เวลาเรียกได้ว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วทีเดียว กับการมาของ iPad เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งสำหรับใครหลายๆ คน เชื่อได้ว่ายังใช้ iPad 2 กันยังไม่ทันจะเบื่อเลย Apple ก็ได้ส่ง iPad รุ่นใหม่ล่าสุดออกมาอีกแล้ว ที่คราวนี้ต่างออกไปก็ตรงชื่อ ที่ Apple เรียกว่า The new iPad ที่เล่นทำให้หลายๆ คนที่คาดการณ์เอาไว้ว่า iPad รุ่นใหม่นี้จะต้องชื่อว่า iPad 3 หงายหลังไปตามๆ กัน (ฮา) แต่จริงๆ แล้วจะเรียกว่า iPad 3 ก็คงไม่ผิดอะไรครับ ฉะนั้นอย่างไปซีเรียสตรงจุดนี้มากครับ 😀
ยังไงก็ตามคงไม่สำคัญเท่ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ที่ถึงแม้ว่าดูจากภายนอกเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกจากความหนาที่เพิ่มยิ่งขึ้น ด้วยการที่ทาง Apple ได้จัดสเปกแรงๆ อย่างชิปประมวลผล A5X เข้าไปในตัวเครื่อง รวมไปถึงรูปแบบการแสดงผลภาพแบบใหม่ ที่ทำให้เพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นพอสมควรกับ Retina Display ซึ่งทำให้หน้าจอของ The New iPad นี้มีความละเอียดมากยิ่งขึ้นแบบเห็นด้วยตาเปล่า
แนะนำทำความรู้จักกับ iPad รุ่นล่าสุด
ในส่วนของรูปร่างของตัวเครื่องมีขนาดความหนาที่เพิ่มขึ้นมาจาก iPad 2 เล็กน้อย จากเดิมที่เป็น 8.8mm กลายเป็นเป็น 9.4mm แทน ซึ่งเมื่อจับถือหรือดูด้วยตาเปล่าแล้วก็จะรู้สึกได้ทันที แต่ในส่วนของขนาดกว้าง x ยาว ยังคงเดิมนะครับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และแน่นอนว่าในส่วนของน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมาด้วย ประมาณ 40-50 กรัมจาก iPad 2 โดยรุ่นที่เป็น 4G รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านสัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้น จะมีน้ำหนักที่มากกเล็กน้อยเป็นธรรมดานะครับ ด้วยการที่มีโมดูลติดตั้งเพิ่มเข้าไป อีกทั้งยังมีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาว เหมือนอย่างที่มีใน iPad 2 ตัวก่อนหน้านี้แล้ว อันนี้เราก็สามารถเลือกกันได้ตามใจชอบเลย
iPad รุ่นใหม่นี้ นั้นยังคงรูปแบบในการแบ่งรุ่นต่างๆ เช่นเดิม โดยแบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 32GB, 64GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน The new iPad นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G แล้ว ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 32GB ?และ 64GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว The new iPad นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ
ล่าสุด The New iPad?เข้าไทยแล้ว เรียกได้ว่าราคาสูงกว่า iPad 2 เมื่อตอนเปิดตัวเป็นจำนวน 600 บาททุกรุ่นครับ ทั้งที่ขายตามร้าน iStudio หรือขายผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย (ขายแต่รุ่น 4G) โดยมีราคาดังนี้
- Wi-Fi 16GB : 16,500 บาท
- Wi-Fi 32GB : 19,500 บาท
- Wi-Fi 64GB : 22,500 บาท
- Wi-Fi + 4G 16GB : 20,500 บาท
- Wi-Fi + 4G 32GB : 23,500 บาท
- Wi-Fi + 4G 64GB : 26,500 บาท
คุณสมบัติเด่นๆ ของ The New iPad
