หลังจากการเปิดตัวของ Apple Watch Series 6 กับ Watch SE ผ่านไปแล้ว แต่พวกรุ่นเก่าๆ อย่าง Apple Watch Series 5 และ Series 3 ล่ะ? ยังคงน่าสนใจอยู่ไหม แล้วสเปคจะยังมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน เรามาหาคำตอบกัน
ถึงแม้ว่ารุ่นซีรีส์เก่าๆ จะออกมานานมากแล้ว แต่การใช้งานของบางรุ่นก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ ส่วนรุ่นใหม่ที่ออกมาแล้วนั้น ก็อาจจะทำให้ราคาของรุ่นที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ ราคาลดลงอีก และมีบางตัวที่เลิกวางขายกันไปเลย ต้องคอยมาอัพเดทกันอยู่เสมอ ว่าจะลดไปมากน้อยเท่าไหร่กัน ยิ่งในตอนนี้คู่แข่งหลายๆเจ้า ก็เตรียมเปิดตัว Smart Watch กันอยู่เรื่อยๆ ด้วย หลายคนจึงมีความสงสัยว่า Apple Watch ในตอนนี้นั้น ยังมีความน่าสนใจอยู่หรือไม่? และคุ้มค่าที่จะซื้อมาใช้ในตอนนี้หรือเปล่า?
วันนี้เราจึงได้รวบรวมราคา สเปค และข้อมูลที่ควรรู้ในตอนนี้ มาลองเปรียบเทียบให้ตัดสินใจกันง่ายขึ้น ของ Apple Watch Series 6, Series 5, Series 3 และ SE มาดูกันเลยครับ
ตารางเปรียบเทียบ ของ Apple Watch Series 3, Series 4 และ Series 5
สเปค/รุ่น | Apple Watch Series 3 | Apple Watch Series 5 | Apple Watch Series 6 | Apple Watch Series SE |
หน้าจอ | OLED Retina | LTPO OLED Retina | OLED Retina | Retina display |
ขนาด | 42 มม. และ 38 มม. | 40 มม. และ 44 มม. | 40 มม. และ 44 มม. | 40 มม. และ 44 มม. |
น้ำหนัก | รุ่น GPS 26.7 ก. รุ่น GPS + Cellular 28.7 ก. | 40 มม. อะลูมิเนียม 30.8 กรัม สแตนเลสสตีล 40.6 กรัม ไทเทเนียม 35.1 กรัม เซรามิก 39.7 กรัม 44 มม. อะลูมิเนียม 36.5 กรัม สแตนเลสสตีล 47.8 กรัม ไทเทเนียม 41.7 กรัม เซรามิก 46.7 กรัม | อะลูมิเนียม รีไซเคิล 100% สแตนเลสสตีล ไทยเทเนียม | อะลูมิเนียม รีไซเคิล 100% |
ชิปเซต | Apple S3/ W2 | Apple S5/ W3 | S6 SiP / W3 | S5 (SiP) / W3 |
RAM/ROM | RAM 768MB/ ROM 8GB, 16GB | RAM 1GB/ ROM 32GB | ยังไม่เปิดเผยข้อมูล | ยังไม่เปิดเผยข้อมูล |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth 4.2 LTE, 4G, eSIM | Bluetooth 5.0 LTE, 4G, eSIM | Bluetooth 5.0 Wi-Fi GPS | Bluetooth 5.0 Wi-Fi GPS |
คุณสมบัติพิเศษ | Optical Heart Rate Answer The Phone GPS/ GNSS เข็มทิศ | Heart Rate (2nd Gen) Answer The Phone GPS/ GNSS การโทรฉุกเฉินทั่วโลก SOS ฉุกเฉิน การตรวจจับการล้ม | Heart Rate (ECG) Compass Barometric altimeter Accelerometer Gyroscope Ambient light sensor | Heart Rate (ไม่มี ECG) Emergency SOS การตรวจจับการล้ม Compass Barometric altimeter |
