เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ iPhone 16 ทั้ง 4 รุ่นย่อยแบ่งตามความโปรและขนาดหน้าจอ ซึ่งจุดที่น่าสนใจในรุ่นปีนี้นอกจากเรื่องสเปคเครื่องแล้ว ฐานราคายังมีการปรับลดลงมาอีกด้วย เชื่อว่าน่าจะทำให้หลาย ๆ ท่านที่มีแผนจะซื้อ iPhone ลังเลอยู่บ้างเหมือนกันว่าจะเลือกรุ่นไหนดี ในบทความนี้จะมาดูกันครับว่ารุ่นไหนน่าสนใจบ้าง หลังจากมีรุ่นใหม่เปิดตัวแล้ว แบ่งตามความต้องการยอดนิยมของผู้ใช้งานส่วนใหญ่ โดยเน้นความคุ้มค่าของแต่ละสไตล์ และอิงจากราคาของรุ่นความจุเริ่มต้นนะครับ เพราะเป็นรุ่นยอดนิยมสุดในท้องตลาด
อยากได้ iPhone ใช้งานทั่วไป
หากต้องการซื้อ iPhone มาใช้งานพื้นฐานในรูปแบบการใช้สมาร์ตโฟนทั่วไปที่หลายท่านคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ในกรณีนี้ตัวเลือกจะค่อนข้างกว้างและหลากหลายตามงบประมาณที่มี อย่างถ้ามีงบประมาณ 20,000 บาท รุ่นที่แนะนำก็จะเป็น iPhone 14 128GB มือหนึ่ง ที่ตอนนี้ Apple ปรับราคาเครื่องใหม่บนหน้าเว็บลงมาเหลือ 22,900 บาท ซึ่งน่าจะมีการปรับราคาตามหน้าร้านตัวแทนจำหน่ายลงในเร็ว ๆ นี้ บวกกับปกติแล้วร้านตัวแทนจำหน่ายมักจะมีจัดโปรโมชันราคาพิเศษ เราจึงน่าจะสามารถซื้อ iPhone 14 128GB ในราคาสองหมื่นนิด ๆ หรือลงไปอยู่ที่เกือบ 20,000 ได้เหมือนกัน ส่วนถ้าต้องการความจุเยอะขึ้น iPhone 14 256GB ที่ราคา 26,900 บาทก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
สำหรับ iPhone 14 ก็ยังเป็นรุ่นที่รองรับการใช้งานในปัจจุบันได้สบาย ๆ กับชิป A15 Bionic หน้าจอ OLED 6.1″ 60Hz กล้องหลังคู่ 12MP ที่สำคัญคือรองรับการอัปเดต iOS ไปได้อีกหลายปี จะมีนิดนึงก็ตรงพอร์ตชาร์จที่ยังเป็น Lightning อยู่
ส่วน iPhone 15 อันนี้ก็ยังได้อยู่ครับ มีการปรับราคากลางลงมาเริ่มต้นอยู่ที่ 26,900 บาท แต่อันนี้จะแอบเสียดายนิดนึงตรงที่ราคาของ iPhone 16 มันดันลงมาเริ่มที่ 29,900 บาทแล้ว โดยส่วนต่างในทุกความจุจะอยู่ที่ 3,000 บาท แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมันมีหลายอย่างมาก ทั้งสเปคดีขึ้น กล้องมีความสามารถใกล้เคียงกับรุ่นโปรมากขึ้น มีปุ่มใหม่เพิ่มเข้ามา ที่สำคัญคือรองรับ Apple Intelligence อีกด้วย (แม้คนไทยอาจจะใช้งานได้ไม่เต็ม 100%) ตรงนี้ส่วนตัวเลยมองว่าถ้าจะซื้อ iPhone 15 มือหนึ่งในตอนนี้ ยอมจ่ายเพิ่มอีก 3,000 ไปรุ่นใหม่เลยดีกว่า หรืออาจจะรออีกซักพักจนมีโปรโมชันออกมา อาจจะได้ iPhone 16 ในราคาดีขึ้นไปอีกก็ได้ แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ iPhone ความจุสูงจริง ๆ อาจจะไปหา iPhone 15 มือสองก็ได้เช่นกัน ราคาอยู่ที่ราว 24,000 – 26,000 บาท แต่จะหายากนิดนึง
สรุป – iPhone 14 หรือ iPhone 16 ไปเลย
