เจาะลึกเทคโนโลยีกล้องสุดโหดใน Xiaomi 14 Series สมาร์ตโฟนระดับเรือธงช่วงครึ่งปีแรกของ 2024 ส่วนตัวผมมองว่ารุ่นนี้ โดยเฉพาะ Xiaomi 14 Ultra คือออกแบบมาสำหรับสายถ่ายภาพอย่างแท้จริง ส่วนสเปคด้านอื่น ๆ ก็จัดเต็มในระดับท็อปของอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน
สำหรับจุดเด่นของ Xiaomi 14 Series ในเรื่องกล้องถ่ายภาพ อย่างที่ทราบกันดีว่า Xiaomi ได้มีการจับมือกับทาง LEICA มาในสมาร์ตโฟนหลายรุ่น แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าตรงที่ Xiaomi 14 Series ได้ใช้เลนส์ LEICA Summilux ที่มีรูรับแสงขนาดใหญ่พิเศษที่ f/1.6 เก็บแสงและรายละเอียดได้ดีเพิ่มขึ้น
Xiaomi 14 Ultra – กล้องระดับโปรที่อยู่ในร่างสมาร์ตโฟน
โดยกล้องหลักของ Xiaomi 14 Ultra มีรูรับแสงแบบปรับได้ตั้งแต่ f/1.63-f/4.0 มาพร้อมเซนเซอร์ภาพ 1 นิ้วรุ่นเรือธง LYT-900 และเทคโนโลยี Dual Native ISO Fusion Max ทำให้ได้รับช่วงไดนามิก 14EV ส่งผลให้สามารถถ่ายภาพที่จัดเต็มทั้งรายละเอียด ไฮไลท์ และแสงเงาที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่แสงน้อยหรือว่าแสงจ้ามากๆ ก็ยังได้รายละเอียดที่คมชัด
ไฮไลต์ถัดมาเป็นกล้องซูมตัวแรก Leica Floating Telephoto 75 มม. ความสุดยอดของกล้องตัวนี้คือมีการโฟกัสระยะใกล้สุดเพียง 10 ซม. ทำให้เป็นกล้องที่ไม่ธรรมดาเหมาะสำหรับทั้งภาพมาโครระยะใกล้ และภาพบุคคล ส่วนกล้องซูมระยะไกลจะเป็นกล้อง Leica Periscoppe 120 มม. ที่ถูกปรับปรุงเรื่องการรับแสงขึ้นถึง 44% เมื่อเทียบกับ Xiaomi 13 Ultra รุ่นก่อนหน้า ทั้งยังได้ระยะโฟกัสที่ใกล้สูงสุด 30 ซม. และสุดท้ายกล้อง Ultra-wide ขนาด 12 มม. ของ Leica เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่กว้างไกลและในพื้นที่แคบ โดยมีระยะโฟกัสมาโครอยู่ที่ 5 ซม. ความจัดเต็มอีกอย่างใน Xiaomi 14 Ultra คือกล้องระยะรองทั้งหมด ใช้เซนเซอร์ภาพ IMX858 ที่มีความละเอียดสูงเท่ากันที่ 50MP ทำให้ในการใช้งานกล้องของ Xiaomi 14 Ultra จะได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพในระดับที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดในทุกระยะ
นอกจากฮาร์ดแวร์กล้องที่ใส่มาแบบสุดทางในทุกระยะแล้ว Xiaomi 14 Ultra ยังออกแบบ UI ของแอปกล้องถ่ายรูปได้ดีมาก ๆ รุ่นหนึ่ง ทั้งการจัดวางเมนูในการใช้งานที่สะดวกในการเลือกโหมด รวมถึงรูปแบบการซูมที่บอกระยะทำการของเลนส์แบบกล้องถ่ายรูป การสลับระยะเลนส์ที่ทำได้อย่างลื่นไหล และแน่นอนว่าเสียงชัตเตอร์แบบกล้อง LEICA อันเป็นเอกลักษณ์ ก็ให้ความรู้สึกที่ดีทุกครั้งเมื่อกดชัดเตอร์ครับ