แบตเตอรี่ | 18 ชั่วโมง | 18 ชั่วโมง | มากกว่า 18 ชั่วโมง | ยังไม่เปิดเผยข้อมูล |
กันน้ำเข้า | 50m. | 50m. | 50m. | ยังไม่เปิดเผยข้อมูล |
สี | Black, Silver, Space Black | Space Black, Silver, Gold | Gold, Silver, Space Gray, Graphite, Blue, (Product)Red | Gold, Silver, Space Gray |
ราคา (เริ่มต้นตอนนี้) | 6,400 บาท | 12,900 บาท | 13,400 บาท | 9,400 บาท |
1. Apple Watch Series 3 (2017)
สเปคภายนอกของตัว Series 3 นี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวที่ออกมานานแล้ว แต่ความทันสมัย และรูปแบบภายนอกก็ถือว่ายังมีความสวยงามอยู่ ตัวเรือนที่ทำออกมานั้น มีขนาดให้เลือก 2 แบบ คือ 38 มม. และ 42 มม. มีความบาง 11.4 มม. ส่วนวัสดุที่ใช้นั้นจะเป็น สแตนเลสสตีล และเซรามิก ให้ความแข็งแรงคงทน เสริมความแข็งแรงให้หน้าจอที่เป็นกระจก ด้วย Sapphire crystal กันริ้วรอยได้แน่นอน สีจะมีมาให้เลือก 3 สี คือ Black, Silver, Space Black และสายเป็น Sport Loop, Sport Band, สายหนัง, สแตนเลสสตีล, Nike Sport Band, Nike Sport Loop, สายหนัง Hermès, สายซิลิโคน แต่ในตอนนี้อาจจะมีแค่บางสายให้เลือกเท่านั้น
จอภาพของตัวนี้แสดงผลด้วยจอ OLED Retina ให้สีที่สวยงาม ชัดเจน และยังรองรับ Force Touch ด้วย ส่วนการทำงานของตัวนี้ มีชิปเซต Apple S3 เข้ามาช่วยทำให้การใช้งานได้ดียิ่งขึ้น และคุณสมบัติเด่นๆ เลยก็คือ สามารถใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ คำนวณแคลอรี่ และนับนำนวนการเดิน เป็นระยะทางได้หมด มีการแจ้งเตือนหากหัวใจเต้นเร็วเกินไป และการแจ้งเตือนทั่วไป รุ่นนี้สามารถทำได้เป็นอย่างดีเลย เหมาะมากกับการใส่ในชีวิตประจำวันก็ได้ หรือจะใส่ไปวิ่งก็ทำได้ดี
หน่วยความจำ มีมาให้ 768MB และความจุของรุ่นนี้มีให้เลือกอยู่ 2 แบบ คือ 8GB ที่เป็นรุ่น GPS และความจุ 16GB จะเป็นรุ่น GPS + Cellular ถึงแม้ว่าหน่วยความจำ จะยังดูน้อยอยู่ ไม่เท่าตัวใหม่ๆที่ออกมา แต่ทางด้านความเร็วและความเสถียร รุ่นนี้ก็ยังถือว่า ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม
การเชื่อมต่อของ Series 3 นี้ สามารถเชื่อมต่อได้ ด้วยการใช้ Bluetooth 4.2 และในตัว GPS นั้นจะรองรับสัญญาณ 4G LTE และ UMTS3 (3G) แต่ถ้าเป็นตัว GPS + Cellular ถึงจะใช้งาน Cellular ได้ ซีรีส์นี้สามารถโทรเข้า – ออกได้ด้วยการใช้ eSIM และต่อ Wi-Fi 802.11b/g/n ได้อยู่เหมือนกับรุ่นใหม่ๆ จริงๆ ซีรีส์นี้ ก็ไม่ได้ดูต่างอะไรมากนัก กับซีรีส์ใหม่ๆ ที่ออกมา แต่ที่จะต่างก็คงเป็นการเชื่อมต่อ Bluetooth เท่านั้นแหละ