มาพร้อมกับชิปประมวลผลที่ทางพลังอย่าง Apple A5X ที่เป็น CPU แบบ Dual-Core ความเร็ว 1GHz เหมือนเดิม ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าพอเพียงกับการทำงานอยู่แล้ว แต่ในส่วนของ GPU นั้นกลับเป็นแบบ Quad-Core ที่เรียกได้ว่าในส่วนของการประมวลผลด้านการแสดงภาพกราฟิกนั้น มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า iPad 2 เป็น 2 เท่าด้วยกัน พร้อมแรมขนาด 1GB (มากกว่าเดิม 2 เท่า) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอของ The new iPad ที่มีความละเอียดขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความไฟลลื่นและสวยงามมากกว่าเดิม
และด้วยการเปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A5 เป็น Apple A5X ทำให้มีอัตราการใช้พลังงานที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว?แต่จำเป็นต้องคงระยะเวลาการใข้งานเป็น 10 ชั่วโมงเหมือนเดิม จึงทำให้ The new iPad นี้ต้องเพิ่มความจุของแบตเตอรี่เข้าไปอีกจากที่ใน iPad 2 คือ 6,930 mAh เป็น 11,666 mAh ใน iPad ตัวใหม่นี้ถือได้ว่ามีความจุเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทีเดียว
นอกเหนือจากนี้ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย จากข่าวคราวก่อนหน้านี้ที่มีขึ้นมา แต่ก็ถือได้ว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ ไม่ได้ร้อนจนเกินไปจนจับไม่ได้แต่อย่างใดครับ
อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่ The new iPad นี้รองรับสนับสนุนการทำงานเทคโนโลยีไร้สายระดับ 4G LTE แล้ว โดยมีความเร็วสูงสุดทื่ ?37.5 Mbps จากแต่ก่อนที่ iPad รุ่นแรกและ iPad 2 รองรับเพียงเทคโนโลยี 3G เท่านั้น (ความเร็วสูงในการรับข้อมูลอยู่ที่ 14.4 Mbps) จึงทำให้มีความเร็วในการเชื่อมต่อข้อมูลอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วมากยิ่งขึ้น แต่นั้นก็จะเกิดขึ้นเฉพาะประเทศที่มีเทคโนโลยี 4G แล้วเท่านั้น ซึ่งอย่างในประเทศไทยดูแล้วก็คงอีกนาน เพราะคลื่นความถี่ 4G ของ The new iPad นั้น ไม่ใช่มาตรฐานของเมืองไทยที่ใช้อยู่ตอนนี้เลย อีกอย่างในตอนนี้ให้ 3G ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ซะก่อนดีกว่าครับ แต่ถ้าใครซื้อ The new iPad รุ่นที่เป็น 4G มาใช้ แล้วใช้ในไทยได้แค่ 3G นั้น ก็ไม่ถึงขั้นขาดทุนแต่อย่างใดนะครับ
เรื่องของกล้องดิจิตอล ?ก็ต้องบอกได้เลยว่ามีการพัฒนาขึ้นพอตัว จากเดิมที่กล้องใน iPad 2 สามารถถ่ายภาพแค่พอติดภาพเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น ด้วยภาพนิ่งที่ถ่ายได้มีความละเอียดเพียง 920 x 760 พิกเซล หรือประมาณ 7 แสนพิกเซลเท่านั้น และวีดีโอก็ได้เพียง HD 720p แต่ใน The new iPad ตัวใหม่นี้ มาพร้อมกับกล้องความละเอียดมาตรฐานระดับ 5 ล้านพิกเซล พร้อมทั้งยังสามารถถ่ายวีดีโอเคลื่อนไหวได้ในระดับ Full HD 1080p ทีเดียว สมกับแท็บเล็ตของฝั่ง Android ซะที
จากที่ The new iPad ใช้เซ็นเซอร์เดียวกับ iPhone 4 ทำให้คุณภาพของภาพนั้นดีขึ้นมาอย่างพอตัว (แต่อย่างไรก็ตามคงไม่ดีเท่า iPhone 4S อย่างแน่นอน) นอกจากนี้ยังมาพร้อมชิ้นเลนส์คุณภาพสูงและรูรับแสงแบบเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 4S ส่งผลให้ภาพที่ได้นั้นจาก The new iPad คาดการณ์ว่าดีกว่า iPhone 4 แต่ก็ไม่ดีไปกว่า iPhone 4S ซึ่งในส่วนของตรงนี้คงต้องมาดูกันอีกที ว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ แต่ยังไงก็เชื่อได้ว่าภาพสวยสมจริงขึ้นอย่างแน่นอน
