ตอนนี้ก็เริ่มเปิดให้สั่งซื้อกันแล้วนะครับ สำหรับ Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE สมาร์ตวอทช์รุ่นใหม่ประจำปีนี้จาก Apple ในขณะเดียวกันก็ถอด Series 5 ออกจากหน้าเว็บไซต์ โดยยังคงขาย Series 3 ไว้เป็นรุ่นเริ่มต้นอยู่เช่นเดิม ซึ่งอาจทำให้หลาย ๆ ท่านลังเลว่าถ้าอยากหา Apple Watch มาใช้ซักเรือน ควรจะเลือกรุ่นไหนดี โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังไม่เคยใช้มาก่อน โดยบทความนี้จะมาให้ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้สามารถเปรียบเทียบ และเลือกรุ่นที่เหมาะกับการใช้งานของตนเองที่สุดได้ครับ
ก่อนอื่นต้องย้ำก่อนเลยว่า Apple Watch ทุกรุ่นไม่ได้เป็นสมาร์ตวอทช์เพื่อสุขภาพแบบเต็มตัวนะครับ แม้ว่าจะมีฟังก์ชันที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย และช่วยตรวจสอบสุขภาพร่างกายก็ตาม แต่ฟังก์ชันต่าง ๆ เหล่านั้นก็จัดอยู่ในระดับที่ใช้งานได้พอประมาณ ถ้าพูดถึงการออกกำลังกาย ก็จะมีสายของพวก Garmin, SUUNTO หรือแบรนด์อื่น ๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะทางกว่า ส่วนด้านสุขภาพ ความแม่นยำก็อาจจะไม่สูงเท่าอุปกรณ์เกรดเพื่อการแพทย์ ทำให้ใช้ได้เพียงช่วยในการตรวจสอบเบื้องต้น เป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันซะมากกว่า
ทีนี้เรามาดูจุดที่น่าสนใจใน Apple Watch แต่ละรุ่นดีกว่าครับ
Apple Watch Series 3
Apple Watch Series 3 ในตอนนี้ ถูกจัดเป็นรุ่นเริ่มต้นที่มีราคาย่อมเยาที่สุด เริ่มต้นที่ 6,400 บาท โดยจะมีเฉพาะรุ่น GPS เท่านั้น จึงทำให้ไม่สามารถใช้งานบางฟังก์ชันที่มีอยู่ใน watchOS 7 ได้ เช่น Family Setup ที่ช่วยให้บุคคลในครอบครัวสามารถใช้งาน Apple Watch อีกเรือนได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี iPhone เป็นของตนเอง เนื่องจากฟังก์ชันดังกล่าวจะทำงานได้เฉพาะบน Apple Watch ที่รองรับ GPS+Cellular เท่านั้น
สำหรับใครที่ต้องการลองใช้งาน Apple Watch แต่ไม่อยากจ่ายแพงนัก รวมถึงคนที่ใช้ iPhone อยู่แล้ว และต้องการสมาร์ตวอทช์ซักเรือนมาใช้ช่วยดูแลเรื่องการออกกำลังกาย ใช้เพื่อดูการแจ้งเตือน ดูข้อมูลจากแอปต่าง ๆ Apple Watch Series 3 ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่ครับ อุปกรณ์ตกแต่งเช่น สาย เคส กระจก/ฟิล์มกันรอยก็ยังมีให้เลือกซื้อพอสมควร
ด้านของอุปกรณ์เสริม เช่น สายนาฬิกา เคส ฟิล์ม/กระจกกันรอยหน้าจอ ตอนนี้ก็ยังมีให้เลือกซื้ออยู่พอสมควรครับ หาได้ไม่ยากเท่าไหร่ โดยสามารถใช้สายของ Apple Watch รุ่นใหม่ได้ด้วย เทียบตัวเรือน 38 มม. สามารถใส่สายของรุ่น 40 มม. ได้ ส่วนตัวเรือน 42 มม. ก็สามารถใส่สายของรุ่น 44 มม. ได้นั่นเอง จะซื้อสายแบบใหม่อย่างพวก Solo Loop กับสายถัก Braided Solo Loop ได้เช่นกัน
ข้อจำกัดของ Apple Watch Series 3
- พื้นที่แสดงผลบนจอเล็กกว่ารุ่นอื่น (38 กับ 42 mm.) และไม่มีฟังก์ชันแสดงผลตลอดเวลา Always on display
- ไม่มีรุ่น GPS+Cellular
- ไม่มีฟังก์ชันวัดออกซิเจนในเลือด / ตรวจจับการล้ม / การโทรฉุกเฉิน
- ไม่มีเข็มทิศ และไม่มีมาตรวัดความสูงแบบทำงานตลอด
- มีเฉพาะรุ่นอะลูมิเนียม
