
หลังจากการเปิดตัว iPhone 16e ก็เรียกว่าเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจมากทีเดียว กับประเด็นของความคุ้มค่าจากสิ่งที่ได้ เมื่อเทียบกับราคาเครื่อง ด้วยการเปิดราคาศูนย์ไทยเริ่มต้นมาที่ 22,900 บาท ในขณะที่รุ่นหลักอย่าง iPhone 16 นั้นมีราคาอยู่ที่ 29,900 บาท ไม่นับว่าเริ่มมีส่วนลดจนทำให้ส่วนต่างลดลงไปอีก รวมถึงยังมีอีกหนึ่งทางเลือกก็คือการหา iPhone 15 Pro มือสองสภาพดี ที่ราคาก็จะอยู่ประมาณ 24,000 – 27,000 บาท เท่านั้น แต่ได้สเปคอลังการกว่ามาก โดยเฉพาะกล้อง
ในบทความนี้เราก็จะมาดูจุดเด่น จุดด้อยของ iPhone แต่ละรุ่นกัน เพื่อให้เห็นว่ารุ่นไหนน่าจะเหมาะกับโจทย์การใช้งานแบบใด ซึ่งถ้าได้เครื่องที่ตรงโจทย์ ก็จะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับการใช้งานของแต่ละท่านนั่นเอง

iPhone 16e
เป็น iPhone รุ่นที่มีจุดเด่นหลัก ๆ คือสร้างความเปลี่ยนแปลงในแง่ของภาพลักษณ์แบรนด์ และการวางตำแหน่งในซีรีส์ของ iPhone จากแต่เดิมจะมีการแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- กลุ่มเครื่องรุ่นปกติ เจ็นล่าสุด เช่น iPhone 16
- กลุ่มเครื่องรุ่นโปร เจ็นล่าสุด เช่น iPhone 16 Pro
- กลุ่มเครื่องรุ่นก่อนหน้าที่ยังวางขายอยู่ แบบลดราคาลงมา เช่น iPhone 15
- กลุ่มรุ่น SE เช่นก่อนหน้านี้ก็จะเป็น iPhone SE รุ่นที่ 3
ซึ่งการแบ่งสินค้าในลักษณะนี้ อาจจะทำให้เกิดมุมมองว่า SE เป็นรุ่นที่แยกออกไปจากพวกอย่างชัดเจน เป็นรุ่นพิเศษที่สเปคสูงแต่ดีไซน์แตกต่างจากรุ่นปกติ ซึ่งอีกนัยหนึ่งมันก็เข้ากับรูปร่างหน้าตาเครื่องที่จัดว่าเป็นซีรีส์พิเศษก็ได้อยู่ แต่พอมาในปัจจุบัน Apple ปรับดีไซน์ของรุ่น SE มาใช้โครงสร้างและชิ้นส่วนรูปแบบเดียวกับ iPhone รุ่นหลักซึ่งไม่มีปุ่มโฮมแล้ว ทำให้ iPhone ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันจะกลายเป็นดีไซน์ลักษณะเดียวกันทั้งหมด ดังนั้นการที่จะยังใช้ชื่อแยกว่าเป็น SE อยู่ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
ส่วนของการเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า iPhone 16e ก็น่าจะช่วยในแง่ของการแบ่งเจ็นให้ชัดเจนว่ามันคือกลุ่มเดียวกับ iPhone 16 นี่แหละ ชิปก็เป็น A18 เหมือนกัน (แต่มีความต่างที่องค์ประกอบภายใน) ทำให้มองว่าก็ยังเป็นหนึ่งใน iPhone รุ่นล่าสุดเหมือนกัน สามารถซื้อไปใช้ได้แบบไม่ต้องกลัวตกรุ่น และอีกหนึ่งเรื่องที่อาจต้องรอติดตามต่อก็คือว่าในปีหน้า Apple จะออก iPhone 17e ตามมาหรือไม่ ถ้ามี ก็เป็นไปได้ว่าต่อไปนี้จะมีการเปิดตัวรุ่น e แบบรายปี ซึ่งก็มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นได้เหมือนกัน ตราบใดที่ชิ้นส่วนหลัก ๆ ของ iPhone แต่ละรุ่น เช่น บอดี้ ชิป ชุดกล้องยังใช้ดีไซน์รูปทรงเดิมอยู่