เรื่องแบตเตอรี่ของซีรีส์นี้ จะใช้ Li-Ion ที่ขนาดความจุ 341 mAh รองรับการใช้ Wireless Charging ด้วย ซึ่งความจุเพียงเท่านี้ ก็สามารถใช้แบบปกติได้มากถึง 18 ชั่วโมงแล้ว ก็ไม่ได้ดูแย่เท่าไหร่นะ ใช้งานนอกบ้านได้ทั้งวัน กลับมาที่บ้านก็ค่อยชาร์จ ก็ได้อยู่เหมือนกัน
ราคาของซีรีส์นี้ของทาง Apple โดยตรงจากศูนย์นั้น ถ้าเป็นรุ่น GPS จะมีราคาอยู่ที่ 6,400 บาท และถ้าเป็นรุ่น GPS + Cellular 9,900 บาท หรือถ้าเป็นจากศูนย์โอเปอร์เรเตอร์จาก AIS จะมีราคาเริ่มต้นที่ 10,900 บาท ราคาที่ต่างกันนี้ ก็เพราะว่าสายที่ต่างกันด้วย ส่วน Dtac จะมีอยู่สองรุ่นคือ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular 42MM ราคา 8,900 บาท และ รุ่น 38MM 9,900 บาท แต่ต้องติดแพ็กเกจนะ
2. Apple Watch Series 5 (2019)
มาถึงซีรีส์ 5 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนในปีที่แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดูว่าจะต่างกับตัวซีรีส์ 4 เท่าไหร่นัก แต่จะมีเพิ่มมาก็คงเป็นหน่วยความจำ และตัวชิปเซตการทำงานข้างใน หลายๆ คนจึงเลือกที่จะกระโดด มาซื้อตัวนี้กัน มากกว่าไปซื้อตัวซีรีส์ 4 และในซีรีส์ 5 นี้ ก็มีให้เลือกสองขนาดเหมือนกันคือ 40 มม. และ 44 มม. ขนาดความหนาคือ 10.7 มม. บางเบาใช้งานง่ายเหมือนเดิม และใช้วัสดุเป็น เซรามิกและผลึกแซฟไฟร์เต็มฝาหลังในทุกรุ่น หน้าจอ Sapphire Crystal ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ทั้งหน้าจอในรุ่นบน ๆ และมีตัวเรือนวัสดุใหม่อย่าง ไทเทเนียมให้เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในรุ่น Edition
สีในซีรีส์นี้มีให้เลือก 6 สีกันเลย คือ Black, Silver, Gold, Gray, Space Gray และ Space Black ส่วนสายยังคงคล้ายๆกันคือ Sport Loop, Sport Band, สายหนัง, สแตนเลสสตีล, Nike Sport Band, Nike Sport Loop, สายหนัง Hermès และสายซิลิโคน
จอแสดงผลของตัวนี้จะเป็น LTPO OLED Retina และช่วยเพิ่มความประหยัดแบตเตอรี่มาให้ด้วย พร้อมกับการรองรับ Force Touch และฟีเจอร์ของตัวนี้ที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือสามารถเลือกให้หน้าจอเปิดอยู่ตลอดเวลาได้ด้วยการใช้ Always on display เหมาะมากกับคนที่ต้องการจับเวลา หรือต้องการดูอยู่บ่อยๆ แบบนักปั่น นักวิ่ง และได้อัพเกรดชิปเซตให้เป็น Apple S5 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ให้ดีกว่าตัวก่อนหน้า ส่วนคุณสมบัติเด่นของซีรีส์นี้ ถึงแม้ว่าจะคล้ายๆ กับซีรีส์ 4 อย่างการวัดหัวใจแบบ ECG แต่ก็มีข้อแตกต่างอย่าง การโทรฉุกเฉิน (SOS) จากปกติที่โทรได้แค่ในไทยเท่านั้น แต่ซีรีส์นี้สามารถโทรออกไปได้ทั่วโลกเลย มีให้เฉพาะซีรีส์นี้เท่านั้นด้วย เหมาะกับนักเดินป่า หรือการออกเดินทางที่สามารถเกิดเหตุขึ้นได้
