รีวิว realme GT Master Edition สมาร์ตโฟน 5G รุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง realme จัดเป็นสมาร์ตโฟนที่น่าสนใจในช่วงราคาหมื่นต้น ๆ มาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นใหม่ Qualcomm Snapdragon 778 5G ชิปเซ็ตขนาด 6nm ในตัวเครื่องดีไซน์ระดับ Masterpiece และยังรองรับระบบชาร์จเร็วระดับท็อป 65W SuperDart Charge ในราคาเริ่มต้นเพียง 13,990 บาท
สเปคเครื่องรีวิว realme GT Master Edition
- หน้าจอ Super AMOLED 120Hz ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ พร้อมอัตราการตอบสนอง 360Hz Touch sampling rate
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบด้วย realme UI 2.0
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 778G 5G octa-core ความเร็วสูงสุด 2.4GHz
- GPU Adreno 642L
- RAM 8GB LPDDR5
- ROM 256GB UFS 3.1 ไม่รองรับ microSD Card
- กล้องหน้าความละเอียด 32MP
- กล้องหลัง 3 กล้อง AI
- กล้องหลักความละเอียด 64MP f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX682
- กล้องมุมกว้าง 8MP f/2.3, FOV 119 องศา
- กล้องมาโคร 2MP f/2.4 ระยะโฟกัสใกล้สุด 4 เซนติเมตร
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G + 5G Dual Standby | Wi-Fi 6 | Bluetooth 5.2 | NFC
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C
- แบตเตอรี่ 4,300 mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge
- สเปคเต็ม realme GT Master Edition
- ราคาเริ่มต้น 13,990 บาท
อุปกรณ์ในกล่องมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมพื้นฐานที่สมาร์ตโฟนเครื่องหนึ่งควรจะมี ประกอบไปด้วย สายชาร์จแบบ USB Type-C to USB Type-A, อะแดปเตอร์ 65W SuperDart Charge, เคสที่ส่วนตัวผมมองว่าให้มาดีเกินที่จะเป็นเคสแถม และตัวเครื่องติดตั้งฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่ในกล่อง
DESIGN – การออกแบบตัวเครื่อง
จุดเด่นแรกในเรื่องดีไซน์คือการเลือกใช้ดีไซน์เนอร์ระดับโลกอย่างคุณนาโอโตะ ฟุคาซาว่าเป็นผู้ออกแบบตัวเครื่อง โดยเฉพาะสี Voyager Grey ที่ตัวเครื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระเป๋าเดินทาง ฝาหลังทำมาจากหนัง Vegan ให้สัมผัสที่นุ่ม เป็นมิตรกับธรรมชาติ ด้านหลังมีลายเซ็นต์ของคุณนาโอโตะ ฟุคาซาว่าที่สลักด้วยกระบวนการระดับนาโน
ส่วนอีกสีที่วางจำหน่ายได้แก่สี Daybreak Blue หรือสีของเครื่องในรีวิว realme GT Master Edition นั่นเอง มาพร้อมกับเทคโนโลยี PICSUS ที่ได้รับสิทธิบัตรของญี่ปุ่น จะเป็นการเคลือบนาโนลามิเนตเพื่อให้สมาร์ตโฟนมีความรู้สึกแวววาวแบบเมทัลลิก และที่สำคัญคือฝาหลังสีนี้ ไม่เก็บรอยนิ้วมือ ดูแลรักษาง่ายครับ
ความแตกต่างระหว่าง realme GT Master Edition ทั้งสองสี นอกจากสี และสัมผัสที่แตกต่างกันแล้ว สเปคที่วางจำหน่ายก็ยังแตกต่างกันเล็กน้อยด้วย โดยสี Voyager Grey จะเป็นสเปค RAM 8GB ความจุ 128GB ส่วนสี Daybreak Blue จะเป็น RAM 8GB แต่ความจุมีให้เลือกทั้ง 128GB หรือ 256GB
สำหรับหน้าจอของรุ่นนี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอระดับเรือธง 120Hz Super AMOLED Fullscreen ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ มีอัตรารีเฟรชสูงถึง 120Hz ให้การใช้งานที่ลื่นไหลกว่าหน้าจอปกติแล้ว ยังมาพร้อมกับอัตราการตอบสนองหน้าจอสูงสุด 360Hz Touch sampling rate ซึ่งเห็นผลมากเวลาเล่นเกม เพราะช่วยให้การตอบสนองหน้าจอทำได้รวดเร็วกว่า โดยเฉพาะการเล่นเกมประเภท FPS จะช่วยในการหมุนตัว การเล็ง และการยิงปืนทำได้ง่าย และตอบสนองได้ไวกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องสีสันหน้าจอ ด้วยความที่เป็นพาแนลแบบ Super AMOLED เลยทำให้การแสดงสีสัน ให้สีที่สด และสีดำที่ดำจริง ๆ อีกทั้งสามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้ละเอียด ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ข้อดีของการที่หน้าจอปรับความสว่างได้ละเอียดมาก คือเวลาเล่นโทรศัพท์ในที่แสงน้อย จะสบายตามากกว่า เนื่องจากความสว่างหน้าจอถูกปรับให้เหมาะสมนั่นเอง