- ไม่มีฟังก์ชันตรวจสอบระดับเสียงรอบตัว
- พื้นที่เก็บข้อมูลแค่ 8 GB
- ไม่มีชิป U1
- รองรับ Bluetooth 4.2
- อาจจะรองรับการอัพเดต watchOS ได้อีกไม่กี่ปี
Apple Watch SE
ถ้าให้พูดตามตรง ก็ต้องบอกว่า Apple Watch SE นั้นเปรียบได้กับการนำ Series 5 มาตีบวกฟังก์ชันบางส่วนเข้าไปครับ เนื่องจากชิปหลักในเครื่องยังคงเป็น SiP S5 อยู่ รวมถึงโมดูลต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใส่มา ทำให้การทำงานบางอย่างอาจจะยังไม่เท่า Apple Watch Series 6 ที่เป็นรุ่นท็อปประจำปีนี้ แต่ที่น่าสนใจจริง ๆ ของตัว SE ก็คือราคาที่เปิดมาเริ่มต้นที่ 9,400 บาทเท่านั้น ซึ่งจัดว่าค่อนข้างเป็นมิตรกว่า Series 6 ที่ราคาต่างกันร่วมครึ่งหมื่น ในขณะที่ SE ก็ทำงานได้ค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานทั่วไปได้อย่างครบถ้วนเลย ทั้งยังใช้งานฟีเจอร์ใหม่อย่างการวัดระดับความสูงแบบทำงานตลอดเวลาได้อีกต่างหาก
ส่วนของอุปกรณ์เสริมก็สบายมาก เพราะใช้ร่วมกับ Series 4/5/6 ได้หมดเลย จึงทำให้ Apple Watch SE เป็นสมาร์ตวอทช์ที่เหมาะกับการใช้งานเป็นผู้ช่วยประจำวันได้สบาย ๆ เลย เอาเป็นว่าใครที่คิดว่าฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้อย่างพวกการวัดระดับออกซิเจนในเลือด หน้าจอแบบ Always on display รวมถึงชิป U1 ดูจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ Apple Watch SE ก็เพียงพอครับ
นอกจากนี้ ถ้าหากต้องการซื้อ Apple Watch ซักเรือนให้ผู้สูงอายุในบ้านใช้ผ่านทางฟังก์ชัน Family Setup เพื่อช่วยตรวจจับการล้ม หรือดูแลสุขภาพในด้านอื่น ๆ ตัว SE (GPS+Cellular) ก็นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียวครับ ด้วยราคาเริ่มต้น 10,900 บาท ซึ่งไม่ได้ต่างจากพวก Series 4/5 ที่ยังเหลือวางขายอยู่ตอนนี้มากนัก แต่ได้ความสดใหม่กว่า และน่าจะรองรับการอัพเดตได้ยาวกว่านิดนึงด้วย
ข้อจำกัดของ Apple Watch SE เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 6
- มีวัสดุตัวเรือนเพียงแค่แบบอะลูมิเนียมเท่านั้น โดยมีให้เลือกแค่ 3 สีคือสีเงิน เทา ทอง
- หน้าจอไม่มีฟังก์ชันแสดงผลตลอด Always on display
- ไม่มีฟังก์ชันวัดออกซิเจนในเลือด ไม่มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้า ECG (ซึ่งก็ยังใช้ในไทยไม่ได้อยู่ดี)
- ไม่มีชิป U1
- รองรับ WiFi แค่ 2.4 GHz เท่านั้น
Apple Watch Series 6
เป็นสมาร์ตวอทช์ซีรีส์ท็อปสุดของ Apple ในปีนี้ครับ โดยรูปลักษณ์ภายนอกจะยังคงคล้าย ๆ กับรุ่นก่อนหน้านี้เลย ต่างกันที่ด้านล่างที่สัมผัสกับแขน ที่มีเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือดเพิ่มเข้ามา ทำให้สามารถแยกความแตกต่างกัน Series 4/5 ได้ง่ายขึ้น รวมถึงในปีนี้ยังมีสีน้ำเงินและสีแดงเพิ่มเข้ามาเป็นตัวเลือกด้วย โดยราคาก็เริ่มต้นที่ 13,400 บาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันเมื่อเทียบกับซีรีส์ท็อปในแต่ละปีครับ สำหรับวัสดุตัวเรือนก็มีให้เลือกทั้งอะลูมิเนียม สแตนเลสสตีล และก็ท็อปสุดที่ไทเทเนียมด้วย ดังนั้น ถ้าใครที่ต้องการความพรีเมียมกว่า Apple Watch ทั่วไป ก็ต้องจิ้มมาที่ Apple Watch Series 6 ไว้ก่อนเลย
