อีกหนึ่งรุ่น ที่มีการเปิดตัวออกมาพร้อมกับ Series 6 ก็คือ Apple Watch SE ที่มีสเปคแรง และราคาไม่ได้สูงมากนัก เหมาะสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน คุ้มค่ากับราคาแน่นอน
หลังจากที่มีการเปิดตัวของ Apple Watch ทั้ง 2 รุ่น อย่าง Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ไปเมื่อคืนที่ผ่านมา ในรุ่นเล็กอย่าง Watch SE นี้ ก็ได้ทำการตลาดออกมาเพื่อให้เข้าถึงง่าย ในสเปคตัวเครื่องที่ได้ ชิปเซตแรง แต่มีราคาที่จับต้องได้ เหมาะสำหรับคนที่อยากลองเปลี่ยนมาเล่นทางฝั่ง Apple บ้าง หรือถ้าซื้อให้เด็กใช้งานไปโรงเรียนก็คุ้มอยู่เหมือนกัน จะบอกว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นอัพเกรดจาก Series 4 ให้น่าสนใจมากขึ้นก็ว่าได้ เรามาดูสเปคและฟีเจอร์ ที่น่าสนใจของรุ่นนี้กันเลยดีกว่า
สรุป ข้อมูลสำคัญ Apple Watch SE
เนื่องจากเป็นรุ่นที่คล้ายการอัพเกรดมาจาก Series 4 ข้อมูลที่เปิดตัวออกมาจึง ไม่ได้มีเท่าตัว Series 6 แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในรุ่นนี้ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจ และน่าใช้งานอยู่ไม่น้อยเลย เราได้สรุปข้อมูลสำคัญเอาไว้แล้ว ดังนี้
- หน้าจอ Retina แบบเดียวกับ Series 4 เลย แต่ใหญ่กว่า Series 3 ถึง 30% (เท่ากับ Series 6)
- ขนาดตัวเรือน 40 มม. และ 44 มม.
- มีให้เลือก 2 รุ่น คือ GPS และ GPS+Cellular
- มี Cellular รองรับ Family Setup เหมือน Series 6
- มีฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม และส่งสัญญาณ SOS ได้ทันที
- ตัวเรือน ที่ทำจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100%
- สาย Solo Loop เหมือนกับ Series 6
- ชิปเซต S5 (SiP) และโปรเซสเซอร์ Dual-Core เร็วกว่า Series 3 สองเท่า
- มีเครื่องวัดระดับความสูงได้ตลอดเวลา และเข็มทิศ
- ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ (ไม่รองรับ ECG)
- Watch Face ใหม่ เหมือนกับ Series 6
- มีลำโพงและไมโครโฟนรุ่นล่าสุด Siri, Walkie-Talkie และ Bluetooth 5.0
1. สเปค
ดีไซน์ภายนอกของรุ่นนี้ จะคล้ายกับรุ่น Series 6 อยู่บ้าง แต่หน้าจอที่ได้มานั้น เป็น Retina แบบเดียวกับรุ่น Series 4 แต่ขนาดความใหญ่ของหน้าจอเท่ากับ Series 6 เลย มี Digital Crown ที่สามารถใช้งานได้อย่างปกติ และขนาดก็มีมาให้เลือกเท่ากับรุ่นใหญ่ 2 ขนาด คือ 40 มม. และ 44มม. ส่วนรุ่นก็มีมาให้เลือก 2 รุ่นเช่นกัน ทั้ง GPS และ GPS+Cellular แต่วัสดุของรุ่นนี้จะมีเพียงแค่ อะลูมิเนียม แบบเดียวเท่านั้น
ถึงแม้ว่าตัวเรือนจะเป็นอะลูมิเนียม แต่ก็ได้อะลูมิเนียมแบบใหม่ ที่เป็นตัวรีไซเคิล 100% เช่นเดียวกับตัว Series 6 เลย ยังคงมีความเบา และความแข็งแรงอยู่พอสมควร แต่ไม่เหมาะกับการใช้ออกกำลังอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้ตัวเรือนบุบได้
ในส่วนของชิปเซตรุ่นนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะได้ชิปเป็น S5 (SiP) และเป็นโปรเซสเซอร์ Dual-core ที่ให้ความเร็วแรงมากกว่ารุ่น Series 3 ถึง 2 เท่าเลย มีลำโพงและไมโครโฟนรุ่นล่าสุด และยังรองรับการใช้งาน Siri, Walkie-Talkie และการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 เทียบเท่ากับของรุ่นใหญ่ๆ ได้เลย ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ ยังไม่ได้มีการเปิดเผยออกมา
