Apple Pencil (USB-C) เป็นสไตลัสรุ่นใหม่ล่าสุดที่ Apple วางจำหน่ายออกมา เขาว่ากันว่ามันเป็น Apple Pencil ที่ดีที่สุดเท่าที่ Apple เคยมีมา มาดูกันดีกว่าว่ามันดีอย่างไร
หากจะให้บอกข้อเสียของ Apple Pencil (USB-C) จากผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและนักรีวิวอื่นๆ แล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ทุกคนที่ได้ลองใช้ Apple Pencil (USB-C) มาก่อนนั้นน่าจะพูดถึงข้อสังเกตว่าา Apple Pencil (USB-C) ไม่มีความไวต่อแรงกด ซึ่งนั่นทำให้ผู้ที่ใช้งานสไตลัส Apple Pencil (USB-C) คิดไปได้เองว่าเจ้า Apple Pencil (USB-C) ที่ใช้อยู่นั้นเสียหาย ทว่าจริงๆ แล้วตามสเปคของ Apple Pencil (USB-C) นี้นั้นคุณสมบัติเรื่องการรับแรงกดน้อยเป็นเรื่องปกติในการใช้งาน ซึ่งทำให้หากเอาไปเทียบกับ Apple Pencil รุ่นแรกและรุ่นที่สองที่มีความไวต่อแรงกด มากจนเกิดความแตกต่างขึ้นมาอย่างชัดเจน ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผู้ซื้อควรต้องคำนึงก่อนซื้ Apple Pencil (USB-C) นั้นคือเรื่องของการใช้งานที่เจ้า Apple Pencil (USB-C) นั้นมันจะไม่เหมาะกับการวาดรูปที่ต้องใช้แรงกดสูงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องเลย(แต่จริงๆ แล้วมันก็มีข้อดีของตัวมันเองอยู่)
สิ่งที่เราอยากจะเตือนสำหรับผู้ที่ทำงานทางด้านการออกแบบกราฟิกหรือศิลปิน การมีความไวต่อแรงกดบน Apple Pencil ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งซึ่งเราบอกได้ทันทีเลยว่า Apple Pencil (USB-C) นั้นไม่เหมาะกับคุณแน่นอน แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ใช้ Apple Pencil (USB-C) เพื่อการเขียนแบบปกติแล้วล่ะก็ Apple Pencil (USB-C) นั้นจะทำให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้เป็นอย่างมาก สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือการมีลายเส้นที่สม่ำเสมอจากสไตลัส Apple Pencil (USB-C) ยังคงมีความยอดเยี่ยมอย่างชัดในในเรื่องความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเขียนหรือจดบันทึก เนื่องจาก Apple Pencil (USB-C) เป็นตัวเลือกที่ถูกที่สุดด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 3,190 บาท ดังนั้นสำหรับนักเรียนและนักการศึกษาทุกอย่างจึงสมเหตุสมผลที่คุณจะคิดใช้งาน Apple Pencil (USB-C) แทนเพื่อการประหยัดงบประมาณ ส่วนด้านอื่นๆ จะเป็นเช่นไปนั้นไปติดตามกันได้เลย
- Apple Pencil (USB-C): ราคาและการวางจำหน่าย
- การออกแบบ
- การเชื่อมต่อ
- การเขียนและการวาดภาพ
- คุณควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หรือไม่
Apple Pencil (USB-C): ราคาและการวางจำหน่าย
Apple เปิดตัว Apple Pencil (USB-C) อย่างเงียบๆ ผ่านการแถลงข่าวในเดือนตุลาคม โดยเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาในหลายๆ ช่องทางการสั่งซื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบนเว็บไซต์ของทาง Apple เองและร้านค้าปลีกที่ได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการจากทาง Apple
