ระบบปฏิบัติการ iOS และแอพพลิเคชั่นติดเครื่อง
iPad รุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับระบบปฎิบัตการคู่บุญอย่าง iOS เวอร์ชั่น 5.1 ที่ถือได้ว่าเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ที่ดึงความสามารถมาได้อย่างเต็มที่มากมายทีเดียว ในส่วนของแอพพลิเคชั่นการทำงานเบื้องต้นของ iPad 2 และ iPad รุ่นแรกนั้นเหมือนกันเลยดีกว่า อาทิเช่น
- Safari: ใช้ในการข้าอินเตอร์เน็ต ท่องเว็บไซต์
- Mail: รจัดการรับ-ส่งอีเมล์
- Photos: แหล่งรวมรูปภาพภายในเครื่อง
- Video: แหล่งรวมวีดีโอที่มีอยู่ภายในเครื่อง
- Youtube: เครื่องมือรับชมวีดีโอออนไลน์
- iPod: เครื่องเล่นเพลงเฉพาะของ Apple
- iTunes: ศูนย์รวมของการดาวน์โหลดเพลง, หนัง และรายการทีวี (มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- App Store: ศูนย์รวมของการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น (มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- Newsstand: ศูนย์รวมหนังสืออนไลน์ (มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- Maps: แผนที่โลก ใช้งานไม่ต่างกับแผนที่ของ Google
- Notes: ใช้งานการจดบันทึกต่างๆ
- Calendar: ปฎิทิน ใช้ติดตามนัดหมายงาน
- Contacts: ใช้แสดงหรือค้นหารายชื่อ เบอร์โทรและที่อยู่เพื่อนๆ ของเราที่ได้บันทึกเอาไว้
Setting:
อีกทั้งในส่วนของหน้าตาของการ Setting ค่าต่างๆ ก็เหมือนเดิมเลยครับ เรียกได้ว่าใครก็ตามที่เคยใช้ iPad, iPhone หรือ iPod Touch ก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้ไม่ยากเลย แต่มีเพิ่มเติมขึ้นมาในส่วนของ Multitasking Gestures ที่จะทำให้เราสามารถใช้งานทัชกรีนได้หลายนิ้วพร้อมๆ กัน อย่างการออกมาหน้า Home Screen, เปิดหน้า Multitasking bar, สลับการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ เป็นต้นครับ
App Store:
เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นสำคัญของอุปกรณ์ iOS ต่างๆ ของ Apple เลยก็ว่าได้กับ App Store อย่างที่บอกไปแล้ว ว่าแอพพลิเคชั่นหลักๆ ของ iPad รุ่นใหม่ นี้ก็ยังเหมือนเดิม แต่ในส่วนของ App Store คงจะไม่พูดถึงเสียมิได้ เพราะเป็นช่องทางในการหาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ มาติดตั้งกันในเครื่อง
โดย App Store ถือว่าเป็นศูนย์รวมแอพพลิเคชั่นต่างๆ ใน iPad หรือไม่ว่าจะเป็น iOS ไหนก็ตาม ซึ่งตอนนี้มีแอพพลิเคชั่นมากมาย ไว้รองรับการใช้งานที่หลากลหายรูปแบบ โดยมีทั้งฟรีและซื้อเสียเงิน ทั้งนี้สามารถซื้อโปรแกรมได้ผ่านบัตรเครดิตตาม ID ที่เราสมัครไว้?และสำหรับใครที่ยังไม่มี Apple ID สามารถสมัครได้ตามวิธีนี้ได้เลยครับ
โดยแอพพลิเคชั่นแต่ละตัวที่จะติดตั้งหรือจะซื้อนั้น มีข้อมูลรายละเอียดบอกเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อหรือดาวน์โหลดมาลงเครื่องได้ รวมไปถึง Screenshot เป็นภาพให้ดูด้วย ทำให้ตัดสินใจว่าจะเสียเงินซื้อหรือไม่ได้ง่ายๆ ทั้งนี้เมื่อเรานำ iPad ไป Sync กับโปรแกรม iTunes มันก็จะดึงแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งในเครื่องไปไว้ที่ iTunes ด้วย รวมไปถึงเราเองสามารถที่จัดการเรื่องไอคอนต่างๆ ของ App บน iPhone ได้ตามต้องการบน iTunes ได้ทันที นอกจากนี้ระบบจะมีการแจ้งเตือน (หรือถ้าไม่ต้องการก็ปิดได้) ให้อัพเดทแอพพลิเคชั่นเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่ตลอดเวลา ทำให้สะดวกมากสามารถกดอัพเดทพร้อมกันได้เลยครั้งเดียวครับ