ทีนี้มาดูเรื่องสเปคกันบ้าง กับราคาเริ่มต้น 22,900 บาท สิ่งที่ได้และถือว่าเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจของ 16e มีดังนี้
- ได้ชิป A18 รุ่นล่าสุด แต่จะมี GPU เพียง 4 คอร์ (iPhone 16 มี 5 คอร์) แรม 8GB
- รองรับ Apple Intelligence
- หน้าจอขยับขึ้นมาเป็น 6.1″ Super Retina XDR (OLED) เหมือนรุ่นหลักแล้ว
- กล้องหลังความละเอียดสูงขึ้นมาเป็น 48MP มีโหมด portrait รองรับการซูม 2 เท่า
- แบตเตอรี่ใช้ได้นานขึ้น และอาจจะนานกว่ารุ่นหลักด้วย
- ใช้ชิปโมเด็ม C1 ของ Apple เองเป็นรุ่นแรก
แต่จุดที่หลายคนลงความเห็นกันว่าค่อนข้างน่าเสียดายหน่อย ก็เช่น
- กล้องหลังยังคงมีเพียงเลนส์เดียวอยู่ และเซ็นเซอร์รับภาพขนาดเล็กลงกว่ารุ่นหลัก
- ถ่ายภาพมาโครไม่ได้ เพราะไม่มีเลนส์อัลตร้าไวด์
- ไม่รองรับ MagSafe แต่ยังชาร์จไร้สายแบบ Qi ได้
- ไม่มี Always On Display (ที่มีเฉพาะในรุ่นโปร)
- ความสว่างจอน้อยกว่ารุ่นหลัก
- ไม่มี Ultra-wide band (UWB) และไม่รองรับโครงข่าย Thread สำหรับทำสมาร์ตโฮม
ซึ่งจากจุดเด่นและจุดที่ขาดเหล่านี้ น่าจะทำให้ iPhone 16e เหมาะกับผู้ที่ต้องการ iPhone ซักเครื่องมาใช้เป็นสมาร์ตโฟนแบบทั่ว ๆ ไป ไม่ได้เน้นอะไรเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องตามเทรนด์ หรือใช้อุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวกในบางสถานการณ์มากนัก เช่นระบบการชาร์จไร้สาย การถ่ายรูปก็ต้องการแค่ถ่ายทั่วไป ซูมได้นิดหน่อย แต่ก็ยังได้ภาพที่ค่อนข้างคมชัดอยู่ แต่ต้องการเน้นด้านประสิทธิภาพว่าต้องเร็วประมาณหนึ่ง รองรับการสนับสนุน สามารถอัปเดต iOS ไปได้อีกหลายปี ที่จะทำให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้แอปสำคัญ เช่น แอปธนาคารไปได้อีกนาน ไม่โดนตัดการสนับสนุนภายในเวลาอย่างต่ำ ๆ ก็ 5 ปีแน่นอน เพราะอย่างตอนนี้ iPhone XS ที่เปิดตัวในปี 2018 ก็ยังสามารถอัปเดตมาใช้ iOS 18 ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุดได้อยู่ แม้ความเร็วจะตกลงไปบ้าง แต่ก็ยังใช้แอปสำคัญๆ ได้ แต่ก็แลกด้วยกับฟีเจอร์ใหม่ที่อาจจะมีมาให้ใช้งานไม่ครบ
หรืออีกทางหนึ่งก็คือใช้เป็นเครื่องสำหรับทดสอบ ใช้เป็น iPhone เครื่องรองก็ทำได้สบาย ด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น ชิปใหม่ล่าสุด รวมถึงพอร์ตชาร์จก็ใช้เป็น USB-C ที่สามารถหาสายชาร์จ หาอุปกรณ์เสริมมาใช้งานได้ง่ายกว่าตอนใช้ Lightning มาก จะทดสอบการทำงานกับ Apple Intelligence ก็ทำได้โดยไม่ต้องซื้อรุ่นที่ราคาสูงกว่านี้ เรียกว่าถ้าโจทย์ความต้องการในมือถือใหม่ของคุณอยู่ในกลุ่มลักษณะข้างต้นนี้ iPhone 16e จัดว่าเป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว ก็บางทีเราต้องการใช้แค่นี้ จะซื้อรุ่นที่แพงกว่า แต่ให้ของมาเกินความจำเป็นมันก็เกินงบไป
