Infinix GT 20 Pro สมาร์ทโฟนเกมมิ่งรุ่นใหม่จากทาง Infinix ที่เกิดมาเพื่อเป็นสมาร์ทโฟนเพื่อการเล่นเกมอย่างแท้จริงด้วยคอนเซ็ปต์ “BORN FOR GAME PRO” จัดเต็มด้วยสเปคที่แทบไม่ต่างกับเรือธงและดีไซน์อันเหนือจินตนาการ อีกทั้งยังได้เป็น Official Gaming phone ในโปรลีกในหลายๆ ประเทศอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น MPL Philippines, MAL Malaysia, MDL Indonesia, MEP Myanmar, PUBG MOBILE SUPER LEAGUE SOUTHEAST ASIA, PMSL (PUBG MOBILE Southeast Asia) และ RoV RPL 2024 Winter Pro League ซึ่งหลังจากที่เราได้เอาไปลองใช้งานมาจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันได้เลย
สเปคของ Infinix GT 20 Pro
- หน้าจอ : LTPS Flexible AMOLED, ขนาด 6.78 นิ้ว, ความละเอียด 2436 x 1080 พิกเซล (FHD+), Refresh Rate 144Hz, Touch Sampling Rate 360Hz, PWM Dimming 2304Hz, DCI-P3 Wide Colour Gamut, ความสว่างสูงสุด 1,300nits
- ชิปประมวลผล : MediaTek Dimensity 8200 Ultimate
- แรม : 12GB ชนิด LPDDR5X รองรับฟีเจอร์ MemFusion สูงสุด 12GB
- หน่วยความจำ : 256GB ชนิด UFS 3.1
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1 : 108MP, f/1.75, AF, OIS (wide) | เซ็นเซอร์ Samsung HM6
- ตัวที่ 2 : 2MP, f/2.4 (macro)
- ตัวที่ 3 : 2MP, f/2.4 (depth)
- กล้องหน้า : 32MP, f/2.2 (wide)
- แบตเตอรี่ : 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W Hyper Charge
- ระบบปฏิบัติการ : XOS 14 For GT บนพื้นฐาน Android 14
- การเชื่อมต่อ :
- 5G Dual-SIM
- Wi-Fi 6
- Bluetooth
- GPS
- NFC
- FM
- USB Type-C 2.0
- เซ็นเซอร์ :
- Fingerprint Sensor (ใต้หน้าจอ)
- G-Sensor
- E-Compass
- Gyroscope
- Light Sensor
- Proximity Sensor
- มาตราฐานกันน้ำ-กันฝุ่น : IP54
- ขนาด : 164.26 x 75.43 x 8.15 มม.
- น้ำหนัก : 194 กรัม
- สี : Mecha Blue, Mecha Orange, Mecha Silver
- ราคา : 12,999 บาท
การเล่นเกม
อย่างแรกเลยเรามาพูดถึงจุดเด่นที่สุดของเครื่องกันก่อนเลยนั่นก็คือการเล่นเกม โดย Infinix GT 20 Pro เครื่องนี้เกิดขึ้นมาเพื่อการเล่นเกมเลยได้มีการยัดฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับการเล่นเกมเอาไว้หลากหลายมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสเปคที่แรงที่สุดเท่าที่ทำได้ ชิปประมวลผลแยกเพื่อภาพที่ลื่นไหลขึ้น และซอร์ฟแวร์ที่จะช่วยดึงประสิทธิภาพของตัวเครื่องออกมาให้ถึงที่สุด
ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องพูดถึงเลยก็คือชิปประมวลผลภาพที่ชื่อ Pixelworks X5 Turbo ซึ่งทาง Infinix ใส่เพิ่มเข้ามาเพิ่ม โดยชิปตัวนี้จะทำงานร่วมกับชิปประมวลผลหลักอย่าง Dimensity 8200 Ultimate ช่วยให้การประมวลผลภาพมีคุณภาพที่สูงขึ้นแบบผิดหูผิดตา อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยี MEMC (Motion Estimation, Motion Compensation) และ Gaming Visual Enhancement มาช่วยเพิ่มเฟรมเรทให้สามารถขึ้นไปสูงถึง 120FPS ได้โดยกินพลังงานน้อยกว่าปกติถึง 29%