ถ้าจะบอกว่า The new iPad นี้ เป็นแท็บเล็ตตัวแรกที่มีความละเอียดที่สุดระดับนี้ก็ไม่ผิดนัก กับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากับ iPad 2 แต่กลับมีความละเอียดหน้าจอถึง 2048 x 1536 พิกเซล จากรุ่นก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ตัวมีความละเอียดเพียง?1024 x 768 พิกเซลเท่านั้น ซึ่งหากเรานำมาเทียบกับ LCD TV ในปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 40 นิ้ว 50 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่า iPad ตัวใหม่นี้ นั้นมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นเยอะมาก
ซึ่งทาง Apple เองเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Retina Display ที่ก่อนหน้านี้เราคงได้เห็นกันใน iPhone 4 และ iPhone 4S กันแล้ว โดยคุณสมบัติของมันก็คือ เราจะภาพที่ปรากฎบนหน้าจอมีความสวยงามเรียบเนียนเป็นพิกเซล แบบว่าไม่เห็นจุดเม็ดของพิกเซลต่างๆ เลยทีเดียว โดยมีค่า PPI (Pixel Per Inch) อยู่ที่ 264 ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีความหนาแน่นเท่ากับ iPhone 4 ซึ่งค่าอยู่ที่ 326 PPI แต่ก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใข้บนแท็บเล็ตแล้วครับ เพราะปกติเราจะใช้ห่างตากว่าบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้วครับ ฉะนั้นความละเอียดมากไปกว่านี้ก็จะไม่เห็นความแตกต่าง
ตามภาพประกอบนี้สามารถคลิกดูภาพขนาดใหญ่ได้เลยนะครับ จะเห็นถึงความต่างของหน้าจอ iPad 2 และ The new iPad ตัวใหม่เลย ว่ามีความสวยงามเนียนตาเพิ่มขึ้นขนาดไหน ที่ไม่ว่าจะเป็นการอ่านตัวหนังสือ
หรือดูภาพถ่ายนั้น iPad ตัวใหม่นั้น สามารถแสดงภาพได้ห่างชั้นทีเดียว ซึ่งยังไงในเรื่องนี้เดี่ยวเรามาดูกันอีก ในขั้นตอนการทดสอบนะครับ
สิ่งสำคัญนอกเหนือจากส่วนฮาร์ดแวร์ที่ทาง Apple เต็มใจนำเสนอแล้ว ก็ต้องเป็นในเรื่องซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกับ iOS เวอร์ชั่นล่าสุด 5.1 ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพระบบการทำงานแล้ว ยังมีเรื่องของแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องก็สมบูรณ์แบบ อีกทั้งเราเองยังสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ต้องการเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นเกมที่ชื่นชอบ หรือแอพพิเคชั่นที่เป็นตัวช่วยของเราต่างๆ ซึ่งมีทั้งแบบดาวน์โหลดมาใช้งานฟรีๆ ผ่านทาง App Store หรือบางแอพพลิเคชั่นก็จำเป็นต้องเสียเงินซื้อ โดยจ่ายผ่านทางบัตรเครดิตครับ?(จำเป็นต้องมี Apple ID)
และนี่ก็เป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจของ iPad ตัวใหม่นี้ที่สามารถบอกได้เลยว่าน่าซื้อกว่า iPad 2 เป็นไหนๆ (ก็แน่ล่ะของใหม่ก็ต้องดีกว่าเดิม) ซึ่งจะขอย้ำกันอีกครั้งว่าในส่วนของราคานั้นเปิดตัวมาเท่ากับของเดิมเลยทั้ง iPad, iPad 2 ฉะนั้นแล้ว สำหรับใครที่ลังเลว่าจะซื้อ The new iPad (ราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท) หรือ iPad 2 ที่ตอนนี้นำมาลดราคาเลหลัง (ราคาเริ่มต้นที่ 13,500 บาท) ก็ไม่ต้องลังเลครับ เพราะส่วนต่างเพียง 2,400 บาท iPad รุ่นใหม่นั้น คุ้มค่าน่าลงทุนกว่าแบบไม่ต้องคิดมากเลย เมื่อเทียบกับความสามารถที่อยู่ในตัวของ iPad เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้
แกะกล่องพร้อมชมแบบตัวเป็นๆ