อยากได้ iPhone จอใหญ่ ใช้งานพื้นฐานทั่วไป
หากเป็นกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป ตอนนี้ราคา iPhone 15 Plus จัดว่าลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกครับ เพราะปรับมาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท เท่ากับ iPhone 16 128GB เลย อันนี้ก็ต้องแล้วแต่โจทย์การใช้งาน ซึ่งถ้าความต้องการคืออยากได้หน้าจอใหญ่ ๆ ในราคาประมาณ 30,000 บาท และคิดว่าคงไม่ได้ใช้พวกระบบ AI แน่นอนว่า iPhone 15 Plus จะน่าสนใจกว่า แต่ก็จะมีอีกหนึ่งตัวเลือกนั่นคือ iPhone 14 Plus ที่ราคาเริ่มต้น 26,900 บาท ซึ่งก็จะสถานการณ์คล้ายกับหัวข้อด้านบนครับ คือจ่ายเพิ่มอีก 3,000 ได้ 15 Plus ที่กล้องดีกว่า ชิปใหม่กว่าและใช้พอร์ต USB-C ด้วย
ส่วน iPhone 16 Plus อันนี้ส่วนตัวมองว่าน่าจะตกในสถานการณ์เดียวกันกับ 15 Plus ตอนเปิดตัวครับ คืออยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำให้คนมองว่าซื้อ 15 ที่ราคาย่อมเยากว่าก็ได้ หรือถ้าจะจ่าย 30,000 กลาง ๆ แล้ว สู้ขยับไปรุ่น Pro ที่จอ กล้องและหลาย ๆ อย่างดีกว่าไปเลยน่าจะคุ้มกว่า หรือถ้าไหน ๆ จะผ่อน 0% 10 เดือนแล้ว ก็ไปสุดทางที่ Pro Max ไปเลย ในกรณีที่ผ่อนไหว เลยทำให้ iPhone รุ่น Plus ในซีรีส์ปัจจุบันดูไม่ค่อยน่าดึงดูดเท่าไหร่
ทั้งนี้ยกเว้นว่าหลังเปิดตัวไปหลายเดือนหน่อย เพราะร้านตัวแทนจำหน่ายมักจะจัดโปร iPhone รุ่น Plus ราคาพิเศษ อย่างของ iPhone 15 Plus ที่ผมตามก่อนหน้านี้ ก็จะมีจัดโปรลงมาอยู่ที่ 30,000 ต้น ๆ กันบ่อยพอสมควร ถ้าราคาลงมาอยู่จุดนั้นก็น่าสนใจทีเดียว
สรุป – iPhone 15 Plus
อยากซื้อ iPhone ราคาถูกสุด
หากต้องการ iPhone ที่ราคาเบาสุดจริง ๆ ในกรณีที่เป็นเครื่องมือหนึ่งก็จะมี iPhone SE 3 ที่ยังวางขายอยู่ ราคาเริ่มต้นที่ 16,900 บาทในความจุ 64GB แต่ถ้าจะซื้อจริง ๆ ก็แนะนำว่าขยับมาเป็น 128GB ที่ 18,900 บาทเป็นขั้นต่ำจะดีกว่าครับ เพราะความจุ 64GB มันแทบจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานในปัจจุบันแล้ว
แต่…จากข่าวลือที่มีออกมาก่อนหน้านี้ และรอบผลิตภัณฑ์ที่น่าจะถึงเวลาของการเปิดตัวรุ่นใหม่ซักที ทำให้เป็นไปได้สูงมากว่า Apple น่าจะมีการเปิดตัว iPhone SE 4 ในช่วงต้นปีหน้า ราวเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ซึ่งก็เท่ากับว่าเหลืออีกไม่ถึงครึ่งปีก็น่าจะมี iPhone SE 4 ออกมาแล้ว ทำให้ส่วนตัวผมมองว่า iPhone SE 3 อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกของ iPhone ราคาถูกสุดที่น่าซื้อมาใช้งานในช่วงนี้มากนัก เนื่องจากกระแสข่าวลือและข้อมูลที่มีออกมา SE 4 น่าจะปรับมาใช้ดีไซน์แบบเดียวกับรุ่นหลักในปัจจุบัน รวมถึงเปลี่ยนมาใช้จอ OLED และมากับสเปคใหม่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการอัปเกรดแบบยกชุดให้น่าใช้งานขึ้นกว่า SE 3 มาก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ แนะนำว่ารอไปก่อนจะดีกว่าครับ
