Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»iOS Platform»รีวิว(แปล) Apple Pencil (USB-C) สไตลัส ที่เจ๋งที่สุดของ Apple ในปี 2023
    iOS Platform

    รีวิว(แปล) Apple Pencil (USB-C) สไตลัส ที่เจ๋งที่สุดของ Apple ในปี 2023

    EDDYBy EDDY3 ธันวาคม 2023
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Apple Pencil (USB-C) สไตลัส ที่เจ๋งที่สุดของ Apple
    Apple Pencil (USB-C) สไตลัส ที่เจ๋งที่สุดของ Apple
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    Apple Pencil (USB-C) เป็นสไตลัสรุ่นใหม่ล่าสุดที่ Apple วางจำหน่ายออกมา เขาว่ากันว่ามันเป็น Apple Pencil ที่ดีที่สุดเท่าที่ Apple เคยมีมา มาดูกันดีกว่าว่ามันดีอย่างไร

    Apple Pencil (USB-C) สไตลัส ที่เจ๋งที่สุดของ Apple
    Apple Pencil (USB-C) สไตลัส ที่เจ๋งที่สุดของ Apple

    หากจะให้บอกข้อเสียของ Apple Pencil (USB-C) จากผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและนักรีวิวอื่นๆ แล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ทุกคนที่ได้ลองใช้ Apple Pencil (USB-C) มาก่อนนั้นน่าจะพูดถึงข้อสังเกตว่าา Apple Pencil (USB-C) ไม่มีความไวต่อแรงกด ซึ่งนั่นทำให้ผู้ที่ใช้งานสไตลัส Apple Pencil (USB-C) คิดไปได้เองว่าเจ้า Apple Pencil (USB-C) ที่ใช้อยู่นั้นเสียหาย ทว่าจริงๆ แล้วตามสเปคของ Apple Pencil (USB-C) นี้นั้นคุณสมบัติเรื่องการรับแรงกดน้อยเป็นเรื่องปกติในการใช้งาน ซึ่งทำให้หากเอาไปเทียบกับ Apple Pencil รุ่นแรกและรุ่นที่สองที่มีความไวต่อแรงกด มากจนเกิดความแตกต่างขึ้นมาอย่างชัดเจน ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผู้ซื้อควรต้องคำนึงก่อนซื้ Apple Pencil (USB-C) นั้นคือเรื่องของการใช้งานที่เจ้า Apple Pencil (USB-C) นั้นมันจะไม่เหมาะกับการวาดรูปที่ต้องใช้แรงกดสูงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องเลย(แต่จริงๆ แล้วมันก็มีข้อดีของตัวมันเองอยู่)

    สิ่งที่เราอยากจะเตือนสำหรับผู้ที่ทำงานทางด้านการออกแบบกราฟิกหรือศิลปิน การมีความไวต่อแรงกดบน Apple Pencil ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งซึ่งเราบอกได้ทันทีเลยว่า Apple Pencil (USB-C) นั้นไม่เหมาะกับคุณแน่นอน แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ใช้ Apple Pencil (USB-C) เพื่อการเขียนแบบปกติแล้วล่ะก็ Apple Pencil (USB-C) นั้นจะทำให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้เป็นอย่างมาก สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือการมีลายเส้นที่สม่ำเสมอจากสไตลัส Apple Pencil (USB-C) ยังคงมีความยอดเยี่ยมอย่างชัดในในเรื่องความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเขียนหรือจดบันทึก เนื่องจาก Apple Pencil (USB-C) เป็นตัวเลือกที่ถูกที่สุดด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 3,190 บาท ดังนั้นสำหรับนักเรียนและนักการศึกษาทุกอย่างจึงสมเหตุสมผลที่คุณจะคิดใช้งาน Apple Pencil (USB-C) แทนเพื่อการประหยัดงบประมาณ ส่วนด้านอื่นๆ จะเป็นเช่นไปนั้นไปติดตามกันได้เลย


    • Apple Pencil (USB-C): ราคาและการวางจำหน่าย
    • การออกแบบ
    • การเชื่อมต่อ
    • การเขียนและการวาดภาพ
    • คุณควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หรือไม่

    Apple Pencil (USB-C): ราคาและการวางจำหน่าย

    Apple เปิดตัว Apple Pencil (USB-C) อย่างเงียบๆ ผ่านการแถลงข่าวในเดือนตุลาคม โดยเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาในหลายๆ ช่องทางการสั่งซื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบนเว็บไซต์ของทาง Apple เองและร้านค้าปลีกที่ได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการจากทาง Apple

