Infinix ZERO 30 5G สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Infinix ที่ออกแบบมาเอาใจวัยรุ่น Gen-Z สาย Vlog ช่วยเพิ่มคุณภาพคลิปเวลาอัปโหลดขึ้น Youtube, Reels หรือ TikTok อย่างมากด้วยความละเอียดระดับ 4K 60FPS ที่หาไม่ได้เลยในสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนที่ราคาไม่เกิน 12,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการอัดสเปคมาให้แบบจัดเต็มมากอีกด้วย
สเปคของ Infinix ZERO 30 5G
- หน้าจอ : AMOLED, ขนาด 6.78 นิ้ว, ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล (FHD+), Refresh Rate 144Hz, Touch Sampling Rate 360Hz, PWM Dimming 2160Hz, รองรับขอบเขตสี 100% DCI-P3, ความสว่าง 950 นิต, กระจกกันรอย Gorilla Glass 5
- ชิปประมวลผล : MediaTek Dimensity 8020 5G
- แรม : 8GB / 12GB ชนิด LPDDR4X รองรับฟีเจอร์ Extended RAM สูงสุด 9GB
- หน่อยความจำ : 256GB ชนิด UFS 3.1
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1 : 108MP, f/1.65, OIS (wide) | ISOCELL HM6
- ตัวที่ 2 : 13MP, f/2.2, 120˚ (ultrawide)
- ตัวที่ 3 : 2MP, f/2.4 (depth)
- กล้องหน้า : 50MP, f/2.45 (wide) | ISOCELL JN1
- แบตเตอรี่ : 5000mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว 68W Super Charge
- ระบบปฏิบัติการ : XOS 13 บนพื้นฐาน Android 13
- การเชื่อมต่อ :
- 5G (SA / NSA)
- Wi-Fi 6
- Bluetooth 5.2
- GPS
- NFC
- FM Radio
- USB Type-C
- USB OTG
- เซ็นเซอร์ :
- Fingerprint Sensor (ใต้หน้าจอ)
- Light Sensor
- Proximity Sensor
- Gyroscope
- G-Sensor
- E-Compass
- SAR Sensor (Synthetic Aperture Radar)
- ขนาด : 164.51 x 75.03 x 7.9 มม.
- น้ำหนัก : 185 กรัม
- สี : Golden Hour, Rome Green, Fantasy Purple
- ราคา : 11,999 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
Infinix ZERO 30 5G มาด้วยดีไซน์ขอบข้างโค้งพื้นผิวฝาหลังเรียบแต่ค่อนข้างลื่น มีโมดูลกล้องขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ส่วนบนเกือบทั้งหมด และมีสีสันให้เลือกทั้งหมด 3 สีคือ สีทอง Golden Hour, สีเขียว Rome Green และสีม่วง Fantasy Purple เพียงแต่ในปัจจุบันนี้ Infinix นำเข้ามาขายแค่ 2 สีคือสีทอง Golden Hour และสีเขียว Rome Green เท่านั้นส่วนสีม่วง Fantasy Purple ยังไม่มีกำหนดการขายแต่อย่างใด คาดว่าน่าจะเอาเข้ามาขายตามหลังในเร็วๆ นี้ และเครื่องที่ทางทีมงานได้มาจะเป็นสีทอง Golden Hour บอกเลยว่าสวยใช้ได้ มีการเล่นสีสันกับแสงที่ตกกระทบด้วย นอกจากนี้ยังมีชื่อซีรี่ส์อยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่องเพื่อบอกให้รู้ด้วยว่าเครื่องนี้เป็นซีรี่ส์ ZERO นะ