2. สี และสาย
ในส่วนของสีตัวเครื่องนั้น รุ่นนี้ไม่ได้ทำสีใหม่ออกมา แต่จะมีให้เลือกอยู่ 3 สี คือ สีทอง, สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์ ส่วนสายนั้นก็รองรับกับสายใหม่ ที่เป็น Solo Loop และ Braided Solo Loop สามารถใส่ได้ง่ายแบบ Slip on สวมใส่ได้ทันที มีความยืดหยุ่น เบามากที่สุดจากสายแบบเก่า ไม่มีตัวล็อคออก และไม่มีเข็มแบบปรับขนาด มีสีสันให้เลือกอีกมากมาย ส่วนวัสดุเป็นซิลิโคนแบบนิ่ม และแบบสายถักที่เป็นวัสดุเป็นเส้นด้ายรีไซเคิลถักเข้ากับด้ายซิลิโคน และยังใส่กับสายของ Apple Watch ได้ทุกรุ่น
3. ฟีเจอร์การวัดระดับการเต้น ของหัวใจ
สำหรับรุ่นนี้ยังคงวัดระดับการเต้น ของหัวใจได้เป็นปกติ เพียงแต่ไม่ได้เป็นระบบไฟฟ้า ECG เหมือนรุ่นที่ราคาสูงกว่านี้ โดยเมื่อมีระดับการเต้นที่ผิดปกติไป ก็จะมีการเตือน และสามารถกดฉุกเฉิน เพื่อขอความช่วยเหลือได้ในทันที อีกทั้งยังมีระบบที่ตรวจจับการล้มได้ในทันทีอีกด้วย
4. การวัดระดับความสูง (Always-On Altimeter)
ฟีเจอร์เดียวกับรุ่น Series 6 ที่มีเครื่องวัดความสูงมาในตัวด้วย โดยจะเปิดการทำงานอยู่ตลอดเวลา สามารถดูได้อย่างเรียลไทม์ ตลอดทั้งวันโดยใช้เครื่องวัดความสูงแบบ barometric ที่ช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
5. Watch Face แบบใหม่
Watch Face แบบใหม่ที่มีมาให้เลือกอย่างจุใจ กับหน้าที่สามารถเปลี่ยนไปได้ถึง 7 แบบด้วยกัน (Series 6 ก็ทำได้) โดยหน้าจอของตัว Watch Series นี้จะมี Watch Face ใหม่ อย่างเช่น Stripes, Chronograph Pro, GMT, Artist และ Memoji Face ที่ให้เราใส่หน้าตัวเองที่เป็น Memoji เคลื่อนไหวได้ ยิ่งเหมาะกับผู้ใช้งานที่เป็นเด็กได้ดีทีเดียว
6. Family Setup
การสื่อสารในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ การใช้ฟีเจอร์ Family Setup จึงเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยตรงนี้ และรุ่นนี้ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน ที่ถึงแม้จะไม่มี iPhone ก็สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ ทั้งข้อความ และการติดต่อกันผ่านทาง Apple Watch ที่สำคัญคือ เมื่อเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น ก็จะบอกให้คนในครอบครัวรับรู้ เป็นสัญญาณฉุกเฉิน SOS ได้เลย นอกจากนี้ยังมีโหมดใหม่ คือ Schooltime ที่ช่วยจัดการตารางเรียน หรือตารางการทำการบ้านที่บ้านได้อีกด้วย
7. ราคา
ราคาที่จะวางจำหน่ายในไทย เร็วๆนี้ ได้แก่
- Apple Watch SE (GPS) เริ่มต้นที่ 9,400 บาท
- Apple Watch SE (GPS + Cellular) เริ่มต้นที่ 10,900 บาท
ทั้งหมดนี้ก็คือสเปค และข้อมูลต่างๆ ที่ทาง Apple ได้ทำการเปิดตัวไปพร้อมๆกับ Series 6 เลย ซึ่งดูเหมือนว่ารุ่นนี้ จะทำมาเพื่อเจาะตลาดคนที่ต้องการลองเปลี่ยนค่าย หรือเจาะลงไปในกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นเด็ก รวมไปถึงผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องดูแลกันอยู่เสมอ เมื่อใช้ร่วมกับ Family Setup ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้นไปอีก แล้วถ้ามีเรื่องราวอะไรมาอัพเดททาง specphone ก็จะมาอัพเดทกันอีกทีนะครับ ทั้งราคาและวันวางจำหน่าย