     Apple Pencil (USB-C) จำหน่ายในราคา 3,190 บาท แต่นักเรียนและนักการศึกษาสามารถประหยัดเงินประมาณ 350 บาท ส่งผลให้ราคาเหลือ 2,845 บาท อย่างไรก็ดี Apple Pencil (USB-C) มีเฉพาะสีขาวเท่านั้นและไม่มีตัวเลือกการกำหนดค่าใดๆ ให้ใช้งานเหมือนกับรุ่นพี่ของมัน

    Apple บอกว่า Apple Pencil (USB-C) นี้ใช้ได้กับ iPad ที่มีพอร์ต USB-C เท่านั้น ซึ่งรวมถึง iPad รุ่นล่าสุด, iPad mini, iPad Air และ iPad Pro หากคุณมี iPad รุ่นเก่า โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีตัว iPad ของคุณมีพอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB-C ก่อนที่จะไปซื้อ Apple Pencil (USB-C) มาใช้เนื่องจากเห็นว่ามันราคาถูกที่สุด Apple Pencil (USB-C) จัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ Apple ในไลน์ Apple Pencil ที่ถูกที่สุด โดยมี Apple Pencil รุ่นแรกราคา 3,900 บาทและ Apple Pencil รุ่นที่สองราคา 4,990 บาท


    การออกแบบ

    Apple Pencil (USB-C) ดูคล้ายกับดีไซน์ของ Apple Pencil รุ่นที่สองมากจนคุณอาจเข้าใจผิดเอาได้ แต่เเมื่อคุณลองสังเกตดีๆ แล้วคุณจะมองเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งบ่งชี้แรกว่าคุณถือ Apple Pencil (USB-C)  อยู่รึเปล่านั้นจะเป็นเส้นครอบเล็กๆ สำหรับแยกฝาออกจากตัวดินสอสำหรับการชาร์จซึ่งมันไม่เหมือนกับ Apple Pencil รุ่นแรก เนื่องจากฝาไม่ได้ถอดออกจนหมด แต่ใช้วิธีเลื่อนขึ้นลงด้วยมือซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นหนึ่งที่น่าพอใจมาก เมื่อดันฝาปิดออกจะมีแรงต้านเพียงพอและมีแรงกดที่ดีเมื่อดันกลับเข้าไป(แต่ถ้าไปเล่นดึงเข้า-ออกบ่อยๆ ก็ไม่ดีสักเท่าไรนักเพราะเราไม่รู้ว่าในระยะยาวแล้วนั้นฝาปิดนี้จะเสียหายจากการเลื่อเปิดๆ ปิดๆ บ่อยๆ ได้หรือเปล่า)

    ฝาปิดมีความแตกต่างที่สำคัญจาก Apple Pencil รุ่นที่สอง สิ่งที่จะทำให้คุณเห็นความแตกต่างชัดเจนอีกอย่างของ Apple Pencil (USB-C) กับรุ่นอื่นๆ นั้นก็คือเรื่องของความยาวของตัวสไตลัสที่แตกต่างกันเช่นกันโดย Apple Pencil (USB-C) มีขนาดนยาว 6.1 นิ้ว ในขณะที่ Apple Pencil รุ่นที่สองมีความยาว 6.53 นิ้ว นอกไปจากนั้นแล้วโดยส่วนใหญ่ความแตกต่างของ Apple Pencil (USB-C) กับรุ่นอื่นๆ จะมีัอยู่เล็กน้อยมาก

    อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องจริงที่ Apple Pencil (USB-C) จับถือได้ง่ายกว่าเล็กน้อยเมื่อหยิบออกเพื่อที่จะใช้งาน ซึ่งทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่า Apple Pencil (USB-C) นั้นยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานร่วมกับ iPad mini รุ่นล่าสุด Apple Pencil รุ่นที่สองเกือบจะมีความยาวเท่ากับ iPad mini เมื่อติดด้วยแม่เหล็ก แต่ Apple Pencil (USB-C) จะเข้ากันได้ดีกว่ามาก

    ความแตกต่างอีกนิดหน่อยก็จะแยกไม่ออกเลยนั้นคือดีไซน์ของ Apple Pencil (USB-C) จะคล้ายกับ Apple Pencil รุ่นที่สองมาก แต่ Apple Pencil (USB-C) จะมีลักษณะโค้งมนทั้งหมด ยกเว้นด้านหนึ่งที่ซึ่งจะทำให้ Apple Pencil (USB-C) วางราบกับโต๊ะหรือติดกับ iPad ได้ นอกจากนี้ยังมีกรอบสำหรับ Apple Pencil (USB-C) ที่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนได้เองแต่วางจำหน่ายแยกต่างหากซึ่งถือว่าเป็นข้อดีเพราะการใช้ Apple Pencil (USB-C) ไปนานๆ ก็อาจจะทำให้มันดูหมองคล้ำกว่าเดิมได้เพราะคุณต้องไม่ลืมว่า Apple Pencil (USB-C) นั้นมีเฉพาะสีขาวเท่านั้น