Apple Pencil (USB-C) จำหน่ายในราคา 3,190 บาท แต่นักเรียนและนักการศึกษาสามารถประหยัดเงินประมาณ 350 บาท ส่งผลให้ราคาเหลือ 2,845 บาท อย่างไรก็ดี Apple Pencil (USB-C) มีเฉพาะสีขาวเท่านั้นและไม่มีตัวเลือกการกำหนดค่าใดๆ ให้ใช้งานเหมือนกับรุ่นพี่ของมัน
Apple บอกว่า Apple Pencil (USB-C) นี้ใช้ได้กับ iPad ที่มีพอร์ต USB-C เท่านั้น ซึ่งรวมถึง iPad รุ่นล่าสุด, iPad mini, iPad Air และ iPad Pro หากคุณมี iPad รุ่นเก่า โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีตัว iPad ของคุณมีพอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB-C ก่อนที่จะไปซื้อ Apple Pencil (USB-C) มาใช้เนื่องจากเห็นว่ามันราคาถูกที่สุด Apple Pencil (USB-C) จัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ Apple ในไลน์ Apple Pencil ที่ถูกที่สุด โดยมี Apple Pencil รุ่นแรกราคา 3,900 บาทและ Apple Pencil รุ่นที่สองราคา 4,990 บาท
การออกแบบ
Apple Pencil (USB-C) ดูคล้ายกับดีไซน์ของ Apple Pencil รุ่นที่สองมากจนคุณอาจเข้าใจผิดเอาได้ แต่เเมื่อคุณลองสังเกตดีๆ แล้วคุณจะมองเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งบ่งชี้แรกว่าคุณถือ Apple Pencil (USB-C) อยู่รึเปล่านั้นจะเป็นเส้นครอบเล็กๆ สำหรับแยกฝาออกจากตัวดินสอสำหรับการชาร์จซึ่งมันไม่เหมือนกับ Apple Pencil รุ่นแรก เนื่องจากฝาไม่ได้ถอดออกจนหมด แต่ใช้วิธีเลื่อนขึ้นลงด้วยมือซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นหนึ่งที่น่าพอใจมาก เมื่อดันฝาปิดออกจะมีแรงต้านเพียงพอและมีแรงกดที่ดีเมื่อดันกลับเข้าไป(แต่ถ้าไปเล่นดึงเข้า-ออกบ่อยๆ ก็ไม่ดีสักเท่าไรนักเพราะเราไม่รู้ว่าในระยะยาวแล้วนั้นฝาปิดนี้จะเสียหายจากการเลื่อเปิดๆ ปิดๆ บ่อยๆ ได้หรือเปล่า)
ฝาปิดมีความแตกต่างที่สำคัญจาก Apple Pencil รุ่นที่สอง สิ่งที่จะทำให้คุณเห็นความแตกต่างชัดเจนอีกอย่างของ Apple Pencil (USB-C) กับรุ่นอื่นๆ นั้นก็คือเรื่องของความยาวของตัวสไตลัสที่แตกต่างกันเช่นกันโดย Apple Pencil (USB-C) มีขนาดนยาว 6.1 นิ้ว ในขณะที่ Apple Pencil รุ่นที่สองมีความยาว 6.53 นิ้ว นอกไปจากนั้นแล้วโดยส่วนใหญ่ความแตกต่างของ Apple Pencil (USB-C) กับรุ่นอื่นๆ จะมีัอยู่เล็กน้อยมาก
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องจริงที่ Apple Pencil (USB-C) จับถือได้ง่ายกว่าเล็กน้อยเมื่อหยิบออกเพื่อที่จะใช้งาน ซึ่งทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่า Apple Pencil (USB-C) นั้นยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานร่วมกับ iPad mini รุ่นล่าสุด Apple Pencil รุ่นที่สองเกือบจะมีความยาวเท่ากับ iPad mini เมื่อติดด้วยแม่เหล็ก แต่ Apple Pencil (USB-C) จะเข้ากันได้ดีกว่ามาก