ในส่าวนของหน้าจอนั้นจะมาด้วยหน้าจอ AMOLED ที่มีขอบข้างโค้ง และใช้หน้าจอแบบ Punch Hole แต่ความน่าสนใจในส่วนของหน้าจอนี้นั่นก็คือหน้าจอที่มีอัตรารีเฟรชสูงถึง 144Hz มี PWM Dimming สูงถึง 2160Hz และ รองรับขอบเขตสี 100% DCI-P3 อีกทั้งยังครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 ที่มีความแข็งแรงทนทานไม่เป็นรอยง่ายๆ อีกด้วย และเนื่องด้วยในปัจจุบันนี้มือถือแบรนด์ต่างๆ มักจะติดฟิล์มกันรอยมาให้เลยตั้งแต่แกะกล่อง ทำให้ ZERO 30 5G ก็มีติดมาให้เช่นกัน แต่จะพิเศษกว่าใครเขาเพราะเป็นฟิล์มแบบ HydroGel นั่นเอง
สำหรับขอบตัวเครื่องนั้นจะมีการใช้เฟรมสีทองที่ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเครื่องด้วย ส่วนขอบด้านข้างนั้นพื้นที่ๆ มีจะกว้างเพียง 2.8 มม. เท่านั้น เนื่องมาจากการโค้งของหน้าจอและหลังเครื่อง โดยพื้นที่ด้านข้างน้อยๆ นี้จะมีปุ่มเปิด-ปิดและปุ่มปรับเสียงรวมกันที่ฝั่งขวา ที่ด้านบนจะมีลำโพงตัวเครื่อง, รูไมโครณโฟล และข้อความที่เขียนว่า “Powered By Infinix” ส่วนด้านล่างตัวเครื่องจะมีลำโพงอีกตัว, พอร์ต USB Type-C, รูไมโครโฟน และช่องใส่ซิมแบบ Dual-Slot (ไม่มีช่องสำหรับใส่ MicroSD Card นะ)
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการบน ZERO 30 5G จะเป็น XOS 13 ที่พัฒนามาจาก Android 13 ซึ่งในตัว XOS นี้จะ AI ที่ชื่อ Folax มาเป็นหนึ่งในลูกเล่นของรุ่นด้วย (และคิดว่ารุ่นใหม่ๆ หลังจากนี้น่าจะมีหมด) สำหรับแอปฯ พื้นฐานที่ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรกนั้นถือว่าเยอะในระดับหนึ่งเลยทีเดียวแต่ก็เป็นแอปฯ ที่ใช้ๆ กันอยู่แล้วอะนะ ทั้งแอปฯ ดูแลเครื่อง, แอปฯ โซเชียลมีเดีย และอื่นๆ ซึ่งก็ช่วยให้เราไม่ต้องไปดาวน์โหลดแอปฯ เยอะเกินไปด้วย อีกทั้งยังมีการใส่ลูกเล่นอย่าง Smart Panel สำหรับใช้เป็น Shortcut ของแอปฯ ที่เราใช้บ่อยๆ ได้ด้วยนะ
หนึ่งในจุดเด่นของเครื่องนี้ที่ Infinix เอามาโปรโมทเลยก็คือฟีเจอร์ Extended RAM ซึ่งสามารถแปลงที่เก็บข้อมูลมาเป็นแรมได้สูงสุดถึง 9GB ทำให้แรมตัวเครื่องสามารถเพิ่มได้สูงสุดถึง 21GB เลยทีเดียว ช่วยให้สามารถเปิดแอปฯ ซ้อนกันได้เยอะกว่าใครๆ
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
ในด้านการใช้งานทั่วๆ ไปแล้วนั้นตัวเครื่องนี้ที่มาพร้อมกับชิปประมวลผล Dimensity 8020 ที่มีความแรงที่แทบจะเท่าเรือธงนั้นบอกได้เลยว่าในการโหลดข้อมูลต่างๆ นั้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเน็ตด้วยนะ ในด้านความบันเทิงนั้นบอกได้เลยว่าเยี่ยม ทั้งหน้าจอ AMOLED ที่ให้สีสันสวยสดและลำโพงคู่ที่ให้เสียงแบบสเตอริโอ ทำให้สามารถดูหนังหรือซีรี่ส์ได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจเลยก็คือถึงใน ZERO 30 5G เครื่องนี้มีแอปฯ สำหรับใช้ฟังวิทยุ FM มาให้ด้วย ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันนี้ถูกถอดทิ้งไปหมดแล้ว นับว่าเป็นอะไรที่คลาสสิกอย่างยิ่ง