ส่วนเรื่องราคา ถ้ามองว่าตอนนี้ยังสูงไป เดี๋ยวก็มีจัดโปรโมชันครับ ไม่ว่าจะจากหน้าร้านหรือจากโค้ดส่วนลดต่าง ๆ ราคาที่น่าสนใจจึงน่าจะอยู่ในช่วงสองหมื่นนิด ๆ หรือหมื่นปลายในรุ่นความจุ 128GB ซึ่งน่าจะกดในราคานี้ได้ไม่ยากนัก แถมถ้าซีเรียสแบบอยากได้ราคาถูกจริง ๆ แบบต่างกันหลักร้อยหลักพันก็ลองดูในตลาดมือสองได้ ตอนนี้วิ่งกันอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 21,500 บาท เครื่องสภาพใหม่แน่ ๆ เพราะเพิ่งวางขายในไทยเอง
iPhone 16
รุ่นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนำมาเทียบกับ 16e ได้เลยก็คือ iPhone 16 รุ่นปกติที่มีขนาดหน้าจอเท่ากัน แต่ราคาปรับลดลงมาจากตอนเปิดตัว iPhone 15 ที่ 32,900 บาท ลงมาอยู่ที่ 29,900 บาท ซึ่งเทียบแล้วก็จะสูงกว่าราคาตั้งต้นของ 16e อยู่ที่ 7,000 บาท โดย 7,000 บาทนี้ สิ่งที่จะได้เพิ่มเข้ามาใน iPhone 16 เมื่อเทียบกับ 16e มีดังนี้
- GPU มากกว่า 1 คอร์
- มีปุ่มควบคุมกล้องเพิ่มเข้ามาด้านข้าง
- กล้องหลังคู่ เซ็นเซอร์กล้องหลักใหญ่กว่า มีเลนส์อัลตร้าไวด์มาให้ รองรับการถ่ายมาโคร ถ่าย spatial ได้ มีโหมด Cinematic และโหมดแอ็คชั่น
- มี Dynamic Island
- มี MagSafe และรองรับ Qi2
- รองรับ Wi-Fi 7, UWB 2, Thread
ซึ่งโดยสรุปแล้ว สิ่งที่ทำให้ iPhone 16 เหนือว่า 16e คือจะเป็นส่วนของกล้อง และสเปคที่รองรับกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้ตัวเครื่องสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายกว่า สามารถใช้ถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอได้หลายรูปแบบ ไล่ตั้งแต่มุมกว้างพิเศษ มุมปกติ มุมเจาะที่ได้ความคมชัด ไปจนถึงการถ่ายใกล้ ๆ ระดับมาโครก็ยังสามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Photographic Style ที่ให้ผู้ใช้สามารถสร้างและปรับแต่งฟิลเตอร์ภาพถ่ายได้ง่าย โดนใจสายถ่ายรูป สายเน้นคุมโทนภาพ ส่วนในเชิงเทคนิค ก็มีความเป็นไปได้ที่ภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 16 อาจจะดูมีมิติที่ดีกว่า 16e ด้วยขนาดของเซ็นเซอร์รับภาพที่ใหญ่กว่า การรับแสงก็ทำได้ดีกว่าด้วย
ส่วนฟีเจอร์ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มของการเพิ่มความสะดวก เช่น การรองรับ MagSafe ที่ช่วยให้สามารถชาร์จไร้สายกับแท่นแม่เหล็กได้ง่าย อุปกรณ์เสริมก็มีให้เลือกเยอะ ทั้งพวกกระเป๋าใส่บัตร พาวเวอร์แบงค์ ขาตั้งกล้อง เป็นต้น การเชื่อมต่อไร้สายก็หลากหลายกว่า สามารถใช้ร่วมกับ AirTag ได้ดี