ทีนี้มาพูดเรื่องการเล่นเกมกันบ้าง โดยเกมที่เราได้เอามาลองเล่นจะมีเกม RoV, PUBG Mobile และ Genshin Impact ซึ่งในที่นี้เราเปิดสุดทุกอย่างทั้งกราฟิกและเฟรมเรท บอกเลยว่ามันดีงามมาก ในเกม RoV ภาพที่ได้นั้นบอกเลยว่าสวยจัดๆ สวยกว่าภาพใน iPhone เสียอีก นอกจากนี้ยังสามารถเล่นแบบ 120FPS ได้อีกด้วย ส่วนเกม PUBG Mobile นั้นเมื่อทำการปรับกราฟิกลงต่ำสุดก็จะสามารถเล่นแบบ 120FPS หรือถ้าอยากได้ภาพสวยๆ ด้วยก็สามารถปรับกราฟิกสุดแบบ 60FPS แล้วไปเปิดโหมด Ultra Frame Rate เพื่อเล่นแบบ 120FPS ก็ได้เช่นกัน ส่วนเกม Genshin Impact ที่กินสเปคขุ้นสุดเองก็สามารถเล่นแบบลื่นๆ ด้วยการตั้งค่าสูงสุดได้ด้วยเช่นกัน และยังสามารถเปิดโหมด Ultra Frame Rate เพื่อเล่นแบบ 120FPS แบบลื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งนี่เป็นอะไรที่ว้าวที่สุดเลย
สำหรับเกมตอนนี้ที่ทาง Infinix แจ้งเอาไว้ว่าสามารถเปิดเฟรมเรทได้สูงกว่า 60FPS จะมี RoV ได้สูงสุด 120FPS, PUBG ได้สูงสุด 120FPS, Free Fire ได้สูงสุด 90FPS, Call of Duty ได้สูงสุด 90FPS, Genshin imapct ได้สูงสุด 120FPS, Honkai: Star Rail ได้สูงสุด 120FPS โดย Genshin imapct และ Honkai: Star Rail นั้นจะเป็นการแทรกเฟรมอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ
คำเตือน! สำหรับเกม RoV ตอนนี้รองรับการเล่นแบบ 120FPS ต่อเนื่องได้นานสูงสุดเพียง 60 นาทีเท่านั้นนะ อาจจะต้องรออัปเดตในอนาคตเพื่อให้สามารถเล่นแบบไม่มีเวลาจำกัดได้
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เรียกได้ว่าน่าสนใจเลยก็คือ Game Lightning Effect ที่จะเกิดแสงขึ้นที่ด้านหลังเครื่องเวลาที่เล่นเกมโดย โดยฟีเจอร์นี้ในปัจจุบันจะรองรับแค่ 3 เกมคือ PUBG, Mobile Legend และ Free Fire ซึ่งไฟจะปรากฎขึ้นด้วยเงื่อนไขดังนี้
- PUBG : เมื่อเล็งหรือยิง
- Mobile Legend : เมื่อทำ First Kill, Solo Kill และ Multi Kill (รองรับแค่ในประเทศอินเดีย)
- Free Fire : เมื่อเล็งหรือมีการต่อสู้อย่างรุนแรง (หรือที่เรียกภาษาเราๆ ว่า ตะลุมบอน นั่นเอง)
และอีกฟีเจอร์ที่มองว่าค่อนข้างน่าสนใจเลยก็คือ Esports Mode ถึงตอนนี้ยังเป็นเป็นแค่ตัว Demo หรือตัวทดลองอยู่ แต่พอใช้งานก็นับว่าน่าสนใจ เพราะฟีเจอร์นี้จะตัดการสื่อสารทั้งหมดไม่ให้มีการแจ้งเตือนขึ้นมา รวมถึงแถบข้าง (Game Assistant) เองก็โดยล็อคด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังจะไปช่วยรีดปรัสิทธิภาพของตัวเครื่องให้ถึงขีดสุดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการประมวลผล, ความเสถียรของเฟรมเรท, สัญญาณ และความเร็วในการตอบสนองต่อการสัมผัส ซึ่งทั้งหมดนั่นจะช่วยให้การเล่นเกมมีความต่อเนื่องขึ้นอย่างมากเลย
ในเมื่อพูดถึงการเล่นเกมแล้วหนึ่งอย่างที่ต้องพูดถึงเลยก็คือการระบายความร้อน โดยทาง Infinix ออกแบบแผ่นระบายความร้อนใน GT Series มาเป็นพิเศษ ด้วย Vapor Chamber ที่มีขนาดพื้นที่กว่า 73% จากพื้นที่ทั้งหมด โดยจะมีการวางแผ่น Vapor Chamber ให้ครอบคลุมบนชิปเซ็ตแบบ 360 องศา ทำให้สามารถระบายความร้อนจากตัวชิปเซ็ตโดยตรงได้มากขึ้นกว่าปกติ 66% และยังมีการซ้อนด้วยแผ่นกราฟีนเพื่อเพิ่มความทนทานต่อความร้อนอีกด้วย ซึ่งจากทั้งหมดนี้ทำให้ GT 20 Pro นั้นสามารถระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็วกว่าสมาร์ทโฟนเครื่องไหนๆ เลย