หน่วยความจำของซีรีส์นี้ ให้มา 1GB แต่ที่เพิ่มขึ้นมาจริงจังก็คือความจุนี่แหละ ที่มีมากถึง 32GB ในกับทุกรุ่นเลยทั้งแบบ GPS และแบบ GPS + Cellular ซึ่งอันนี้ก็เป็นตัวเลือก ที่ทำให้หลายๆ คนหันมาสนใจตัวนี้มากกว่าที่ออกมาก่อนด้วย เพราะสามารถใช้งานได้มากกว่าเดิม ถึงเท่าตัวเลยทีเดียว
ในเรื่องของการเชื่อมต่อนั้น แทบจะไม่ได้ต่างอะไรกับตัวซีรีส์ 4 เลย ซึ่งมี Bluetooth 5.0 และรุ่น GPS จะรองรับสัญญาณ 4G LTE ได้ ส่วนรุ่น GPS + Cellular จะใช้งาน Cellular ได้ด้วย โทรเข้า-โทรออกได้ด้วยการใส่ eSIM และต่อ Wi-Fi 802.11b/g/n โดยรวมแล้วจึงแทบไม่ต่างกันจริงๆ ในเรื่องของการเชื่อมต่อนะ
แบตเตอรี่ของซีรีส์ 5 นั้น จะเป็นแบบ Li-Po มีเพิ่มขึ้นมานิดนึงเป็น 296 mAh และรองรับการใช้งาน Wireless Charging จริงๆแล้วที่เพิ่มความจุมาให้พียงนิดหน่อย แต่ว่าหน้าจอที่ช่วยประหยัดแบตไปด้วยจึงทำให้ Apple Watch Series 5 สามารถใช้งานแบบปกติได้ยาวนานมากกว่า 18 ชั่วโมง
ราคาของ Apple Watch Series 5 นั้นถ้า Apple จะไม่มีขายแล้ว ส่วนถ้าเป็นการซื้อจากค่าย AIS จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12,900 บาท ส่วนจากค่าย Dtac ซึ่งขายเพียงรุ่นเดียว คือรุ่น GPS + Cellular 44MM ราคา 16,900 บาท และต้องติดแพ็กเกจไปด้วย ส่วนค่ายสุดท้ายคือ TrueMove H ก็มีขายอยู่เหมือนกัน ราคาเริ่มต้นที่ 12,900 บาท และต้องติดแพ็กเกจด้วยเช่นกัน
3. Apple Watch Series 6 (2020)
แล้วก็มาถึงในตัวซีรีส์ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานมานี้ ในรุ่น Series 6 นั้น ถ้าดูจากภายนอก ก็อาจจะไม่ได้แตกต่างมากนัก กับตัวก่อนหน้านี้ จะมีก็คือสีที่เพิ่มเข้ามาใหม่ และฟีเจอร์ต่างๆ อุปกรณ์ภายในที่เปลี่ยนไป ที่เป็นตัวช่วยให้รุ่นใหม่นี้ดีกว่าเดิม ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม่นยำในการวัดมากขึ้น ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย สำหรับตัว Series 6 มีมาให้เลือก 2 ขนาดคือ 40 มม. และ 44 มม. ส่วนวัสดุที่เป็นของใหม่เพิ่มเข้ามา ก็คืออะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% สแตเลสสตีล และไทเทเนียม ไม่มีอแดปเตอร์แถมมาให้แล้ว มีให้เลือก 2 รุ่นคือ GPS และ GPS + Cellular