ด้านของฟังก์ชัน แน่นอนว่า Apple Watch Series 6 ให้มาครบสุดเมื่อเทียบกับ SE และ Series 3 เช่นส่วนที่กล่าวถึงไปแล้วอย่างการวัดออกซิเจนในเลือด หน้าจอที่เป็นแบบ Always on ได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมชิป SiP รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง S6 ที่ Apple เคลมว่าทำงานได้เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย ที่มีบางสื่อในต่างประเทศได้ทดสอบเทียบกันแล้ว ก็พบว่า S6 ทำงานได้เร็วกว่าจริง รวมถึงยังรองรับการวัด ECG ด้วย แต่ก็ติดที่มันยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้งานในไทยอยู่ดีนั่นเอง
ส่วนการมีชิป U1 มาให้ ทำให้ Apple Watch Series 6 จะเหมาะกับผู้ที่ใช้งาน iPhone 11/11 Pro/11 Pro Max ไปจนถึงกลุ่มของ iPhone 12 มากกว่า ซึ่งในตอนนี้อาจจะยังไม่ค่อยเห็นประโยชน์มากนัก เบื้องต้นคือช่วยให้สามารถหาอุปกรณ์กันเจอในการส่งไฟล์ผ่าน AirDrop ได้เร็วขึ้น แต่ดูแล้ว Apple น่าจะมีแผนในการใช้ประโยชน์จากชิป U1 เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกแน่ ๆ ครับ เช่นนำมาใช้กับอุปกรณ์จำพวก AppleTag ที่ยังไม่เปิดตัว ดังนั้นถ้าใครมีแผนอยากใช้งานในลักษณะนี้ เท่ากับว่าคงต้องเลือก Apple Watch Series 6 ไปโดยปริยายเลย
ดังนั้น ถ้าใครที่อยากได้ Apple Watch แบบครบ ๆ ไม่ต้องกลัวเสียใจภายหลัง การเลือก Apple Watch Series 6 ไปเลยก็จบสุดครับ ส่วนจะเลือกวัสดุแบบไหนก็แล้วแต่ความชอบล้วน ๆ เลย จะมีเรื่องกระจกหน้าจอที่รุ่นสแตนเลสสตีลและไทเทเนียม จะใช้กระจกผลึกแซฟไฟร์ แต่ถ้าอยากได้ตัวเรือนโทนสีใหม่อย่างสีน้ำเงินและสีแดง ก็ต้องเลือกรุ่นที่ตัวเรือนเป็นอะลูมิเนียมเท่านั้นนะ
สรุปปิดท้าย
สำหรับการเลือกซื้อ Apple Watch รุ่นใหม่ในปีนี้ รุ่นที่ส่วนตัวผมมองว่าค่อนข้างลงตัวที่สุดสำหรับการใช้งานพื้นฐานในไทยก็จะเป็น Apple Watch SE ครับ ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 10,000 บาท แต่ได้ฟังก์ชันพื้นฐานครบถ้วน ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ต่างจากรุ่นท็อปมากนักด้วย แต่ถ้าการเงินไม่ใช่ปัญหา แน่นอนว่า Apple Watch Series 6 นั่นย่อมครบครันกว่า
ส่วน Apple Watch Series 3 แม้จะมีราคาเริ่มต้นที่น่าดึงดูดใจก็จริง แต่ก็แลกมาด้วยการขาดฟังก์ชันบางอย่างไป จนทำให้สมาร์ตวอทช์รุ่นอื่นจากแบรนด์อื่นอาจจะดูเป็นคู่แข่งที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เนื่องด้วยฟังก์ชันบางอย่างที่อาจจะมีเยอะกว่า ประกอบกับส่วนใหญ่แล้วจะสามารถใช้งานได้กับทั้ง iPhone และมือถือ Android ด้วย ทำให้การตัดสินใจเลือกสมาร์ตวอทช์ซักรุ่นในช่วงราคานี้จะค่อนข้างลำบากพอสมควรครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ Apple Watch นั้นย่อมทำงานร่วมกับ iPhone ได้ดีกว่าสมาร์ตวอทช์รุ่นอื่นแน่นอน
ดังนั้น ถ้าคุณใช้ iPhone อยู่ แล้วมองว่าฟังก์ชันของ Apple Watch Series 3 นั้นเพียงพอ โดยไม่อยากจ่ายแพงมากนัก และโอเคกับการชาร์จแบตเตอรี่แบบแทบจะวันต่อวัน การเลือก Apple Watch Series 3 อาจจะเป็นทางเลือกที่ทำให้สบายใจกับการใช้งานมากที่สุดก็เป็นได้