ดีไซน์ตัวเครื่อง
ทีนี้มาพูดถึงดีไซน์ตัวเครื่องบ้าง โดย GT 20 Pro นั้นจะมาด้วยดีไซน์ที่มีชื่อว่า Cyber Mecha Design ซึ่งจะมาพร้อมกับไฟแบบครึ่งวงกลมนาม Mecha Loop LED Interface ที่จะมีให้เลือก 4 เอฟเฟกต์แสง 8 คอมโบสีเลย ส่วนด้านหลังตัวเครื่องนั้นก็ตามชื่อ Mecha ออกแบบด้วยดีไซน์แนวหุ่นยนต์ทำให้ตัวเครื่องค่อนข้างเด่นสะดุดตาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นโมดูลกล้องลายรังผึ้งหรือลวดลายแบบใบพัด Turbine สำหรับตัวสีเครื่องนั้นจะมีมาให้เลือก 3 สีคือ Mecha Blue, Mecha Orange, Mecha Silver ซึ่งทางทีมงาน Specphone ได้สี Mecha Blue มาทำรีวิวกันครับ
ในส่วนของหน้าจอนั้นนับว่าเป็นอะไรที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบเลยทีเดียว ด้วยหน้าจอที่เป็น Bazel-less AMOLED Display ขนาด 6.78 นิ้ว ที่มีความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมด้วย Refresh Rate 144Hz, Touch Sampling Rate 360Hz, Instant Touch Sampling Rate 1500Hz, 2304Hz PWM Dimming และมีความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 1,300 nits ซึ่งในด้านสีสันนั้นดีงามมาก สวยสดจัดๆ แต่ๆ ความดีงามยังไม่หมดแค่นั้นด้วยคำว่า Bazel-less นั่นเอง เนื่องจากขอบตัวเครื่องเองก็นับว่าบางจัดๆ โดยขอบบนจะบางเพียง 1.65 มม. ขอบข้างบาง 1.3 มม. และขอบล่างบาง 2.1 มม. เท่านั้น ทำให้สามารถใส่จอใหญ่ๆ มาได้โดยที่ขนาดตัวเครื่องไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
สำหรับขอบด้านข้างเครื่องนั้นจะมาด้วยดีไซน์ขอบเหลี่ยมที่มีผิวมันเงา ซึ่งอาจจะทำให้เห็นรอยเปื้อนได้ง่าย ส่วนบนขอบข้างนั้นปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิด-ปิดจะรวมกันอยู่ฝั่งขวา ด้านบนจะมีลำโพงเครื่อง, ไมโครโฟน, IR Blaster และข้อความที่ว่า Sound By JBL ที่ด้านล่างจะมีลำโพงตัวเครื่อง, ไมโครโฟน, พอร์ต Type-C และช่องใส่ซิมอยู่
อีกเรื่องที่อยากพูดถึงเลยก็คือเคสตัวเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เข้ากับตัวเครื่องโดยจะมีการเว้นพื้นที่สำหรับใช้แสดงไฟ Mecha Loop ด้วยครับ เพียงแต่ตัวเคสจะเป็นเคสพลาสติกที่ค่อนข้างบางแถมยังไม่ได้กันรอบตัวเครื่องอย่างสมบูรณ์ทำให้อาจจะปกป้องตัวเครื่องได้ไม่ดีนัก (แลกกับความสวยอะเนอะ)
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
ในเรื่องของการใช้งานด้านต่างๆ นั้น ส่วนของการจับถือบอกเลยว่าจับสบายมือมาก เนื่องจากขนาดตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่มากแถมน้ำหนักยังค่อนข้างเบา เลยทำให้สามารถถือเล่นได้นานกว่าสมาร์ทโฟนเกมมิ่งตัวอื่นๆ พอสมควร ส่วนเรื่องการเล่นแอปฯ โซเชียลต่างๆ นั้นก็หายห่วง เนื่องจากชิปประมวลผลนั้นมีความแรงมากพออยู่แล้ว แถมหน้าจอยังตอบสนองได้รวดเร็วและลื่นไหล ทำให้สามารถเล่นได้โดยไม่ปวดตาอย่างแน่นอน แต่ที่น่าสนใจคือลำโพงคู่ใน GT 20 Pro เครื่องนี้นั้นได้รับการปรับแต่งจาก JBL ทำให้ได้เสียงที่ดูมีมิติ ช่วยให้สามารถแยกเสียงซ้าย-ขวาได้ง่ายด้วย