ความแตกต่างอีกนิดหน่อยก็จะแยกไม่ออกเลยนั้นคือดีไซน์ของ Apple Pencil (USB-C) จะคล้ายกับ Apple Pencil รุ่นที่สองมาก แต่ Apple Pencil (USB-C) จะมีลักษณะโค้งมนทั้งหมด ยกเว้นด้านหนึ่งที่ซึ่งจะทำให้ Apple Pencil (USB-C) วางราบกับโต๊ะหรือติดกับ iPad ได้ นอกจากนี้ยังมีกรอบสำหรับ Apple Pencil (USB-C) ที่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนได้เองแต่วางจำหน่ายแยกต่างหากซึ่งถือว่าเป็นข้อดีเพราะการใช้ Apple Pencil (USB-C) ไปนานๆ ก็อาจจะทำให้มันดูหมองคล้ำกว่าเดิมได้เพราะคุณต้องไม่ลืมว่า Apple Pencil (USB-C) นั้นมีเฉพาะสีขาวเท่านั้น
การเชื่อมต่อ
Apple ได้รับชื่อเสียงในด้านวิธีการชาร์จที่แปลกประหลาดสำหรับอุปกรณ์ในไลน์ Apple Pencil อย่างเช่นในรุ่นแรกนั้นคุณจะต้องชาร์จด้วยการเสียบเข้ากับพอร์ต Lightning ของ iPad ทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดจนทำให้บางคนอาจจะดูอึดอัดกับวิธีการชาร์จแบบนี้(อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมกับการชาร์จแปลกๆ ก็อย่างเช่น Magic Mouse ที่น่าอับอายที่สุดเพราะคุณต้องพลิกเพื่อชาร์จ) แม้ว่า Apple Pencil (USB-C) จะไม่มีวิธีการชาร์จที่แย่เท่ากับตัวอย่างเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก คุณจะต้องใช้สาย USB-C เพื่อเสียบ Apple Pencil เข้ากับ iPad เพื่อจับคู่(ซึ่งจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวตอนที่คุณจะจับคู่ใช้งานระหว่าง Apple Pencil (USB-C) กับ iPad) หลังจากนั้นคุณสามารถใช้หัวชาร์ USB-C ที่เก่าๆ ทำการชาร์จ Apple Pencil (USB-C) ของคุณโดยที่มันจะมีการจับคู่แบบไร้สายอัตโนมัติกลับไปที่ iPad ของคุณ
Apple ได้แก้ไขปัญหานี้ใน Apple Pencil รุ่นที่สองโดยชาร์จแบบไร้สายเมื่อเชื่อมต่อกับด้านข้างของ iPad ของคุณ อย่างไรก็ตามมีสาเหตุบางประการที่ Apple ไม่สามารถใช้วิธีนี้กับเวอร์ชัน USB-C ได้ สิ่งที่ชัดเจนคือการชาร์จแบบไร้สายทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และ Apple Pencil (USB-C) เป็นอุปกรณ์ที่เน้นงบประมาณต่ำ แถมสิ่งที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นคือ iPad รุ่นที่ 10 มีกล้องวางตัวแบบแนวนอนและเซ็นเซอร์นี้อยู่ในตำแหน่งที่ชาร์จไร้สายจะอยู่บน iPad อื่นๆ ด้วย ดังนั้นถือว่าครั้งนี้ Apple ตัดสินใจได้ดีว่ากล้องแนวนอนมีค่ามากกว่าสไตลัสที่มีการชาร์จแบบไร้สาย ด้วยเหตุนี้ Apple Pencil (USB-C) จึงไม่มีการชาร์จแบบไร้สายมาให้คุณใช้งานนั่นเอง
เรื่องนี้สำคัญขนาดไหนมันก็ขึ้นอยู่กับคุณ การจับคู่ไม่ใช่ปัญหามากนักเนื่องจากทำเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้งานได้ยาวนานได้เลย(ถ้าไม่ได้เอาไปเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นๆ อีกนะ) เป็นที่น่าสังเกตว่าหากคุณมี Apple Pencil (USB-C) สองอันด้วยเหตุผลบางประการ คุณจะต้องจับคู่กับสายเคเบิลทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนการใช้งานเจ้า Apple Pencil (USB-C) กับ iPad ทั้งนี้ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ Apple Pencil (USB-C) บังคับให้คุณพกสาย USB-C ติดตัวตลอดเวลา ซึ่งเอาจริงๆ แล้วเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับผู้ใช้งานบางรายที่จะทำการพกสายชาร์จไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาสำหรับการชาร์จโทรศัพท์, แท็บเล็ตหรืออย่างอื่น แต่เนื่องจาก iPad ควรจะเป็นอุปกรณ์พกพาดังนั้นมันควรจะเป็นการดีที่จะสามารถนำ iPad และ Apple Pencil ออกไปข้างนอกได้โดยไม่ต้องใช้สายเคเบิลในการชาร์จทั้งวัน
เพื่อให้ชัดเจน คุณไม่จำเป็นต้องพกสายเคเบิลในทางทฤษฎี ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่คุณขับรถแล้วต้องใช้งาน Apple Pencil 2 ทุกวัน คุณจะพบได่ว่าสถานการณ์ที่สไตลัสไม่จับคู่โดยอัตโนมัติหรือประสบปัญหาแบตเตอรี่หมดเป็ยเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นกับ Apple Pencil (USB-C) แต่เรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างแน่นอนถ้าคุณใช้งาน Apple Pencil (USB-C) บ่อยๆ จนแบตของมันอาจจะหมดอย่างรวดเร็ว(และต้องไม่ลืมนะว่า Apple Pencil (USB-C) ชาร์จได้วิธีเดียวเท่านั้นก็คือการต่อผ่านสาย USB-C)
Apple Pencil (USB-C) สามารถที่จะทำการติดกับ iPad ได้ด้วยแม่เหล็ก แต่มันจะไม่ได้รับการชาร์จไปด้วย(ตามข้อมูลที่เราได้บอกเอาไว้ในข้างต้น) อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีที่ Apple Pencil (USB-C) มาพร้อมกับฟีเจอร์นี้เนื่องจากมันช่วยป้องกันไม่ให้สไตลัวของคุณสูญหายได้ เรายังคงวนเวียนกับข้อเสียของ Apple Pencil (USB-C) หากชาร์จทั้งหมดภายในไม่กี่นาทีมันก็ไม่ใช่ปัญหาทว่าในความเป็นจริงคุณต้องใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงในการชาร์จซึ่งนั่นถือว่าเป็นเวลาที่นานอยู่(แล้วคุณจะไม่พอใจโดยเฉพาะเมื่อคุณใช้ iPad กับ Apple Pencil (USB-C) เพื่อทำการจดบันทึกข้อมูลที่คุณเรียนอยู่แล้วอยู่ๆ แบตของเจ้า Apple Pencil (USB-C) ก็หมดเป็นต้น)
Apple Pencil ของฉันชาร์จได้ประมาณ 30% ในหกนาที โดยเพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 85% ใช้เวลาอีก 11 นาทีเพื่อให้ได้สูงถึง 97% ซึ่งหมายความว่าการชาร์จแบบนี้นั้นมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นกับ Apple Pencil (USB-C) ตามข้อมูลที่เราบอกคุณไว้ในตอนต้น
การเขียนและการวาดภาพ
Apple อาจจะตัดหลายๆ อย่างออกจาก Apple Pencil (USB-C) เพื่อให้ราคาของมันไม่แะงเกินไปมากนัก ด้วยการตัดสินใจแบบนี้เองทำให้ความไวต่อแรงกดบน Apple Pencil (USB-C) ลดลงไปมาก อย่างไรก็ดีผู้ใช้บางรายอาจจะชอบใช้ Apple Pencil (USB-C) ที่ไม่มีความไวต่อแรงกดมากกว่าการใช้ Apple Pencil อีก 2 รุ่นที่เหลือ ไม่เหมือนกับ Apple Pencil รุ่นที่สองที่เมื่อคุณใช้มันจดบันทึกข้อความด้วยการเขียนลงไปนั้นความไวต่อแรงกดจะไม่เกิดขึ้นเพราะ Apple Pencil รุ่นที่ 2 รองรับฟีเจอร์การปรับความไวในการกดโดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้งานมันเพื่อที่จะทำอะไรอยู่