และถ้าอยากให้ Xiaomi 14 Ultra มีความเป็นกล้องถ่ายรูปมากขึ้นไปอีกขึ้น แนะนำว่าลองเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เข้ากับ Xiaomi 14 Ultra Photography Kit กริปที่จับโทรศัพท์ พร้อมเคสที่มีฟีเจอร์เป็นปุ่มชัตเตอร์ คันโยกซูม ปุ่มบันทึกวิดีโอและแป้นหมุนแบบกำหนดได้เอง แถมยังมีอแดปเตอร์ฟิลเตอร์ขนาด 67 มม. ที่ใส่ฟิลเตอร์จากกล้องถ่ายรูปได้ อย่างตอนที่ผมทดสอบเครื่อง ก็ใช้งานคู่กับ ND Filter ที่ปกติจะใช้กับกล้อง DSLR ทำให้สามารถถ่ายภาพน้ำตกเป็นสายน้ำแบบนุ่มนวลได้เหมือนกับกล้อง DSLR และตัว Photography Kit ยังทำหน้าที่เป็นแบตเตอรี่ชาร์จขนาด 1500mAh เพื่อการถ่ายภาพได้ยาวนานยิ่งขึ้นอีกด้วย
ในการถ่ายวิดีโอ ไฮไลต์อยู่ที่โหมดภาพยนตร์ใน Xiaomi 14 Series ด้วยอัตราส่วนภาพ 2.39:1 และชัตเตอร์ 180° ทำให้ได้วิดีโอที่มีรูปแบบเหมือนภาพยนตร์และภาพเบลอจากการเคลื่อนไหวที่สมจริง อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น AutoFrame ทำให้วัตถุที่โฟกัสนั้นโดดเด่น หรือจะเป็นการซูมอัตโนมัติ ช่วยให้สามารถซูมได้อย่างลื่นไหล แทบจะไม่มีอาการเฟรมขยับ นอกจากนี้ยังมีโหมด MasterCinema ที่เป็นการบันทึกวิดีโอในช่วงไดนามิกสูงใน Rec.2020 10 Bit ฟีเจอร์นี้ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดในส่วนไฮไลท์และเงาได้อย่างดีเยี่ยม หรือจะเป็นโหมดผู้กำกับ (Director mode) ที่สามารถบันทึกวิดีโอแบบ Log เพื่อใช้ทำงานต่อในขั้นตอนของ Post-production ได้อีกด้วย
Xiaomi 14 – กล้องระดับท็อป บนตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด
ส่วนกล้องตัวหลักของ Xiaomi 14 มีความละเอียด 50MP ใช้เซ็นเซอร์ Light Hunter 900 ขนาด 1/1.31″/ 2.4μm กับช่วงไดนามิกสูง 13.5EV และมีเทคโนโลยี Dual-native ISO Fusion Max อีกทั้งยังมีกันสั่น OIS แบบออปติคอล
เลนส์ที่เหลือนั้นจะเป็นตัวอัลตร้าไวด์ความละเอียด 50MP รูรับแสงขนาดใหญ่ f/2.2ถ่ายมุมกว้างได้สูงสุด 115 องศาและมีกันสั่นแบบ EIS ในตัว และกล้อง Telephoto ความละเอียด 50MP สำหรับการถ่ายพอร์ตเทรต สามารถถ่ายได้ด้วยระยะ 14มม.-75 มม. และถ่ายได้ใกล้สุด 10 ซม. พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.0 ที่มีกันสั่น OISด้วยเช่นกัน
ในเรื่องของฟีเจอร์และโหมดที่มาพร้อมกับ LEICA นั้น Xiaomi 14 Series ก็ยังมีให้เล่นและใช้งานกันอีกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น Leica Dual Picture ที่มีทั้ง LEICA VIBRANT และ LEICA AUTHENTIC เลือกถ่ายโทนภาพแบบต่างๆ ได้ รวมถึงมี “Style Presets” ที่สามารถเลือกสไตล์ให้เหมาะกับตัวเอง ทั้งการปรับโทรสี พื้นผิวต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ และยังมีฟิลเตอร์จาก LEICA ที่มีให้เลือกอีกเพียบ เช่น สีธรรมชาติ, Vivid, Monochrome และอื่นๆ