มาดูขั้นตอนการแกะกล่องของ The new iPad (iPad 3) กันดีกว่าครับ จะเห็นได้ว่ากล่องนั้นมีรูปร่างหน้าตาและเป็นสีขาวเหมือนเดิมเลย แต่ก็รู้สึกได้ทันทีว่ากล่องนั้นมีลักษณะหนาขึ้นเล็กน้อย รวมไปถึงรูป iPad บนกล่องก็มีความหนาขึ้นกว่า iPad 2 ตัวก่อนหน้านี้ด้วย โดยคำว่า iPad บนกล่องนั้นจะเขียนเป็นเพียง iPad เท่านั้น ไม่ได้มีการบ่งบอกว่าเป็น The new iPad หรือ iPad 3 แต่อย่างใด ซึ่งจริงๆ ตรงนี้ก็เป็นสไตล์ของ Apple แต่ไหมแต่ไรแล้วครับ
สำหรับตัวที่เรานำมารีวิวนั้นเป็น The new iPad Wi-Fi 16GB รุ่นที่เป็นที่ขาวนะครับ ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่บุคคลถ้าใครชอบสีดำหรือกลัวว่าสีขาวใช้ไปนานๆ แล้วจะเหลืองล่่ะก็ สามารถเลือกซื้อเป็นสีดำกันได้เลย แต่จากที่สอบถามคนที่ iPad 2 สีขาวมา ยังไม่เห็นว่ามีใครใช้แล้วตัวเครื่องสีขาวจะกลายเป็นสีเหลืองนะครับ
ซึ่ง iPad 3 ของเรานั้น สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีนะครับ แบตเตอรี่เต็มมา 90% ขึ้นไปทีเดียว
เมื่อเราทำการแกะกล่องออกมาจะเห็นว่ามีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ Wall Charge, สาย USB Dock Connector มาตรฐานของอุปกรณ์ iOS (ใช้ได้ทั้ง iPod, iPhone และ iPad ในเส้นเดียว) และปลั๊กไฟที่ดูหน้าตาแล้วอาจจะประหลาดหน่อย เพราะ iPad เครื่องนี้เป็นเครื่องหิ้วเข้ามาจากฮ่องกงนะครับ โดยในวันที่เรารีวิวนั้นทางศูนย์ไทยหรือร้าน iStudio ยังไม่ได้นำมาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
แน่นอนว่ามาพร้อมคู่มือเล่มบางๆ ที่เหมือนแทบไม่ช่วยอะไร รวมไปถึงสติ๊กเกอร์โลโก้ Apple (โง่ๆ) เหมือนที่มีในทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่ว่าจะเป็น MacBook, iMac, iPhone และสุดท้ายอย่าง iPad รุ่นใหม่นี้
ถึงเวลาได้สัมผัสกับตัวจริงๆ เป็นๆ ซักทีกับตัวเครื่อง โดยอย่างที่บอกไปว่าเราได้เครื่องสีขาวมารีวิว ที่เรียกได้ว่าเห็นแล้วต้องชอบกันแน่นอน กับรูปร่างหน้าตาที่สวยงามและบางเฉียบ (ถึงแม้ว่าอาจจะเฉียบสู้ iPad 2 ไม่ได้) พร้อมทั้งความเนียนของสีขาว เหมือนอย่าง iPhone 4S สีขาว แน่นอนว่ายังมาพร้อมกับ iOS เวอร์ชั่น 5.1 ตัวล่าสุดอ และ Wallpaper ลวดลายแบบใหม่ ที่ความละเอียดรองรับกับหน้าจอ Retina Display
รูปร่างหน้าตาโดยรวมของ The new iPad รุ่น Wi-Fi นั้น จะมีรูปร่างที่เหมือนกับ รุ่น ?Wi-Fi + 4G เลยก็ว่าได้ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้วเช่นเดิม ไม่แตกต่างจาก iPad รุ่นแรกและ iPad 2 หน้าจอสัมผัสและขอบจอเรียบเสมอเป็นแผ่นเดียวกัน เมื่อใช้งานจึงไม่มีสะดุด แน่นอนว่าตัวจอภาพเป็น LED backlight พร้อมทั้งพาเนลคุณภาพสูงอย่าง IPS เรื่องสีสันความสดใสจึงไม่ต้องกังวล รวมไปถึงเรื่องมุมมองการรับชมนั้นถือว่าทำได้เกือบ 180 องศา ไม่แตกต่างจากที่เราดูผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ระดับมืออาชีพทีเดียว
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีความละเอียด ?2048 x 1536?พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อนิ้ว (PPI) ซึ่งจัดได้ว่ามีความละเอียดของหน้าจอมากกว่าเดิมถึง 4 เท่าด้วยกัน (ดูตามภาพด้านบนจะเห็นได้ชัดเจน) สัดส่วนจอเป็น 4:3?แบบเดิมๆ?ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 4 หรือ iPod Touch ที่เป็น 3:2 รวมไปถึงแท็บเล็ต Android ที่ส่วนมากเป็น 16:9 เรียกได้ว่าเหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพฯ แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ
สำหรับน้ำหนักการจับถือเรียกได้ว่ารู้สึกได้ทันทีว่ามีความหนาและความหนักกว่าเดิมเมื่อเทียบกับ iPad 2 ยิ่งถ้าถือมือเดียวนั้นยิ่งรู้สึกได้แบบไม่ต้องสังเกตกันเลยทีเดียว โดยถ้าใครเล่นแอพฯ หรือเกมที่ใช้มือข้างเดียวบ่อยๆ ล่ะก็ งานนี้ถ้าซื้อ The new iPad มา คงต้องหันมาออกกำลังกายกันหน่อย ไม่งั้นแขนล้าหมดกันพอดี
มาดูในแต่ละส่วนของ iPad ตัวนี้ดีกว่าครับ โดยขอเริ่มจากกล้องหน้าก็แล้วกัน ที่เห็นว่าเป็นจุดเล็กดำๆ ในภาพ ที่จะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ VGA (640 x 480 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime?พร้อมกันนั้นยังมีเซ็นเซอร์ปรับความสว่างอัตโนมัติ (Ambient light sensor) อยู่บริเวณด้านบนของตำแหน่งกล้องหน้า
ด้านล่างของตัวเครื่องจะเห็นเป็นปุ่ม Home ไว้สำหรับกลับสู่หน้า Home หรือออกจากตัวของแอพพลิเคชั่นต่างๆ
งานประกอบต่างๆ ของตัวเครื่องนั้น เรียบร้อยมากๆ พร้อมยังมีความแข็งแรง แน่นหนา ที่สามารถรู้สึกได้ตั้งแต่แรกจับ ตั้งแต่กระจกกันรอย Gorilla Glass รวมไปถึงวัสดุอื่นๆ ก็เป็นชนิดคุณภาพสูงไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือโลหะที่นำมาประกอบ?ไม่เหมือนกับแท็บเล็ตเจ้าอื่นๆ ในตลาดอย่างแน่นอน ซึ่งข้อนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ iPad นั้นประสบความสำเร็จนอกจากการที่มีระบบปฏิบัติการและแอพพลิเคชั่นที่ดีแล้ว
ด้านหลังของ The new iPad ก็ยังคงตามแบบฉบับสวยงามและหรูหราน่าจับจอง ตามสไตล์ของ Apple เช่นเดียวกับ Macbook Pro พื้นผิวสัมผัสเป็นแบบเรียบๆ พร้อมกับโลโก้ชัดเจนอยู่บริเวณกลางเครื่องที่สะท้อนเงาเล็กน้อย โดยวัสดุที่ใช้นี้ยังคงเป็นอะลูมิเนียมแบบด้านที่แข็งแรง ซึ่งจับแล้วไม่ค่อยเกิดรอยนิ้วมือมากนัก จากการทดลองถือและจับ เรียกได้ว่ามีความแข็งแกร่งสูงด้วยความที่เป็นโลหะชั้นดี แต่ก็มีข้อจำกัดแบบเดิมๆ เล็กน้อย ก็คือถอดประกอบฝาหลังด้วยตนเองไม่ได้ กับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำไม่ได้ ซื้อมาแค่ไหนใช้มันเท่านั้นพอ (แต่โดยส่วนตัว แนะนำเป็นรุ่น 32GB หรือ 64GB จะเหมาะสุด 16GB ใช้งานจริงอาจจะน้อยเกินไปหน่อย) ซึ่งการใช้งานจริงต้องยอมรับว่าฝาหลังมีความร้อนสูงกว่า iPad 2 พอสมควร เนื่องด้วยสเปกที่แรงขึ้นเป็นเท่าตัว โดยถ้าใช้งานในห้องแอร์ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้งานได้ แต่ถ้าใช้งานข้างนอกล่ะก็แนะนำให้ใส่เคสซักหน่อยจะดีกว่าครับ จะได้ไม่ร้อนมือจนเกินไปครับ
ลงมาขอบจอด้านล่างก็จะเป็น USB Connector ไว้เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ หรือ Docking ต่าง ๆ อีกทั้งยังไว้เชื่อมต่อกับ Wall Charge เพื่อชารจ์ไฟอีกด้วย รวมไปถึงก็มีรายละเอียดที่เป็นการระบุความจุและข้อมูลต่าง ๆ ตามสไตล์ของ Apple ที่ใช้ใน iPhone, iPod ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร (ในรูปเราได้ทำการลบ IMEI และ Serial ของเครื่องออกนะครับ)