ทำให้โดยรวมแล้ว iPhone 16 จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการ iPhone ซักเครื่องที่มีความสามารถครอบคลุมหลาย ๆ ด้าน ใช้ถ่ายรูปเล่นได้สบาย (ถ้าไม่เน้นซูมไกล) ใช้งานได้นานหลายปี ด้วยสเปคที่รองรับอนาคตได้สบาย และน่าจะเป็นสเปคพื้นฐานสำหรับ iPhone รุ่นต่อไปในอนาคตด้วย อีกทั้งเมื่อพิจารณาในแง่ของราคา ที่ตอนนี้สามารถหาเครื่องใหม่มือหนึ่งจากร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แบบไม่ติดสัญญาในแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ในราคาเริ่มที่ 26,900 บาท ซึ่งเท่ากับว่าส่วนต่างกับ 16e ก็อยู่ที่ 4,000 บาทเท่านั้น ตรงนี้ส่วนตัวผมมองว่าถ้าสนใจ 16e อยู่ การขยับมาเป็น 16 ดูน่าจะคุ้มกว่า เมื่อมองจากสิ่งที่ได้เพิ่มเข้ามา เพราะล้วนแต่เป็นสิ่งที่หาซื้อเติมทีหลังไม่ได้แทบทั้งนั้น
แต่ก็จะมีจุดที่ทำให้เกิดความคาใจอยู่ก็คือด้วยราคาสองหมื่นกลาง ๆ แต่ได้จอ 60Hz แถมกล้องหลังก็มีแค่ 2 เลนส์ ซึ่งเมื่อมองในตลาด ด้วยงบที่เท่ากัน แต่ฝั่ง Android คือได้สเปคระดับน้อง ๆ หรืออดีตเรือธงสเปคแรง กล้องแจ่มแล้ว ส่วนถ้ามองแค่เฉพาะฝั่ง iPhone เอง ก็จะมีผู้ท้าชิงคือ iPhone 15 Pro มือสองที่ราคาใกล้เคียงกันมาก ๆ อยู่ แต่กลบจุดด้อยหลักของ iPhone 16 ได้สบาย
iPhone 15 Pro มือสอง
รุ่นสุดท้ายที่มักถูกนำมาเทียบกับ iPhone 16e ก็คือ iPhone 15 Pro มือสอง เนื่องจากราคาในตลาดมือสองเช่นใน Facebook Marketplace นั้นอยู่ในช่วงสองหมื่นกลาง ๆ ที่ก็ต่างจาก 16e มือหนึ่งไม่ถึงห้าพันบาท แต่สเปคที่ได้ต้องบอกว่าต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจาก 15 Pro จริง ๆ แล้วก็คืออดีตรุ่นท็อปของสายหน้าจอ 6.1″ เลย โดยสิ่งที่เหนือกว่า 16e มีดังนี้
- หน้าจอ ProMotion 120Hz รองรับ Always On Display
- ขอบเครื่องทำจากไทเทเนียม
- ประสิทธิภาพของชิป A17 Pro ยังสูงกว่า A18 ในบางจุด
- กล้องหลังสามเลนส์ มีเลนส์อัลตร้าไวด์และเลนส์เทเลเพิ่มเข้ามา พร้อมมีเซ็นเซอร์ LiDAR ช่วยในการถ่ายรูปในที่มืด
- พอร์ต USB-C รองรับ USB 3 ถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า สามารถถ่ายวิดีโอไฟล์ raw แบบ ProRes แบบให้บันทึกไฟล์ลงใน external SSD โดยตรงได้เลย
- มี MagSafe
- รองรับ Wi-Fi 6E, UWB 2 และ Thread
จากข้างต้น แน่นอนว่าสิ่งที่จัดว่าเป็นฟีเจอร์เด็ดสุดที่ทำให้หลายคนมองว่า iPhone 15 Pro มือสองยังน่าเล่นกว่า 16e ก็คือหน้าจอรีเฟรชเรต 120Hz ที่แทบจะกลายเป็นสเปคมาตรฐานของสมาร์ตโฟนตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไปแล้ว ทำให้การที่จะต้องจ่ายเงินมากกว่า 20,000 บาทเพื่อซื้อมือถือเครื่องใหม่ที่ได้จอ 60Hz ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ สู้ยอมถอยมาเป็นรุ่นเก่ากว่ากันปีนึง แต่ได้จอดี กล้องก็ครบ ๆ กว่า แถมสเปคเองก็ยังจัดว่าแรงและใหม่มากอยู่ สามารถใช้งานต่อไปได้อีกหลายปี นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ iPhone 15 Pro ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ และเหมาะกับผู้ที่ต้องการ iPhone มาใช้ถ่ายรูป ใช้ถ่ายงาน (ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ร้อนจนเกินไป) หรือจะนำมาใช้เป็นเครื่องปกติก็ได้เช่นกัน