ส่วนโหมดถ่ายคน หรือโหมด Portrait ใน Xiaomi 14 Series ยังคงมาพร้อม Master-lens system สำหรบการถ่าย Portrait ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบ แตกต่างกันไปตามระยะเลนส์ เริ่มจากระยะแรก Documentary Lens 35 มม. ให้ภาพถ่ายเบลอหลังแบบเน้นความสมจริง ถัดมาเป็นระยะที่หลายคนน่าจะใช้ถ่ายภาพคนกันบ่อย ๆ อย่าง Swirly Bokeh Lens 50 มม. ทำให้บุคคล และวัตถุมีความโดดเด่นมากขึ้น ปิดท้ายด้วย Soft Focus Lens ที่ระยะ 90 มม. เน้นความฟุ้งทั้งตัวแบบและฉากหลัง
ไม่ใช่แค่กล้องที่จัดเต็ม แต่ Xiaomi 14 Series จัดเต็มในทุกด้าน
ความยอดเยี่ยมของ Xiaomi 14 Series ไม่เพียงแค่เรื่องกล้องที่ใส่เต็มแบบสุด ๆ แต่ยังรวมถึงสเปคด้านอื่น ๆ ที่ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าจอ, ชิปประมวลผล, แบตเตอรี่ และการออกแบบตัวเครื่อง
สำหรับหน้าจอ Xiaomi 14 รุ่นนี้ได้ใช้หน้าจอ OLED แบบ Super Visual Sense ระดับ 1.5K (2670×1200) กว้าง 6.36 นิ้วครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus รองรับ Refresh Rate 120Hz (1-120Hz) และได้มีการอัพเกรดใหม่ในเรื่องของหน้าจอที่เป็น LTPO C8 ให้ความสว่างหน้าจอได้สูงสุดถึง 3000nits เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังให้สีตามมาตรฐาน CIE2015 ระดับมืออาชีพที่เอาถ่ายรูปตัดต่อได้สีอย่างแม่นยำ พร้อมรองรับ Dolby Vision ,HDR10+, ZREAL และ HDR Vivid ได้หมดเลย
ส่วนหน้าจอแสดงผลของ Xiaomi 14 Ultra มีความละเอียดสูงในระดับ WQHD+ พาแนล AMOLED ขนาด 6.73 นิ้ว ตัวหน้าจอแสดงผลเป็น LTPO C8 ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Xiaomi อัตรารีเฟรชที่ปรับเปลี่ยนได้ 1-120Hz รองรับความลึกของสี12 บิต และรูปแบบ HDR ที่หลากหลาย รวมถึง Dolby Vision, HDR10+, HDR10 และ HLG นอกจากนี้หน้าจอของ Xiaomi 14 Ultra ยังเร่งความสว่างหน้าจอได้สูงสุดถึง 3000nits และได้รับการรับรองมาตรฐานจาก TÜV Rheinland ในด้านการถนอมสายตาอีกด้วย
ด้านการออกแบบตัวเครื่อง Xiaomi 14 Ultra ได้รับการออกแบบโดยใช้โครงสร้าง Xiaomi Guardian Structure ที่แข็งแกร่งประกอบด้วยโครงอลูมิเนียมที่มีความแข็งแรงสูง, หนังวีแกน Xiaomi nano-tech, และกระจก Xiaomi Shield ที่สร้างขึ้นจากบล็อกอะลูมิเนียมชิ้นเดียว ให้ความแข็งแกร่งของเฟรมที่ดีขึ้นถึง 1.38 เท่า หนังวีแกน Xiaomi nano-tech เป็นหนังที่พัฒนาขึ้นใหม่ ส่งผลให้พื้นผิวบางลงและเบาลง แต่ทนทานขึ้นถึง 6 เท่า