แต่จุดหนึ่งที่พบก็คือตัวเครื่องไม่ได้รองรับสายแปลง USB-C to 3.5 มม. ทุกรูปแบบ เนื่องจากทางผู้เขียนมีแค่หัวแปลงของ Samsung ที่เคยซื้อมาเมื่อนานมาแล้ว (ปัจจุบันใช้แต่ไร้สายเลยไม่ได้ซื้อใหม่) ซึ่งพอเชื่อมต่อแล้วตัวเครื่องจะมองเป็นกำลังเชื่อมต่อกับคอมเลยขึ้นตัวเลือกขึ้นมาให้เลือกระหว่างชาร์จกับถ่ายโอนข้อมูล และไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็จะไม่มีเสียงออกทางหูฟังอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อความชัวร์ให้ซื้อหูฟังที่เป็นหัว USB-C ตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่า
สำหรับแบตเตอรี่นั้นตัวเครื่องจะมีแบตเตอรี่อยู่ที่ 5000mAh ซึ่งจากการที่ได้ลองใช้มานั้นต้องยอมรับเลยว่าถึกใช้ได้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากชิปประมวลผลที่สามารถจัดการพลังงานได้ดี ส่งผลให้สามารถใช้งานจนหมดวันได้สบายๆ แต่ถึงจะใช้จนแบตหมดก็ไม่ต้องห่วงไปเพราะใช้เวลาชาร์จแค่ไม่นานก็ได้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาในระดับที่ใช้งานได้สบายๆ แล้ว โดยเราได้เริ่มชาร์จตอนแบตเตอรี่เหลือ 1% แล้วเครื่องบังคับปิด ใน 10 นาทีแรกแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 36% และถึง 50% ภายในเวลา 15 นาที ครบ 30 นาที จะได้แบตเตอรี่ 86% เมื่อรวมเวลาชาร์จจาก 1% – 100% จะใช้เวลารวมทั้งสิ้น 41 นาที บอกเลยว่าเป็นการชาร์จที่ไวจัดๆ แถมเครื่องยังไม่ค่อยร้อนด้วย
การเล่นเกม
ในเรื่องของการเล่นเกมนั้นบอกเลยงานนี้ดีจริง เพราะนอกจากจะเล่นเกมทุกเกมแล้ว ยังสามารถเล่นแบบต่อเนื่องได้โดยที่ความร้อนขึ้นไม่เยอะด้วย ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณชิป Dimensity 8020 อย่างแรงเลย ถึงแม้ด้วยความบางของตัวเครื่องแล้วจะทำให้ความร้อนแผ่มาถึงมือได้ค่อนข้างเร็วก็ตาม แต่รู้สึกอย่างมากก็แค่อุ่นๆ เท่านั้นเอง ต่อให้มีการเล่นแบบต่อเนื่องมา 1 ชั่วโมงเต็มๆ แล้วก็ตาม
ซึ่งเกมที่เราเอามาใช้ทดลองเล่นจะมี RoV แบบปรับสุดทุกอย่าง, PUBG Mobile แบบ HDR HD เฟรมเรท Ultra (เฟรมเรท สูงสุด เมื่อปรับกราฟิกเป็น ดี), Genshin Impact ใช้กราฟิกตามที่เกมแนะนำคือระดับกลาง แล้วปรับเฟรมเรทเป็น 60FPS บอกเลยว่าเล่นได้แบบลื่นๆ ทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรก็อยากแนะนำให้ปรับกราฟิกเกม PUBG และ Genshin เป็นต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ได้เฟรมเรทสูงที่สุด และสามารถเล่นได้ต่อเนื่องนานที่สุดครับ
การถ่ายภาพ
ในด้านการถ่ายภาพ ZERO 30 5G จะมาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวที่ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 108MP, กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 13MP และกล้อง Depth ความละเอียด 2MP ส่วนกล้องหน้าที่เป็นจุดเด่นจะมีความละเอียด 50MP ซึ่งใช้เซ็นเซอร์เป็น ISOCELL JN1 แบบที่ใช้ในกล้องหลังของมือถือรุ่นต่ำหมื่น อีกทั้งยังรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60FPS อีกด้วย ซึ่งนี่น่าจะเป็นมือถือแบรนด์จีนเครื่องแรกเลยที่รองรับการบันทึกที่ 60FPS (ปกติจะได้แค่ 30FPS เท่านั้น)