สำหรับในเรื่องของแบตเตอรี่นั้นตัวเครื่องจะมีแบตเตอรี่อยู่ 5,000mAh ซึ่งจากการที่ได้ลองเอาไปใช้งานมานั้นบอกเลยว่าถ้าไม่ได้เล่นเกมแบบต่อเนื่องหรือปรับกราฟิกสูงๆ ตัวแบตเตอรี่สามารถอยู่จนหมดวันได้สบาย แต่ถ้ามีการเปิดเกมเล่นอย่างจริงจังแล้วจะต้องมีการชาร์จระหว่างวันอย่างน้อยๆ 1 ครั้งอย่างแน่นอน
ในส่วนของการชาร์จนั้นตัวเครื่องจะมาพร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45W Hyper Charge บนมาตราฐาน PD 3.0 ซึ่งจากการที่ได้ทดลองจับเวลาชาร์จในสภาพที่แบตเตอรี่หมดไปแล้วนั้นในช่วง 10 นาทีแรกจะได้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 24% พอครบ 30 นาทีก็จะได้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 65% หากรีบจริงถึงตรงนี้ก็สามารถเอาไปใช้เล่นได้หลายชั่วโมงแล้ว แต่ถ้าอยากจะชาร์จให้เต็มไปเลยจะต้องใช้เวลารวมทั้งสิ้น 57 นาทีครับ เพียงแต่ๆ ระยะเวลาในการชาร์จจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วยเช่นความร้อนที่สะสมเอาไว้ในระหว่างชาร์จเป็นต้น ทำให้ไม่สามารถชี้ชัดเวลาที่แน่นอนได้เลยครับ
ที่สำคัญใน Infinix GT 20 Pro นั้นจะมีฟีเจอร์ Bypass Charging ด้วย ซึ่งฟีเจอร์นี้จะทำให้ระหว่างเล่นเกมตัวเครื่องจะไม่ได้ใช้แบตเตอรี่ในตัวเลย แต่จะใช้ไฟตรงจากที่ชาร์จเลย การทำแบบนี้จะช่วยถนอมแบตเตอรี่ให้อยู่กับเราไปนานๆ ได้ครับ
การถ่ายภาพ
ในส่วนของการถ่ายภาพนั้นตัวเครื่อง GT 20 Pro จะมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวคือกล้องหลัก 108MP กับกล้อง Macro และ Depth ความละเอียด 2MP ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียด 32MP ซึ่งจากการที่ได้เอาไปลองถ่ายรูปมานั้นต้องยอมรับว่า Infinix ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เพราะเดิมทีสมาร์ทโฟนที่เน้นด้านการเล่นเกมแบบสุดขนาดนี้มักจะได้กล้องที่ค่อนข้างธรรมดา แต่ใน Infinix GT 20 Pro นี้นั้นภาพที่ได้ถือว่าไม่ได้ต่างจากสมาร์ทโฟนปกติในเรทราคาเดียวกันเลย ทั้งสีสัน ความละเอียด ความคมชัด ก็ทำออกมาได้ดี การถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็ทำได้ แถมยังมีฟีเจอร์พิเศษที่มาช่วยเพิ่มสีสันให้การถ่ายภาพได้ด้วยนั่นก็คือฟีเจอร์ที่ชื่อ Sky Shop โดยตัวฟีเจอร์นี้จะให้ AI สแกนหาท้องฟ้า แล้วทำการเปลี่ยนท้องฟ้าเป็นแบบที่เลือก ทำให้สามารถสร้างภาพถ่ายที่มีท้องฟ้าสวยๆ ออกมาได้แม้ในขณะที่ถ่ายจะไม่มีท้องฟ้าสวยๆ เลยก็ตาม
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว
สรุปการรีวิว Infinix GT 20 Pro จากการที่ได้เอาไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นต้องบอกเลยว่ามันคือสมาร์ทโฟนเกมมิ่งที่น่าซื้อที่สุดตัวหนึ่งในตลาดสำหรับเกมเมอร์ที่มีงบพอแค่สมาร์ทโฟนระดับกลาง ด้วยฟีเจอร์ที่ให้มาแทบไม่ได้ต่างจากเรือธงเท่าไร ความสามารถในการเล่นเกมได้ทุกเกมแบบลื่นๆ พร้อมด้วยฟีเจอร์เสริมสำหรับการเล่นเกมมากมาย ซึ่งหากถามว่า Infinix GT 20 Pro รุ่นนี้เหมาะกับใครก็จะขอตอบแบบทันควันเลยว่าเหมาะกับชาวเกมเมอร์งบไม่เยอะที่ต้องการเครื่องเทพๆ ไว้เล่นเกม หรือเหล่านักเรียน / นักศึกษาที่งบไม่เยอะ แต่ต้องการสมาร์ทโฟนที่สามารถเล่นเกมได้