Camera:
ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A5X ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายเหมือนเดิม เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ
อาทิเช่น เปลี่ยนหมวดถ่ายภาพนิ่ง/วีดีโอ, ปุ่มลั่นชัตเตอร์/อัดวีดีโอ, สลับกล้องหน้า/หลัง และ ซูม รวมถึงปุ่มลัดเข้า Photos แต่ก็จะมีหลายๆ อย่างที่ iPhone มีแต่ iPad รุ่นใหม่นี้ ไม่มีก็คือ การเปิด/ปิด/Auto Flash และการถ่ายภาพแบบ HDR (High Dynamic Range) โดยกล้องหน้านั้นถ่ายได้ความละเอียดแบบ VGA ไม่จำเป็นต้องเข้า Mode Video Call สามารถใช้ถ่ายปกติได้ โดยสาวๆ คงจะได้ใช้กันอย่างทั่วหน้า เชื่อได้ว่าน่าจะใช้บ่อยกว่ากล้องหลังที่มีความละเอียดมากกว่าเสียอีก
พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้สามารถทำได้ใน iPhone หรือ iPad ที่อัพเกรด iOS เป็น 5.0 ขึ้นไป
ตัวอย่างภาพถ่ายนิ่ง ที่ถ่ายในหลายๆ สภาวะแสง (สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้)
สำหรับการถ่ายวีดีโอนั้นสามารถถ่ายได้ความละเอียด 1080p หรือ Full HD (Full Hi-Definition) ที่สมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ส่วนมากก็จะสามารถถ่ายกันได้ ซึ่ง 1080p เป็นค่าพื้นฐาน โดยเราไม่สามารถที่จะปรับลดความละเอียดลงได้ ไฟล์ที่ถ่ายจะได้เป็นไฟล์ฟอร์แมต .MOV สำหรับคุณสมบัติอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ รวมไปถึงมี Tab to Focus ที่มีการโฟกัส (พร้อมวัดแสงตรงจุดนั้น) เหมือนกับการถ่ายภาพนิ่ง นอกเหนือจากนั้นเรายังสามารถใช้กล้องหน้าในการถ่ายวีดีโอในระดับ VGA ได้อีกด้วย
ตัวอย่างวีดีโอที่ถ่ายใน 2 สภาวะแสง คือกลางแจ้ง และในที่แสงน้อย
สรุปปิดท้ายกับการใช้งาน
เชื่อได้เลยว่า รีวิวของหลายๆ เจ้า (รวมถึง Specphone) คงมีความเห็นค่อนข้างตรงกันว่า The new iPad ?(iPad 3) เป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ อีกทั้งยังมีความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย เรียกได้ว่าไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้วเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แน่นอนว่าทำให้เเท็บเล็ตอย่าง Android ที่ตอนนี้เป็นเวอร์ชั่น Honeycomb 3.0 ที่หลายๆ ผู้ผลิตค่ายได้ส่งออกมาแล้ว อาทิ Samsung Galaxy Tab 10.1, Acer ICONIA Tab A500 และอื่นๆ อีกหลายค่าย ยังพยายามเข้ามาเจาะตลาดเเท็บเล็ตนั้นทำได้ลำบากมากอยู่ (ยิ่งดูจากยอดจำหน่ายะเห็นได้อย่างชัดเจน) ที่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมี ASUS Transformer Prime เริ่มที่จะอัพเป็น Ice Cream Sandwich 4.0?นอกเหนือจากนี้ในอนาคตก็จะมีแท็บเล็ต Windows 8 เข้ามาร่วมแข่งขันในตลาดนี้ด้วย ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่าคู่แข่งรายต่างๆ จะทำได้ดีแค่ไหน