สีในซีรีส์นี้ หลักๆจะมีให้เลือก 6 สีด้วยกัน คือ Gold, Silver, Space Gray, Graphite, Blue, (Product)Red ส่วนสายมีการเพิ่มเข้ามาใหม่เป็นสายแบบ Solo Loop ที่สวมใส่ได้ทันทีเหมือน Slip on วัสดุทำมาจากซิลิโคน และแบบสายถักที่เป็นด้ายถักกันด้ายซิลิโคน ให้ความเบาและยืดหยุนมาก
จอแสดงผลของตัวนี้จะเป็น OLED Retina ที่ยังคงมีโหมด Always on display ที่หน้าจอมีการเปิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เหมือนกับเป็นนาฬิกาจริงๆ รวมไปถึงการใช้งานที่จำเป็นต้องให้หน้าจอเปิดอยู่ตลอดเวลา อย่างการวัดความสูง และถึงแม้จะมีหน้าจอที่เหมือนเดิม แต่ก็จะสว่างกว่า Apple Watch Series 5 ในตอนกลางวันถึง 2.5 เท่า อยู่ที่การยกขึ้นมาดูของเราด้วย ว่ามีแสงมาก-น้อยเท่าไหน แถมยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่อีกด้วย
ในส่วนของชิปเซต Series 6 ได้ใส่ชิป S6 SiP และเป็นโปรเซสเซอร์ Dual-core ใหม่ที่ใช้กับ A13 Bionic ใน iPhone 11 ด้วย โดยจะเข้ามาช่วยเสริมให้ทำงานได้เร็วขึ้น แม่นยำกว่าเดิมถึง 20% นอกจากนี้ Series 6 ยังมีชิป U1 และ Ultra-wideband ที่จะเปิดใช้งานแบบไร้สายในระยะใกล้ เหมือนกับ กุญแจดิจิทัลในรถใหม่ๆ อยู่ในน้ำลึกได้ 50 เมตร และเชื่อมต่อกับ iOS 14 ได้ดียิ่งขึ้นด้วย
ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา นอกเหนือจากการวัดหัวใจ (ECG) แบบปกติแล้ว ยังได้ปรับปรุงการวัดที่แม่นยำขึ้นกว่าเดิมมาก และมีฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Blood Oxygen ที่มีเพื่อวัดระดับออกซิเจนในเลือดระหว่าง 70% ถึง 100% ถ้าหากเกินหรือต่ำกว่านี้ จะมีการเตือนขึ้นมาทันที สามารถวัดระบบทางเดินหายใจ ในกรณีที่มีความเสี่ยงจากการเป็น ไข้หวัดใหญ่ และ COVID-19 ได้ด้วย อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Always-On Altimeter หรือการวัดระดับความสูง ที่มีการเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา โดยใช้เครื่องวัดความสูงแบบ barometric ที่ช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้น และแสดงผลแบบเรียลไทม์
อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ ระบบ Family Setup ที่ครอบครัวสามารถเข้าถึงกันได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ iPhone ก็ยังคงติดตามได้ โดยจะเน้นเป็นการสื่อสาร และส่งสัญญาณ SOS ได้ตลอดเวลา หากมีเหตุฉุกเฉิน และยังมีโหมด Schooltime ที่ช่วยจัดตารางการเรียน และทำการบ้านที่บ้านได้ด้วย
ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อยังคงเป็นแบบเดิม คือมี Bluetooth 5.0 และการเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ และแบตเตอรี่ก็ได้เพิ่มความจุมาให้เป็น 303.8 mAh สามารถใช้ได้อย่างยาวนานกว่า 18 ชั่วโมง อาจจะใช้งานได้ยาวนานกว่า Series 5 ด้วย แถมยังไปเพิ่มการชาร์จแบตเตอรี่ ให้ชาร์จเร็วขึ้น สามารถชาร์จเต็มได้ภายในเวลา 1.5 ชั่วโมง และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ยาวนานขึ้นด้วย
ราคาของ Series 6 มีราคาเริ่มต้นในรุ่น GPS จะมีราคา Apple Watch Series 6 เริ่มต้น 13,400 บาท ส่วนรุ่น GPS + Cellular จะมีราคาเริ่มต้น 16,900 บาท ทั้งนี้ยังไม่มีกำหนดวันวางขายในไทยตอนนี้ หากมีแล้วจะมาอัพเดทให้รู้อีกครั้ง
4. Apple Watch SE (2020)
Watch SE ที่ได้เปิดตัวเป็นน้องใหม่ ในราคาไม่แรง เพราะมีสเปคที่ไม่ได้สูงมากนัก จะบอกว่าเป็นตัวอัพเกรดจาก Series 4 ให้โดดเด่นขึ้นมาเหนือ Series 3 ก็ว่าได้ หน้าตาภายนอกนั้น จะคล้ายกับรุ่น Series 6 เลย ทั้งขนาดความใหญ่ที่มากกว่า Series 3 ถึง 30% แต่หน้าจอที่ได้มานั้น เป็น Retina แบบเดียวกับรุ่น Series 4 มี Digital Crown เหมือนตัวใหม่ และขนาดก็มีมาให้เลือก 2 ขนาด คือ 40 มม. และ 44 มม. และมีรุ่นให้เลือก 2 รุ่นเช่นกัน ทั้ง GPS และ GPS+Cellular แต่วัสดุของรุ่นนี้จะมีเพียงแค่ อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% แบบเดียวเท่านั้น
ส่วนสีของตัว SE จะมีให้เลือก 3 สีที่เป็นสีคลาสสิคของ Apple Watch ก็คือ Gold, Silver และ Space Gray สายมีการเพิ่มเข้ามาใหม่เป็นสายแบบ Solo Loop และ Braided Solo Loop สามารถใส่ได้ง่ายแบบ Slip on สวมใส่ได้ทันที มีความยืดหยุ่น เบามากที่สุดจากสายแบบเก่า ไม่มีตัวล็อค และไม่มีเข็มแบบปรับขนาด และยังใส่กับสายของ Apple Watch ได้ทุกรุ่นเหมือนกัน
จอแสดงผล จะเป็น Retina display เหมือนกันกับรุ่น Series 4 แต่ได้เพิ่มขนาดขึ้นมาให้ใหญ่เท่ากับรุ่น Series 6 เลย มาพร้อมกับ ชิปเซต S5 (SiP) โปรเซสเซอร์ Dual-core ที่ให้ความเร็วแรงมากกว่ารุ่น Series 3 ถึง 2 เท่า มีลำโพง และไมโครโฟนรุ่นล่าสุด และยังรองรับการใช้งาน Siri, Walkie-Talkie และการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 เทียบเท่ากับรุ่น Series 6 ได้เลย ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ ยังไม่ได้เผยออกมาว่าใช้ได้นานเท่าไหร่
ฟีเจอร์ของรุ่น SE ยังคงวัดระดับการเต้น ของหัวใจได้เป็นปกติ เพียงแต่ไม่ได้เป็นระบบไฟฟ้า ECG เหมือนรุ่นใหม่ที่มีราคาสูง มีระบบที่ตรวจจับการล้ม และเมื่อมีระดับการเต้นที่ผิดปกติไป จะมีการเตือน และส่งสัญาณฉุกเฉิน SOS เพื่อขอความช่วยเหลือได้ในทันที มีเครื่องวัดความสูงมาในตัวเหมือน Series 6 และมีการเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่ยังคงช่วยประหยัดพลังงานด้วย