    การเชื่อมต่อ

    Apple ได้รับชื่อเสียงในด้านวิธีการชาร์จที่แปลกประหลาดสำหรับอุปกรณ์ในไลน์ Apple Pencil อย่างเช่นในรุ่นแรกนั้นคุณจะต้องชาร์จด้วยการเสียบเข้ากับพอร์ต Lightning ของ iPad ทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดจนทำให้บางคนอาจจะดูอึดอัดกับวิธีการชาร์จแบบนี้(อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมกับการชาร์จแปลกๆ ก็อย่างเช่น Magic Mouse ที่น่าอับอายที่สุดเพราะคุณต้องพลิกเพื่อชาร์จ) แม้ว่า Apple Pencil (USB-C) จะไม่มีวิธีการชาร์จที่แย่เท่ากับตัวอย่างเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก คุณจะต้องใช้สาย USB-C เพื่อเสียบ Apple Pencil เข้ากับ iPad เพื่อจับคู่(ซึ่งจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวตอนที่คุณจะจับคู่ใช้งานระหว่าง Apple Pencil (USB-C) กับ iPad) หลังจากนั้นคุณสามารถใช้หัวชาร์ USB-C ที่เก่าๆ ทำการชาร์จ Apple Pencil (USB-C) ของคุณโดยที่มันจะมีการจับคู่แบบไร้สายอัตโนมัติกลับไปที่ iPad ของคุณ

    Apple ได้แก้ไขปัญหานี้ใน Apple Pencil รุ่นที่สองโดยชาร์จแบบไร้สายเมื่อเชื่อมต่อกับด้านข้างของ iPad ของคุณ อย่างไรก็ตามมีสาเหตุบางประการที่ Apple ไม่สามารถใช้วิธีนี้กับเวอร์ชัน USB-C ได้ สิ่งที่ชัดเจนคือการชาร์จแบบไร้สายทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และ Apple Pencil (USB-C) เป็นอุปกรณ์ที่เน้นงบประมาณต่ำ แถมสิ่งที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นคือ iPad รุ่นที่ 10 มีกล้องวางตัวแบบแนวนอนและเซ็นเซอร์นี้อยู่ในตำแหน่งที่ชาร์จไร้สายจะอยู่บน iPad อื่นๆ ด้วย ดังนั้นถือว่าครั้งนี้ Apple ตัดสินใจได้ดีว่ากล้องแนวนอนมีค่ามากกว่าสไตลัสที่มีการชาร์จแบบไร้สาย ด้วยเหตุนี้ Apple Pencil (USB-C) จึงไม่มีการชาร์จแบบไร้สายมาให้คุณใช้งานนั่นเอง

    เรื่องนี้สำคัญขนาดไหนมันก็ขึ้นอยู่กับคุณ การจับคู่ไม่ใช่ปัญหามากนักเนื่องจากทำเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้งานได้ยาวนานได้เลย(ถ้าไม่ได้เอาไปเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นๆ อีกนะ) เป็นที่น่าสังเกตว่าหากคุณมี Apple Pencil (USB-C) สองอันด้วยเหตุผลบางประการ คุณจะต้องจับคู่กับสายเคเบิลทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนการใช้งานเจ้า Apple Pencil (USB-C) กับ iPad ทั้งนี้ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ Apple Pencil (USB-C) บังคับให้คุณพกสาย USB-C ติดตัวตลอดเวลา ซึ่งเอาจริงๆ แล้วเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับผู้ใช้งานบางรายที่จะทำการพกสายชาร์จไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาสำหรับการชาร์จโทรศัพท์, แท็บเล็ตหรืออย่างอื่น แต่เนื่องจาก iPad ควรจะเป็นอุปกรณ์พกพาดังนั้นมันควรจะเป็นการดีที่จะสามารถนำ iPad และ Apple Pencil ออกไปข้างนอกได้โดยไม่ต้องใช้สายเคเบิลในการชาร์จทั้งวัน