The new iPad ?(หรือจะเรีบกว่า iPad 3 ก็ได้) จัดได้ว่ามาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบจากข้อจำกัดของ iPad รุ่นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความละเอียดของหน้าจอที่มีมากกว่าเดิม และเรื่องกล้องที่คุณภาพที่ดีขึ้นมาก รวมไปถึงในส่วนของตัว iOS เอง อย่างเรื่อง Notification ที่ปรับปรุงขึ้นมาให้ใช้งานได้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและระบบ Multitasking Gestures?ที่เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้จริงๆ ซึ่งเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นทีเดียว แต่ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอครับ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ Apple iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน) และถึงแม้จะมีข้อสังเกตเรื่องความร้อนอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้หากใช้ในห้องแอร์ ส่วนถ้าใช้ข้างนอกคงต้องใส่เคสกันซักหน่อย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากที่สเปกของ iPad ตัวใหม่นี้สูงขึ้นนั่นเอง
ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นแรกหรือ iPad 2 มาก่อนแล้ว จะเห็นว่าการมาของ The new iPad ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกเหนือไปจากความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากซีพียูเเละเเรมที่มากขึ้น รวมไปถึงดีไซน์การออกแบบและน้ำหนักที่หนักขึ้น ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้ถูกใจมากยิ่งขึ้น (ถึงแม้ว่าจะหนักขึ้นก็ตามที) เเต่ถ้ายังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตมาก่อน The new iPad ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,500 บาท (แพงกว่า iPad ตัวก่อนหน้า 600 บาท) กับความสามารถต่างๆ ที่คู่แข่งไม่สามารถให้ราคาได้ต่ำขนาดนี้ได้ครับ ทั้งในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ ความสวยงาม ความแข็งแรง คุณสมบัติต่างๆ รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ iOS และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความละเอียดของหน้าจอที่มีมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้มีประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่าแต่ก่อนอีกด้วย
จุดเด่น
- ดีกว่า iPad 2 ทุกๆ ด้าน
- ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้
ข้อสังเกต
- ตัวเครื่องร้อนกว่า iPad 2 แบบรู้สึกได้
- ตัวเครื่องหนาและหนักกว่า iPad 2 พอสมควร
เอาเป็นว่าหากใครที่มี iPad 2 อยู่แล้วก็คงไม่จำเป็นต้องซื้อ The new iPad (iPad 3) มาครอบครองเท่าไหร่นัก ยกเว้นแต่อยากโดนของใหม่ หรือเอามาเล่นเกม 3 มิติกราฟิกที่สวยงามกว่าเดิม รวมถึงต้องการแท็บเล็ตที่มีหน้าจอความละเอียดสูงๆ เพื่อความเนียนตาเวลาใช้งาน หรือถ้าใครนาทีนี้อยากจะซื้อแท็บเล็ตคุณภาพดีๆ มาใช้ซักตัว โดยเน้นการใช้งานที่ง่ายๆ แอพฯ เยอะๆ ดีไซน์หรูๆ หน่อย คำตอบง่ายๆ ของเราก็คือ Apple The new iPad (iPad 3) เพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งสำหรับในประเทศไทยนั้น คงนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในเดือนเมษายน 2555 นี้แน่นอนครับ ส่วนใครจะเรียก iPad ตัวใหม่นี้ว่าเป็น iPad 3 ก็เรียกไปเถอะครับ ไม่ผิดแต่ประการใด