โดยตัวนี้จะเน้นไปทางด้านของฟีเจอร์ Family Setup มากกว่า ที่เข้ามาช่วยในเรื่องของการเชื่อมต่อกัน ภายในครอบครัว สามารถเชื่อต่อถึงกันได้ ทั้งข้อความ และการติดต่อกันผ่านทาง Apple Watch ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ iPhone ก็สามารถติดต่อกันได้ ที่สำคัญเมื่อเกิดเหตุขึ้น จะส่งสัญญาณฉุกเฉิน SOS ได้เลย และโหมดใหม่ ที่เหมาะกับเด็กเป็นอย่างมากเลย ก็คือ Schooltime ที่ช่วยจัดการตารางเรียน และตารางการทำการบ้านได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นให้ผู้ใช้งานไม่น่าเบื่ออีกต่อไปด้วย Watch Face แบบใหม่ กับหน้าจอ ที่สามารถเปลี่ยนไปได้ถึง 7 แบบ อย่างเช่น Stripes, Chronograph Pro, GMT, Artist และ Memoji Face ที่สามารถใส่หน้าตัวเองเป็น Memoji เคลื่อนไหวได้ ยิ่งเหมาะกับผู้ใช้งานที่เป็นเด็กได้ดีทีเดียว
ราคาของ Watch SE จะมีราคาเริ่มต้นในรุ่น GPS เริ่มต้น 9,400 บาท ส่วนรุ่น GPS + Cellular จะมีราคาเริ่มต้น 10,900 บาท แต่ยังไม่มีกำหนดวันวางขายในไทยตอนนี้เช่นกัน แต่คาดว่าอีกไม่นานก็จะได้ลองเล่นกันแล้ว
จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการเปรียบเทียบ Apple Watch ทั้งสี่ Series กับ Series 6, Series 5, Series 3 และน้องใหม่อย่าง Watch SE ทั้งการเปรียบเทียบโดยการใช้ตาราง เพื่อเทียบกันตรงๆไปเลย และสเปคต่างๆว่ามีอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง และมีอะไรแตกต่างกันแค่ไหน รวมไปถึงราคาขั้นต่ำที่ช่วยตัดสินใจให้ซื้อกันง่ายขึ้น ส่วนถ้ายังไม่รู้ว่าควรจะซื้ออะไรดี แนะนำว่า
ถ้ามีงบน้อยหน่อย และเน้นการใช้งานแบบปกติทั่วไป วัดหัวใจ การวิ่ง การเดิน มีฟีเจอร์ที่เหมาะกับการเริ่มต้น และเหมาะกับเด็กหรือผู้สูงอายุ ที่ใช้งานไม่หนักมาก แนะนำเป็นตัว Watch SE ไปดีกว่า เพราะมีราคาที่พอจับต้องได้ ไม่แพงมาก และก็ใช้งานได้ดีมากด้วย คุ้มค่าการใช้งานสุด หรือถ้าอยากลองเปลี่ยนแบบย้ายค่าย มาใช้รุ่นปกติอย่าง Series 3 ก่อนก็ได้เหมือนกัน เพราะยังมีขายที่ Apple อยู่ และลดราคาลงอีกด้วย
ส่วนถ้าอยากได้รุ่นที่มีสเปคใหม่หน่อย การใช้งานที่ดีเยี่ยม และยังคงเหมือนกับรุ่นใหม่ในบางส่วน แต่อาจจะตกรุ่นไปแล้ว ก็แนะนำเป็นรุ่น Series 5
สุดท้ายคือ คนที่อยากได้ของดี และของใหม่ มีการวัดค่าได้แม่นยำยิ่งขึ้น มีสีสันให้เลือกเยอะ พร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากๆ อีกหลายอย่าง แนะนำว่ารอซื้อ Series 6 ได้เลย ยังไงก็คุ้มกับที่ได้รอแน่นอน
และถ้ามีเรื่องราวอะไรให้อัพเดทกันอีกทาง specphone ก็จะมาอัพเดท และนำมาฝากกันเรื่อยๆ นะครับ