ส่วนถัดมาเห็นเป็นช่องที่มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ นั่นคือลำโพงซึ่งเป็นแบบระบบโมโน (ลำโพงแบบออกช่องทางเดียว) ที่จัดว่าคุณภาพเสียงที่ออกมานั้น ยังพอฟังได้ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดอะไร เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นแรกก็ดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้านำมาเทียบกับ iPad 2 ก็คงพอๆ กัน คาดว่าคงเป็นเพราะ Apple อยากให้เราซื้อหูฟังคุณภาพดีๆ หรือลำโพงคุณภาพสูงมาเชื่อมต่อใช้งานมากกว่า
พอร์ตการเชื่อมต่อในการถ่ายโอนข้อมูลยังคงเป็นแบบเดิมมาตรฐานที่ปกติก็ใช้ใน iPhone, iPod และ iPad รุ่นก่อนหน้านั้นอยู่ ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลใน iPad รุ่นใหม่นี้แต่อย่างใด
มุมซ้ายด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5mm ที่ใช้กันในทั่วไปตามอุปกรณ์ต่างๆ แน่นอนว่ารองรับการใช้งานหูฟังแบบมีไมค์ซึ่งเราสามารถอัดเสียงหรือปรับความดังได้ผ่านหูฟังได้ทันที แต่ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานที่มากับเครื่องนั้น ไม่มีหูฟังแถมมาให้อย่งาที่มาใน iPhone หรือ iPod แต่อย่างใดนะครับ
มาดูส่วนของด้านบนบริตรงกลางเครื่อง ที่ถ้าเรามองดีๆ แล้ว จะพบกับช่องของไมค์โครโฟน ที่ไว้รองรับการใช้งานวีดีโอ หรือบันทึกเสียงอื่นๆ
ขอบด้านบนขวาของตัวเครื่องด้านบนจะเป็นปุ่มสีดำ Power / Sleep ส่วนขอบด้านข้างขวาจะเป็นปุ่ม Hold ที่สามารถเลือกที่จะปิดเสียงหรือเป็นตัวล็อกหน้าจอไม่ให้ปรับอัตโนมัติก็ทำได้ โดยการเลื่อนขึ้น-ลง และสุดท้ายคือปุ่มปรับระดับเสียง เรียกได้ว่ายังคงเอาไว้อย่างเดิมไม่แตกต่างจาก iPad รุ่นแรกหรือ iPad 2 อย่างใดเลย
นอกเหนือจากนั้นที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากที่มีกล้องด้านหน้าแล้ว ยังมีในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 5 ล้าน พิกเซล ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดยเป็นผลมาจากการที่ The new iPad นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์เช่นเดียวกับ iPhone 4 จึงทำให้สามารถใช้คุณสมบัตินี้ได้ จาก iPad ตัวก่อน สามารถใช้งานได้เพียงเลือกจุดวัดแสงได้เท่านั้น ไม่สามารถโฟกัสได้ตามต้องการ เพราะโฟกัสนั้นจะเป็นแบบ Fix Focus (เมื่ออัพเป็น iOS 5.0 ขึ้นไป)
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม ซึ่งเรียกได้ว่าได้รับการพัฒนามากกว่ารุ่นก่อนอย่าง iPad 2 ที่สามารถถ่ายได้ 720P เท่านั้น แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ตติดตั้งมาให้ครับ คาดว่ายังไง Apple คงจะไม่ให้ iPad ถ่ายภาพได้ดีเท่ากับ iPhone เป็นแน่แท้ (ฮา) ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายกันนะครับ
สรุปเรื่องดีไซน์และรูปร่างหน้าตา
- มีดีไซน์และความสวยงามหรูหราเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจาก iPad 2
- หน้าจอมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ด้วยความละเอียดระดับ Retina Display
- มีความหนาของตัวเครื่องค่อนข้างมากคือ 9.7mm จากใน iPad 2 ที่เป็น 8.8mm
- มีความหนักมากกว่าเดิมเเบบรู้สึกได้ เมื่อเทียบกับ iPad 2
- เมื่อจับถืออยู่ในมือมีความรู้สึกว่าถือด้วยมือเดียงได้น้อยลง
- กล้องด้านหน้ามีขนาดเล็ก ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นว่ามีกล้องอยู่
- ฝาหลังยังเป็นอะลูมิเนียมเหมือนเดิม ผิวสัมผัสยังคงเหมือนเดิม
- มีให้เลือกสองสีคือสีดำเเละสีขาว เช่นเดียวกับ iPad 2
- ลำโพงเสียงเหมือน iPad 2 คือแค่พอฟังได้เท่านั้น