ส่วนกระจกหน้าจอ Xiaomi Shield Glass ได้ปรับปรุงความทนทาน โดยเฉพาะที่มุมโดยใช้สูตรผงพิเศษให้ความร้อนที่มากกว่า 1,600 ℃ เพื่อให้เกิดการประสานกันของคริสตัลไลน์ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้มีความทนทานต่อการตกหล่นสูงกว่า Xiaomi 13 Ultra ถึง 10 เท่า นอกจากนี้ดีไซน์หน้าจอของ Xiaomi 14 Ultra ยังเป็นแบบ All Around Liquid มีความโค้งที่สม่ำเสมอทั้งสี่ด้านอีกด้วย
ในขณะที่ Xiaomi 14 มาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องกะทัดรัด มีการออกแบบของขอบจออันบางเฉียบ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง FIAA ที่ได้รวมเอาแผงวงจรมาไว้ภายในหน้าจอแสดงผลแทนที่จะวางไว้ด้านล่าง จึงทำให้ขอบจอมีความบางเป็นพิเศษเพียงแค่ 1.71 มม. ดีไซน์ด้านหลังของ Xiaomi 14 นั้นโค้งลงเล็กน้อยเพื่อให้จับถนัดมือเพื่อการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น การตกแต่งของโมดูลกล้องที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Clous de Paris ให้ความรู้สึกหรูหราสมกับเป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธงครับ
ชิปประมวลผลที่รุ่นนี้ก็จัดเต็มด้วย Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 (4nm) มีความเร็วแรงมากขึ้นถึง 32% และ GPU แรงขึ้นถึง 34% รวมไปถึงการประมวลผลของ AI ที่เพิ่มมาอีก 98% จับคู่กับ RAM LPDDR5x สูงสุด 16GB และความจุในตัวเครื่องแบบ UFS 4.0 ให้เลือกสูงสุด 512GB ใช้ระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS ที่มีพื้นฐานบน Android 14 และในรุ่น Xiaomi 14 Ultra ยังมีระบบระบายความร้อน Xiaomi Dual-Channel IceLoop system ช่วยให้การระบายความร้อนทำได้ดีมากยิ่งขึ้น
ด้านการจัดการพลังงาน Xiaomi 14 มีแบตเตอรี่ความจุ 4610mAh ส่วน Xiaomi 14 Ultra แบตเตอรี่มีความจุ 5000 mAh ทั้งสองรุ่นรองรับระบบชาร์จเร็ว 90W HyperCharge และรองรับระบบชาร์จเร็วแบบไร้สายสูงสุดที่ 80W Wireless HyperCharge
ทั้งหมดนี้ก็คือเทคโนโลยีที่อัดแน่นอยู่ในสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธง Xiaomi 14 Series โดยเฉพาะเรื่องกล้องถ่ายรูปที่ไม่เพียงจัดเต็มด้านฮาร์ดแวร์ แต่ในด้านการประมวลผลภาพถ่ายก็ยังออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมในแบบที่จบหลังถ่ายได้สบาย ๆ เอาเป็นว่าหากใครกำลังมองหาสมาร์ตโฟนเรือธงที่เน้นเรื่องกล้อง ผมว่า Xiaomi 14 Series น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดีมากในปี 2024 เลยครับ
Xiaomi 14 Series ราคา และการวางจำหน่าย
- Xiaomi 14 Ultra มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีขาว รุ่นความจุ 16GB+512GB วางจำหน่ายในราคา 40,990 บาท
- Xiaomi 14 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาว และสีเขียว Jade Green ในรุ่นความจุ 12GB+512GB วางจำหน่ายในราคา 29,990 บาท