ส่วนอาการประจำรุ่น หลัก ๆ แล้วจะเป็นประเด็นของความร้อนสะสมขณะใช้งานหนัก เช่น การเล่นเกม การถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอนาน ๆ การใช้งานกลางแจ้งที่อากาศร้อน ซึ่งหากเครื่องร้อนก็จะทำให้ประสิทธิภาพลดลง หน้าจอมืดลง หรือหนักสุดถ้าร้อนจัด ๆ ก็อาจจะทำให้เครื่องดับไปได้เลย ซึ่งก็ต้องรอให้เครื่องเย็นลง จึงจะสามารถเปิดขึ้นมาใช้งานต่อได้ ดังนั้น iPhone 15 Pro จึงอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่ต้องการซื้อมาใช้เล่นเกมติดต่อกันนาน ๆ ซื้อมาถ่ายวิดีโอ ถ่ายไลฟ์กลางแจ้ง หากจำเป็นต้องใช้ก็อาจจะเหมาะกับการถ่ายในห้องแอร์ หรือมีการติดอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยระบายความร้อนเพิ่มเติม
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นเครื่องมือสอง ขั้นตอนการตรวจสอบเครื่องก่อนจ่ายเงินก็จะต้องรัดกุมมากขึ้นไปอีก โดยจุดที่ต้องเช็คหลัก ๆ เลยก็เช่นแบตเตอรี่ว่าสุขภาพแบตเป็นอย่างไร รอบชาร์จเท่าไหร่แล้ว เพราะเผื่อจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตอีก โดยหากเป็นเครื่องที่เจ้าของเก่าใช้งานแบบปกติ ก็ควรจะเหลือเปอร์เซ็นต์แบตราว ๆ 92% ขึ้นไป แล้วแต่การใช้งานและอายุเครื่อง ข้อต่อมาที่ต้องตรวจสอบก็คือหน้าจอว่ามีการแสดงผลที่ผิดปกติหรือไม่ และสุดท้ายคือเรื่องระยะเวลาการรับประกัน ที่บางเครื่องอาจจะยังมีเหลือบ้าง หรือที่ดีหน่อยก็คือมี AppleCare+ ติดมาด้วย
สรุป ซื้อ iPhone รุ่นไหนดี?
หลังจากที่ได้ทราบจุดเด่น จุดด้อยของ iPhone 16e, iPhone 16 และ iPhone 15 Pro มือสองแล้ว เชื่อว่าหลายท่านก็คงเริ่มได้คำตอบสำหรับโจทย์ความต้องการที่อยู่ในใจว่าน่าจะเหมาะกับรุ่นไหนที่สุด ซึ่งถ้าให้สรุปสั้น ๆ ก็จะได้ดังนี้
- iPhone 16e เหมาะกับผู้ที่อยากได้ iPhone มาแค่ใช้งานพื้นฐาน ต้องการใช้ iOS และอยากได้เครื่องที่แบตอึด ลูกเล่นไม่ต้องเยอะ แต่ก็มีประสิทธิภาพสูง รองรับการอัปเดตได้นาน
- iPhone 16 เหมาะกับผู้ที่ต้องการ iPhone มาเพื่อใช้งานทั่วไปให้ครอบคลุมหลาย ๆ แบบ ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลายกว่า 16e ทั้งด้านกล้อง การเชื่อมต่อ การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม เรียกว่าใช้ได้แน่แบบแทบไม่ต้องลุ้น
- iPhone 15 Pro มือสอง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องที่จอลื่น กล้องครบ ใช้งานได้จริงจังและหลากหลายขึ้นไปอีก รวมถึงต้องการความคุ้มในแง่สเปคต่อราคาแบบขีดสุด แต่ก็อาจจะแลกมาด้วยอายุเครื่อง บวกกับอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับการใช้งานหนัก ๆ ในสถานที่อุณหภูมิสูงเท่าไหร่นัก