    เพื่อให้ชัดเจน คุณไม่จำเป็นต้องพกสายเคเบิลในทางทฤษฎี ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่คุณขับรถแล้วต้องใช้งาน Apple Pencil 2 ทุกวัน คุณจะพบได่ว่าสถานการณ์ที่สไตลัสไม่จับคู่โดยอัตโนมัติหรือประสบปัญหาแบตเตอรี่หมดเป็ยเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นกับ Apple Pencil (USB-C) แต่เรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างแน่นอนถ้าคุณใช้งาน Apple Pencil (USB-C) บ่อยๆ จนแบตของมันอาจจะหมดอย่างรวดเร็ว(และต้องไม่ลืมนะว่า Apple Pencil (USB-C) ชาร์จได้วิธีเดียวเท่านั้นก็คือการต่อผ่านสาย USB-C)

    Apple Pencil (USB-C) สามารถที่จะทำการติดกับ iPad ได้ด้วยแม่เหล็ก แต่มันจะไม่ได้รับการชาร์จไปด้วย(ตามข้อมูลที่เราได้บอกเอาไว้ในข้างต้น) อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีที่ Apple Pencil (USB-C) มาพร้อมกับฟีเจอร์นี้เนื่องจากมันช่วยป้องกันไม่ให้สไตลัวของคุณสูญหายได้ เรายังคงวนเวียนกับข้อเสียของ Apple Pencil (USB-C) หากชาร์จทั้งหมดภายในไม่กี่นาทีมันก็ไม่ใช่ปัญหาทว่าในความเป็นจริงคุณต้องใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงในการชาร์จซึ่งนั่นถือว่าเป็นเวลาที่นานอยู่(แล้วคุณจะไม่พอใจโดยเฉพาะเมื่อคุณใช้ iPad กับ Apple Pencil (USB-C) เพื่อทำการจดบันทึกข้อมูลที่คุณเรียนอยู่แล้วอยู่ๆ แบตของเจ้า Apple Pencil (USB-C) ก็หมดเป็นต้น) 

    Apple Pencil ของฉันชาร์จได้ประมาณ 30% ในหกนาที โดยเพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 85% ใช้เวลาอีก 11 นาทีเพื่อให้ได้สูงถึง 97% ซึ่งหมายความว่าการชาร์จแบบนี้นั้นมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นกับ Apple Pencil (USB-C) ตามข้อมูลที่เราบอกคุณไว้ในตอนต้น


    การเขียนและการวาดภาพ

    Apple อาจจะตัดหลายๆ อย่างออกจาก Apple Pencil (USB-C) เพื่อให้ราคาของมันไม่แะงเกินไปมากนัก ด้วยการตัดสินใจแบบนี้เองทำให้ความไวต่อแรงกดบน Apple Pencil (USB-C) ลดลงไปมาก อย่างไรก็ดีผู้ใช้บางรายอาจจะชอบใช้ Apple Pencil (USB-C) ที่ไม่มีความไวต่อแรงกดมากกว่าการใช้ Apple Pencil อีก 2 รุ่นที่เหลือ ไม่เหมือนกับ Apple Pencil รุ่นที่สองที่เมื่อคุณใช้มันจดบันทึกข้อความด้วยการเขียนลงไปนั้นความไวต่อแรงกดจะไม่เกิดขึ้นเพราะ Apple Pencil รุ่นที่ 2 รองรับฟีเจอร์การปรับความไวในการกดโดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้งานมันเพื่อที่จะทำอะไรอยู่

    จากข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวอาจจะทำให้คุณพบว่า Apple Pencil (USB-C) มีความสอดคล้องกันเป็นคุณสมบัติที่ดีที่สุด ไม่ว่าคุณจะกด Apple Pencil (USB-C) แรงแค่ไหน คุณก็จะได้ลายเส้นที่คมชัดและสม่ำเสมอ ซึ่งมันทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ Apple Pencil ในการเขียนทั่วไปหรือจดบันทึก ซึ่งทั้ง 2 การใช้งานนี้ไม่จำเป็นต้องมีความไวต่อแรงกดสำหรับแอปพลิเคชันนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นความชอบส่วนบุคคลเพราะฉะนั้นพวกคุณบางคนอาจจะพบว่าความไวต่อแรงกดอาจทำให้การใช้งานแย่ลงได้หากเทียบกับรุ่นอื่นๆ ลองดูการทดสอบแรงกดทับที่รูปภาพด้านล่างต่อไปนี้