จากข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวอาจจะทำให้คุณพบว่า Apple Pencil (USB-C) มีความสอดคล้องกันเป็นคุณสมบัติที่ดีที่สุด ไม่ว่าคุณจะกด Apple Pencil (USB-C) แรงแค่ไหน คุณก็จะได้ลายเส้นที่คมชัดและสม่ำเสมอ ซึ่งมันทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ Apple Pencil ในการเขียนทั่วไปหรือจดบันทึก ซึ่งทั้ง 2 การใช้งานนี้ไม่จำเป็นต้องมีความไวต่อแรงกดสำหรับแอปพลิเคชันนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นความชอบส่วนบุคคลเพราะฉะนั้นพวกคุณบางคนอาจจะพบว่าความไวต่อแรงกดอาจทำให้การใช้งานแย่ลงได้หากเทียบกับรุ่นอื่นๆ ลองดูการทดสอบแรงกดทับที่รูปภาพด้านล่างต่อไปนี้
ในกรณีที่คุณเป็นนักออกแบบหรือศิลปินที่ต้องเน้นการใช้งาน Apple Pencil เพื่องานทางด้านการทำกราฟิกมากกว่าล่ะ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากข้อมูลที่เราได้บอกคุณไว้ทางด้านบนเนื่องจากการเขียนภาพและออกแบบต่างๆ นั้นความไวต่อแรงกดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ดังนั้นสำหรับงานเฉพาะทางในงานศิลปะหรือแอพพลิเคชั่นกราฟิกทุกประเภทเราแนะนำให้คุณซื้อ Apple Pencil 1 หรือ 2 มาใช้งานแทน
ดังนั้นโดยสรุปแล้ว Apple Pencil (USB-C) จึงเหมาะกับงานสำหรับการเขียนธรรมดาเพื่อทำการจดบันทึกทั่วไปมากกว่าที่จะเอาไว้ใช้งานทางด้านกราฟิก
คุณควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หรือไม่
คุณควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หาก
- คุณต้องการสไตลัสราคาประหยัดสำหรับ iPad USB-C ของคุณ
- คุณไม่จำเป็นต้องใช้สไตลัสที่ไวต่อแรงกด
- คุณใช้ iPad เป็นหลักในการจดบันทึกหรือเขียนด้วยลายมือ
คุณไม่ควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หาก
- คุณให้ความสำคัญกับคุณสมบัติระดับพรีเมียมเช่น ความไวต่อแรงกดและเซ็นเซอร์สัมผัสแบบคาปาซิทีฟ
- คุณใช้ iPad ในการวาดภาพเป็นหลัก
- คุณต้องการ Apple Pencil พร้อมการชาร์จแบบไร้สาย (และมี iPad ที่ใช้งานร่วมกันได้)
Apple ถือว่า Apple Pencil (USB-C) เป็นอุปกรณ์ราคาประหยัดอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้สโลแกนอย่างเป็นทางการคือ “Apple Pencil ที่ราคาไม่แพงที่สุด” เรารู้สึกประหลาดใจกับ Apple Pencil (USB-C) และพบว่ามีอะไรมากกว่านั้นอีกมาก มันเป็นสไตลัสที่ยอดเยี่ยมและการขาดความไวต่อแรงกดอาจเป็นข้อดีสำหรับผู้ใช้บางคน แถมราคาก็ดูแล้วจะคุ้มมากที่สุดโดยเฉพาะสำหรับนักเรียนและนักศึกษา
จุดเด่น จุดด้อย + ให้ความรู้สึกดีมากเมื่ออยู่ในมือ
+ การเชื่อมต่อทำได้ง่ายและรวดเร็ว
+ ยึดติดกับ iPads ด้วยขั้วต่อ USB-C และด้วยแม่เหล็ก– ต้องใช้สาย USB-C สำหรับการชาร์จและการจับคู่
– การชาร์จช้ากว่าที่คาดไว้มาก
– ไม่มีความไวต่อแรงกดซึ่งทำให้มันไม่เหมาะกับการวาดภาพ
ที่มา : xda