หรือถ้าจำเป็นต้องซื้อมาใช้ก่อนจริง ๆ แนะนำว่าลองดูเป็น iPhone 14 มือสองสภาพดีก็ได้ เท่าที่เช็คราคาใน Facebook Marketplace ตอนนี้จะมีขายกันอยู่ที่หมื่นกลาง ๆ ถึงเกือบสองหมื่นบาท ใกล้เคียงกับราคา iPhone SE 3 มือหนึ่งเลย แต่ได้เครื่องที่สเปคดีกว่าในหลายจุด ความจุ 128GB โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่ความจุสูงกว่า แต่ส่วนใหญ่มักจะหมดประกันแล้ว และเปอร์เซ็นต์แบตลงมาเหลือต่ำกว่า 90% ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนแบตก็มีร้านรับเปลี่ยนในราคาตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป หรือถ้าเปลี่ยนกับ Apple เองก็จะอยู่ที่ 3,690 บาท ตามราคาบนหน้าเว็บ
สรุป – รอ SE 4 ต้นปีหน้าหรือ iPhone 14 มือสอง
อยากได้ iPhone สเปคใหม่ ๆ ใช้ได้อีกนาน
ด้วยความที่ราคาเปิดตัวของ iPhone 16 ในทุกความจุ ลดลงจากปีก่อนถึง 3,000 บาท ทำให้เหลือราคาเริ่มต้นที่จับต้องได้ง่ายขึ้น ทำให้ถ้าหากคุณอยากซื้อ iPhone สเปคใหม่ ๆ ซักเครื่องแล้วคิดไว้ว่าจะใช้งานไปอีกหลายปี ตัวของ iPhone 16 ดูจะให้ความคุ้มค่าที่มากกว่าการถอยไปเลือกรุ่นปีก่อนอย่าง iPhone 15 ที่ราคาต่างกันไม่มากนัก ยิ่งถ้าซื้อแบบโปรบัตรเครดิตผ่อน 0% 10 เดือน ก็เท่ากับว่ามีส่วนต่างที่จ่ายเพิ่มแค่เดือนละ 300 บาทเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านคงมองว่ายอมจ่ายเพิ่มได้
เพราะสิ่งที่ได้มาก็คือสเปคใหม่สุด ได้ชิปใหม่กว่าถึง 2 gen ได้แรมเยอะขึ้น รองรับ Apple Intelligence แถมได้ฟังก์ชันกล้องมาเพิ่ม ทำให้ถ่ายภาพได้สนุกกว่าเดิม รวมถึงยังได้ Wi-Fi 7 ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอนาคตเผื่อไว้ด้วยเลย ทำให้โดยรวมแล้วเหมือนว่า iPhone 16 จะเป็นรุ่นที่มาขีดเส้นกำหนดมาตรฐานสเปคของ iPhone และน่าจะรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS ไปได้อีกหลายปี ตรงนี้ส่วนตัวผมเลยมองว่าถ้าจะเอาสเปคใหม่ ๆ ก็ซื้อ iPhone 16 ไปเลย จบสุด แต่อาจต้องหมายเหตุไว้นิดนึงว่าคนไทยเราอาจจะใช้งานความสามารถของ Apple Intelligence ไม่ได้ทั้งหมดอยู่ดี เนื่องจากหลายฟังก์ชันจะยังผูกกับภาษาที่ใช้เป็นหลัก ซึ่งในตอนนี้ก็จะเน้นภาษาอังกฤษเป็นหลักไปก่อน ทำให้ฟังก์ชันอย่างพวกตัวช่วยในการปรับข้อความ สรุปเนื้อหา ในช่วงแรกจะทำงานได้เฉพาะกับภาษาอังกฤษเท่านั้น ก่อนจะทยอยเปิดภาษาอื่น ๆ ต่อไป ส่วนภาษาไทยก็รอไปอีกยาวครับ
สรุป – iPhone 16 ไปเลย อย่างน้อยก็ได้กล้องดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ
อยากได้ iPhone รุ่นโปร
ส่วนถ้าต้องการซื้อ iPhone รุ่นโปรซักเครื่อง ไม่ว่าจะใช้ยาวหลายปี หรือมีรอบเปลี่ยนทุก 1-2 ปีอยู่แล้ว ถ้าวัดจากเสียงตอบรับของ iPhone 15 Pro ตั้งแต่เปิดตัวมา ผู้ใช้จำนวนมากมักพบปัญหาเครื่องร้อนเร็ว จนทำให้ประสิทธิภาพตก เครื่องค้างไปเลยก็มี ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ อาจจะข้ามกลุ่มของ iPhone 15 Pro และ Pro Max ไปเลยน่าจะดีกว่า ประกอบกับ Apple เองก็ยุติการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้วด้วย ตอนนี้จะเหลือก็แต่เครื่องมือหนึ่งที่ค้างอยู่ตามตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ เท่านั้น
ทำให้ถ้าหากต้องการซื้อ iPhone รุ่นโปรเครื่องใหม่มือหนึ่ง ตอนนี้ก็ควรจะไปเล็งรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 16 Pro ที่รอบนี้ตั้งราคากลางมาน่าสนใจกว่าเดิม เริ่มที่ 39,900 บาทสำหรับความจุ 128GB โดยแต่ละระดับความจุก็จะมีราคาปรับลดลงมาจากตอน 15 Pro ที่ 2,000 – 4,000 บาท ซึ่งถ้าต้องการใช้งานยาว ๆ ก็แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ควรไปเลือกที่รุ่น 256GB เลย เพราะในอนาคต แอปและคอนเทนต์ ไฟล์ภาพ วิดีโอต่าง ๆ คงจะยิ่งกินพื้นที่มากกว่าเดิมขึ้นไปอีก รวมถึงยังมีฟังก์ชันพวก AI เข้ามาด้วย แต่ถ้ามองว่าส่วนตัวไม่ได้ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอบ่อยนัก หรือมีการถ่ายโอนไฟล์เป็นประจำอยู่แล้ว รุ่น 128GB ก็ยังใช้งานได้อยู่ครับ แถมรอบนี้สเปคในหลาย ๆ ด้านของรุ่น Pro ปกติก็ทำมาเทียบเท่ากับ Pro Max แล้วด้วย เช่นกล้องเลนส์เทเลที่สามารถซูมได้เท่ากันแล้ว นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังมีได้ปรับปรุงการออกแบบให้สามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งตรงนี้คงต้องรอการทดสอบกันอีกที แต่แต้มต่อก็น่าจะดีกว่ารุ่นก่อนหน้าอยู่พอสมควร
แต่ถ้าต้องการเครื่องโปรจอใหญ่จริง ๆ ก็คงต้องขยับไป iPhone 16 Pro Max ที่จัดเต็มสุด รุ่นเริ่มต้นความจุ 256GB ราคา 48,900 บาท ซึ่งก็คือราคาเท่าเดิมกับตอนที่ iPhone 15 Pro Max เปิดตัวนั่นเอง แต่สำหรับรุ่น 512GB และ 1TB จะมีราคาลดลงมาเล็กน้อย ทำให้เรื่องความจุ อันนี้ก็แล้วแต่งบประมาณที่มีได้เลย
ส่วนกรณีของเครื่องมือสองก็ตามที่กล่าวไปข้างต้นครับ คือถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะเลี่ยง 15 Pro และ 15 Pro Max ที่มีเสียงตอบรับว่าเครื่องร้อนง่ายไปหน่อย ส่วน 14 Pro และ 14 Pro Max มือสอง อันนี้ส่วนตัวมองว่าขยับมาซื้อ iPhone 16 ดีกว่าครับ สดใหม่กว่าเยอะ สเปคบางส่วนก็ทำออกมาชนกับ 14 Pro ได้แล้วด้วย จะมีก็แต่เรื่องจอที่รุ่นธรรมดายังคงเป็น 60Hz อยู่เท่านั้นเอง