และถ้าใครที่กังวลว่าเมื่อซื้อเครื่องมาแล้วจะโดนแพ บอกเลยว่า Infinix ไม่แพแน่นอน เพราะทาง Infinix การันตีอัปเดต Android 2 เวอร์ชั่น และอัปเดตแพทความปลอดภัยนาน 36 เดือนด้วยนะ
หากสนใจ Infinix GT 20 Pro จะมีขายในรุ่นความจุ 12GB + 256GB ในราคาค่าตัว 12,999 บาท โดยจะเริ่มวางขายวันแรกในวันที่ 27 มิถุนายนผ่านทาง Shopee, Lazada, Tiktok Shop, BaNANA, Jaymart, IT CITY และ TG FONE ซึ่งเมื่อทำการสั่งซื้อในทุกช่องทางไม่ว่าจะบนออนไลน์หรือหน้าร้านก็จะได้รับของแถมเป็น Game Power Gift Boxset มูลค่า 1,599 บาทฟรี ในกล่องประกอบไปด้วย : หูฟัง TWS และ Phone Cooling Fan (ของมีจํานวนจํากัด)
จุดเด่น
- สามารถเล่นเกมได้สูงสุดที่ 120FPS
- สามารถเล่นได้ทุกเกมบน Store
- ดีไซน์ตัวเครื่องเป็นแนวหุ่นยนต์ มีความเท่ในตัวเอง
- ขอบหน้าจอบางจัด
- ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 8200 Ultimate ที่เป็นชิปปรับแต่งพิเศษเพื่อ GT 20 Pro
- มีชิปประมวลผลภาพ Pixelwork X5 Turbo มาช่วยเสริมในการประมวลผลภาพ
- มีระบบระบายความร้อนขนาดใหญ่ที่ระบายความร้อนได้เร็วมาก
ข้อสังเกต
- โหมดเฟรมเรทสูงตอนนี้รองรับแค่ไม่กี่เกม แถมมีจำกัดเวลาเล่นที่ 60 นาทีเท่านั้น แต่ก็รองรับเกมเยอะที่สุดแล้วในปัจจุบันเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น
- ความร้อนตัวเครื่องมาค่อนข้างเร็ว แต่จะไม่ได้สูงมากนัก ทำให้ประสิทธิภาพไม่ถูกลดไปด้วย
- ขอบข้างตัวเครื่องเป็นแบบมันเงาทำให้อาจเห็นรอยนิ้วมือได้เวลาไม่ได้ใส่เคส
- ตัวเคสไม่สามารถช่วยปกป้องตัวเครื่องได้ทั้งหมด
- AI ของฟีเจอร์ Sky Shop สแกนหาท้องฟ้าไม่ค่อยเจอทำให้ถ่ายยาก
ในงานเปิดตัวนอกเหนือจากการเปิดตัว Infinix GT 20 Pro แล้วยังมีการเปิดตัวโน็คบุ๊คอีก 2 รุ่นด้วยคือ Infinix GT Book ที่เป็นโน็ตบุ๊คเกมมิ่ง และ Infinix INBOOK Y3MAX ที่เป็นโน็ตบุ๊คแบบบางเบา โดยทั้งคู่จะมีราคาดังนี้
Infinix GT Book จะมีให้เลือกอยู่ 2 สีคือ Gray และ Sliver
- GT Book i5 16GB+512GB ราคา 33,990 บาท
- GT Book i7 16GB+1TB ราคา 39,990 บาท
สำหรับ Infinix GT Book นั้นจะมาพร้อม Mecha Design และ Adaptive LED Interface ใช้การ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce RTX 4050 ทุกรุ่นย่อย
Infinix INBOOK Y3MAX
- Y3MAX i3 1215U ราคา 14,990 บาท
- Y3MAX i5 1215U ราคา 16,990 บาท
- Y3MAX i3 1235U ราคา 17,990 บาท
- Y3MAX i5 1255U ราคา 18,990 บาท
โดยความเจ๋งของ INBOOK Y3MAX ในครั้งนี้คือหน้าจอขนาด 16 นิ้ว Immersive FHD+ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาด 70WHr ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน
โดยทั้งคู่จะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายนเป็นต้นไปทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ครับ