    ในกรณีที่คุณเป็นนักออกแบบหรือศิลปินที่ต้องเน้นการใช้งาน Apple Pencil เพื่องานทางด้านการทำกราฟิกมากกว่าล่ะ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากข้อมูลที่เราได้บอกคุณไว้ทางด้านบนเนื่องจากการเขียนภาพและออกแบบต่างๆ นั้นความไวต่อแรงกดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ดังนั้นสำหรับงานเฉพาะทางในงานศิลปะหรือแอพพลิเคชั่นกราฟิกทุกประเภทเราแนะนำให้คุณซื้อ Apple Pencil 1 หรือ 2 มาใช้งานแทน

    ดังนั้นโดยสรุปแล้ว Apple Pencil (USB-C) จึงเหมาะกับงานสำหรับการเขียนธรรมดาเพื่อทำการจดบันทึกทั่วไปมากกว่าที่จะเอาไว้ใช้งานทางด้านกราฟิก


    คุณควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หรือไม่

    คุณควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หาก

    • คุณต้องการสไตลัสราคาประหยัดสำหรับ iPad USB-C ของคุณ
    • คุณไม่จำเป็นต้องใช้สไตลัสที่ไวต่อแรงกด
    • คุณใช้ iPad เป็นหลักในการจดบันทึกหรือเขียนด้วยลายมือ

    คุณไม่ควรซื้อ Apple Pencil (USB-C) หาก

    • คุณให้ความสำคัญกับคุณสมบัติระดับพรีเมียมเช่น ความไวต่อแรงกดและเซ็นเซอร์สัมผัสแบบคาปาซิทีฟ
    • คุณใช้ iPad ในการวาดภาพเป็นหลัก
    • คุณต้องการ Apple Pencil พร้อมการชาร์จแบบไร้สาย (และมี iPad ที่ใช้งานร่วมกันได้)

    Apple ถือว่า Apple Pencil (USB-C) เป็นอุปกรณ์ราคาประหยัดอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้สโลแกนอย่างเป็นทางการคือ “Apple Pencil ที่ราคาไม่แพงที่สุด” เรารู้สึกประหลาดใจกับ Apple Pencil (USB-C) และพบว่ามีอะไรมากกว่านั้นอีกมาก มันเป็นสไตลัสที่ยอดเยี่ยมและการขาดความไวต่อแรงกดอาจเป็นข้อดีสำหรับผู้ใช้บางคน แถมราคาก็ดูแล้วจะคุ้มมากที่สุดโดยเฉพาะสำหรับนักเรียนและนักศึกษา

    จุดเด่นจุดด้อย
    + ให้ความรู้สึกดีมากเมื่ออยู่ในมือ
    + การเชื่อมต่อทำได้ง่ายและรวดเร็ว
    + ยึดติดกับ iPads ด้วยขั้วต่อ USB-C และด้วยแม่เหล็ก
    – ต้องใช้สาย USB-C สำหรับการชาร์จและการจับคู่
    – การชาร์จช้ากว่าที่คาดไว้มาก
    – ไม่มีความไวต่อแรงกดซึ่งทำให้มันไม่เหมาะกับการวาดภาพ

    ที่มา : xda

    Apple Pencil Apple Pencil (USB-C) สไตลัส
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    EDDY

    Related Posts

    iPhone 17 Pro อาจมีกล้องเทเลโฟโต้ซูม 8 เท่า แอปกล้องโปรใหม่ และปุ่มควบคุมกล้องเพิ่ม

    28 กรกฎาคม 2025

    มาแล้ว! iOS 26 Public Beta รุ่นไหนรองรับบ้าง พร้อมวิธีดาวน์โหลดใช้งานแบบง่ายๆ

    25 กรกฎาคม 2025

    Apple เปิดตัว AppleCare One แผนการคุ้มครองใหม่ ครอบคลุมหลายอุปกรณ์ในราคาเดียว

    24 กรกฎาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    เปิดตัว vivo T4R 5G มาพร้อมชิป Dimensity 7400 จอโค้ง AMOLED สี่ด้าน กล้อง 50MP เริ่มต้นประมาณ 7,300 บาท

    31 กรกฎาคม 2025

    แนะนำ 10 โทรศัพท์แบตอึดความจุมากกว่า 6000mAh+ ปี 2025 สเปคครบ ใช้งานได้ยาวๆ ตลอดทั้งวัน

    31 กรกฎาคม 2025

    iQOO Z10 Turbo+ มือถือแบตใหญ่ 8,000mAh ชิป Dimensity 9400+ เตรียมเปิดตัวในจีนวันที่ 7 สิงหาคมนี้

    31 กรกฎาคม 2025

    ยืนยันก่อนเปิดตัว Samsung Galaxy Tab S11 Ultra จะมีแบตเตอรี่ 11,600mAh และชาร์จเร็ว 45W

    31 กรกฎาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X