดี Siriการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 Bluetooth 5.3
แบตเท่ากันแต่การใช้งานก็ไม่เท่ากัน
สุดท้ายคือการเปรียบเทียบสเปค AirPods 3 vs AirPods Pro 2 ที่แบตเตอรี่และการใช้งาน ที่บอกว่าแบตเท่ากันก็คือทั้งสองรุ่นนั้นสามารถใช้ฟังได้นานสูงสุด 6 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ว่าเมื่อเปิดใช้งานระบบเสียงตามตำแหน่งแล้วรุ่น AirPods 3 จะใช้งานได้เพียง 5 ชั่วโมงแต่รุ่นโปรใช้ได้ถึง 5.5 ชั่วโมง รวมไปถึงการใช้เพื่อพูดคุยรุ่น AirPods 3 ก็ทำได้ 4 ชั่วโมงแต่ว่า AirPods Pro 2 นั้นทำได้นานกว่าถึง 4.5 ชั่วโมง โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่องต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ส่วนการใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ ทั้งสองรุ่นสามารถใช้ฟังได้นานสุด 30 ชั่วโมง และเมื่อใส่ชาร์จไป 5 นาที ก็สามารถฟังต่อได้นานประมาณ 1 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ว่าการใช้เพื่อพูดคุยรุ่น AirPods 3 ทำได้ 20 ชั่วโมงในขณะที่ AirPods Pro 2 ทำได้ถึง 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วยว่าใช้งานมากน้อยแต่ไหน เพราะอาจจะไม่ได้เป๊ะๆ ตามเวลาเท่ากันทุกคน ส่วนราคาทั้งสองรุ่นมีความต่างกันพอสมควรเลย แต่ก็ไม่ได้ถือว่าห่างกันมากนักตามตารางด้านล่าง
AirPods (รุ่นที่ 3) AirPods Pro (รุ่นที่ 2) แบตเมื่อใช้งานหูฟัง ฟังได้สูงสุด 6 ชม.
ใช้ระบบเสียงตามตำแหน่ง 5 ชม.
พูดคุย 4 ชม.ฟังได้สูงสุด 6 ชม.
ใช้ระบบเสียงตามตำแหน่ง 5.5 ชม.
พูดคุย 4.5 ชม.แบตเมื่อใช้งานกับเคสชาร์จ ฟังได้สูงสุด 30 ชม.
ใส่เคส 5 นาทีฟังต่อได้ 1 ชม.
พูดคุย 20 ชม.ฟังได้สูงสุด 30 ชม.
ใส่เคส 5 นาทีฟังต่อได้ 1 ชม.
พูดคุย 24 ชม.ราคา เคสชาร์จ Lightning
6,790 บาท
เคสชาร์จ MagSafe
6,990 บาท8,990 บาท
สรุปว่า AirPods 3 vs AirPods Pro 2 ควรซื้อรุ่นไหนดีให้เหมาะกับตัวเอง
ข้อสรุปในการเปรียบเทียบสเปค AirPods 3 vs AirPods Pro 2 จะเห็นได้ว่ารูปแบบการใช้งานของทั้งสองรุ่นนี้มีความแตกต่างกันเยอะทีเดียว อย่างแรกก็ต้องดูก่อนว่าเราอยากได้หูฟังมาใช้งานแบบไหน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ได้เน้นการใช้งานที่มากนักหรือว่าเอามาไว้ฟังเพลง รับสายคุยได้ทั่วไปในออฟฟิศ หรือว่าในบ้านของตัวเองไม่ได้ออกไปข้างนอกแนะนำว่า AirPods 3 ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว อีกทั้งยังมีราคาที่ประหยัดกว่าด้วย แต่ถ้าใครอยากได้หูฟังที่เหมาะกับการออกกำลังกายทั้งวิ่งและกีฬาอื่นๆ (ไม่รวมว่ายน้ำ) หรือว่าเป็นคนที่ต้องทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ รวมไปถึงคนที่ต้องการฟีเจอร์การใช้งานที่หลากหลายกว่าแนะนำว่า AirPods Pro 2 จะเหมาะที่สุด นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนขี้ลืมด้วยเพราะเคสชาร์จสามารถกดค้นหาตำแหน่งได้ว่าอยู่ทีไหน แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบและความพึงพอใจของแต่ละคนด้วยว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลเปรียบเทียบ AirPods 3 vs AirPods Pro 2 ทั้งหมดจาก Apple