จากการที่ได้เอาไปลองถ่ายมาหลายๆแบบ บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา เพราะไม่ว่าจะแสงแบบไหนก็สามารถถ่ายให้ออกมาได้รายละเอียดครบถ้วนทั้งหมด ต่อให้จะมืดแค่ไหนก็ตาม แถมยังมีลูกเล่นให้เล่นหลายแบบด้วย แต่สิ่งที่พบอย่างหนึ่งเลยก็คือวัตถุที่มีสีสดพอถ่ายออกมาแล้วบางครั้ง AI จะเพิ่มสีให้สดขึ้นจนดูน่ากลัวไปเลยก็มี และอีกสิ่งที่ต้องพิจารณาหน่อยก็คือเรื่องกันสั่นของกล้องหน้าที่ถึงแม้จะรองรับการบันทึกวิดีโอที่ 4K 60FPS แต่เมื่อเปิดกันสั่นความละเอียดก็จะตกลงมาเหลือแค่ 1080P 30FPS เท่านั้น ทำให้ความคมชัดดรอปลงมามากเลยทีเดียว วิธีแก้ก็มีแค่ต้องไปหาขาตั้งมาตั้งให้เครื่องนิ่ง ไม่ก็ต้องใช้ที่จับแบบ Gimbal มาช่วยเพิ่มความนิ่งแทนเท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว Infinix ZERO 30 5G
สรุปการรีวิวจากการที่ได้เอาไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้น ต้องบอกเลยว่า Infinix ZERO 30 5G เป็นมือถือระดับกลางที่เรียกได้ว่าน่าโดนอย่างยิ่ง ด้วยการใช้งานทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโซเชียล, เกม หรือการถ่ายรูป/วิดีโอ ก็ทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาย Vlog หรือสาย Tiktok ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอ เนื่องจากเครื่องนี้น่าจะเป็นเครื่องเดียวในเรทราคาไม่เกิน 12,000 บาท ที่รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K 60FPS แถมต่อให้ใช้แบตจนหมดก็ใช้เวลาชาร์จแปปเดียวก็เอามาใช้ต่อได้เลย ทำให้เป็นเครื่องที่เรียกได้ว่าครบครันและคุ้มค่าสำหรับวัยรุ่น Gen Z เลยก็ว่าได้
จุดเด่น
- ตัวเครื่องมีความเบาบาง ทำให้ถือต่อเนื่องได้นาน
- ได้หน้าจอ AMOLED 144Hz ที่รองรับ DCI-P3 100%
- ชิปประมวลผล Dimensity 8020 5G ที่แรงและจัดการพลังงานได้ดี
- สามารถเพิ่มแรมได้สูงสุดถึง 21GB
- ให้ความจุมามากถึง 256GB
- ได้กล้องหลัง 108MP พร้อมกันสั่น OIS
- ได้กล้องหน้า 50MP ที่รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุด 4K 60FPS
- ชาร์จเร็ว 68W ที่ใช้เวลาชาร์จ 50% ในเวลาแค่ 15 นาที
- ได้ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ
- มีการติดฟิล์มและให้เคสมาพร้อมสรรพ
ข้อสังเกต
- ฝาหลังค่อนข้างลื่น ทำให้เวลาจับถือเครื่องเปล่าๆ แล้วจะมีความกังวลหน่อยๆ
- ไม่รองรับการเพิ่มความจุด้วย MicroSD
- กล้องหน้าเมื่อเปิดกันสั่นความละเอียดจะลดลงมาเหลือแค่ 1080P 30FPS เท่านั้น
- ตัวระบบไม่รองรับหัวแปลง Type-C to 3.5 มม. บางรูปแบบ
สำหรับผู้ที่สนใจ Infinix ZERO 30 5G จะวางจำหน่ายแบบ Online ที่ร้าน Infinix Official Store บน Shopee, Lazada, BaNANA และ TikTok Shop และสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.infinixmobility.com/th หรือติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและกิจกรรมดีๆ จาก Infinix ได้ทางเฟซบุ๊ก Infinix Mobile Thailand