รายละเอียดด้านข้าง เริ่มจากด้านขวา จะเป็นตำแหน่งของปุ่ม Power | ด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับระดับเสียง กับถาดซิม (รองรับ 2 nano SIM ไม่รองรับ micro SD Card) | พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ลำโพงหลักจะอยู่บริเวณด้านล่างตัวเครื่อง และมาพร้อมกับพอร์ตหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร | ด้านบนมีเพียงไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ด้านหลังประกอบไปด้วยกล้องหลัง 3 ตัว วางบนโมดูลสี่เหลี่ยมตามสมัยนิยม ตัวโมดูลกล้องนูนขึ้นมาจากฝาหลังเพียงเล็กน้อย ระบุข้อความ Matrix AI Camera โดยสาเหตุที่ฝาหลังมีรายละเอียดน้อย เนื่องจากเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของรุ่นนี้เป็นแบบฝังใต้หน้าจอนั่นเอง
PERFORMANCE – ประสิทธิภาพ
สำหรับความแรงของ realme GT Master Edition รุ่นนี้มาพร้อมชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 778G 5G กับ GT Mode เหมือนรุ่นปกติ และระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำ เมื่อรวมกับฮีทซิงค์ขนาดใหญ่พิเศษ จึงช่วยลดอุณหภูมิขณะที่ประมวลผลหนัก ๆ ได้เป็นอย่างดี ความแรงของ Snapdragon 778G ก็อยู่ในระดับบน ๆ ของสมาร์ตโฟนในตอนนี้ล่ะครับ ตัวเกือบท็อปของ Snapdragon 700 Series ในปี 2021
สำหรับเรื่องการปรับแต่งซอฟต์แวร์มาเร่งประสิทธิภาพของ realme GT Master Edition มาพร้อมกับ Game Space ที่เป็นทั้งศูนย์รวมเกม และปรับแต่งฮาร์ดต์แวร์ให้เหมาะสมกับการเล่นเกม รวมถึงปิดกั้นการแจ้งเตือนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลมากที่สุด
แต่ไฮไลต์จริง ๆ ของ realme GT อยู่ที่การมาพร้อมกับ GT Mode สามารถเปิดใช้งานได้จากหน้า Control Center หลังจากกดใช้งานโหมดดังกล่าว จะเป็นการเปิด Pro Gamer Mode ทันที และปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอเป็น 120Hz รวมถึงอัตราตอบสนองหน้าจอที่เป็น 360Hz นอกจากนี้ยังมีตัวช่วยอย่าง Quick Start ช่วยให้เริ่มเกมมือถือได้ในไม่กี่วินาที สามารถเล่นเกมได้ต่อเนื่องมากขึ้น ไม่ต้องรอโหลดระหว่างเข้าเกม
ผมทดสอบเล่นหลาย ๆ เกมในขณะที่เปิด GT Mode พบว่ารุ่นนี้สามารถเล่นเกมได้ดีทีเดียว Genshin Impact ปรับสุด 60fps เล่นต่อเนื่องได้สบาย ๆ แบบเฟรมไม่ตก รวมถึงเกมอย่าง PUBG Mobile, Ragnarok X Next Generation แต่จะมีข้อสังเกตก็ตรงเกม ROV ที่ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดตั้งค่าเฟรมเรตสูงได้ แต่การตั้งค่าอื่น ๆ ปรับสุดได้หมด คงต้องรอให้ผู้พัฒนาใส่ชิปเซ็ตตัวนี้เข้าไปในฐานระบบว่ามันรองรับโหมด 60fps อีกทีครับ
ด้านการระบายความร้อน แม้ว่าชิปเซ็ต Snapdragon 778G จะไม่ได้เป็นชิปที่ร้อนง่าย (เหมือน Snapdragon 888) แต่ realme ก็ยังใส่ระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำ และฮีทซิงค์ ช่วยให้สามารถเล่นเกม หรือประมวลผลหนัก ๆ ได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผมทดสอบเล่นกับเกมปราบเซียนอย่าง Genshin Impact แบบปรับตั้งค่าสูงสุด 60 fps เล่นต่อเนื่อง 30 นาที พบว่าด้านหลังตัวเครื่องแค่อุ่น ๆ เท่านั้น และไม่พบว่ามีอาการกระตุกระหว่างเล่นเกมด้วยครับ
ด้านการเชื่อมต่อ ผมทดสอบเครื่องรีวิว realme GT Master Edition ที่ใส่ทั้งซิม AIS 5G และ TrueMove H 5G ไล่ทำ SpeedTest ผ่านแอปพลิเคชัน SpeedTest by Ookla (พื้นที่ปากเกร็ด นนทบุรี) รุ่นนี้ทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้ไม่ต่ำกว่า 300 Mbps และมี Latency ไม่เกิน 18ms ถือว่าให้ประสบการณ์ใช้งานเน็ตมือถือ ที่แทบจะไม่ต่างจากการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่บ้านเลยครับ
ด้านการเชื่อมต่อ Wi-Fi สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับคุณสมบัติในการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11ax) หากที่บ้านใครมีอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณ Wi-Fi 6 ได้ และมีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบ้านระดับ Gigabit รับรองว่า realme GT Master Edition จะสามารถใช้งานความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
BATTERY – แบตเตอรี่และการชาร์จไฟ
รุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 4,300 mAh เต็ม 100% ใน 33 นาที ด้วยแบตเตอรี่แบบ Dual-cell Design และเห็นชาร์จเร็วแบบนี้ เรื่องความปลอดภัยก็ยังคงไว้ใจได้เหมือนเดิมครับ เพราะมีทั้งระบบควบคุมอุณหภูมิอย่างปลอดภัยในระหว่างกระบวนการชาร์จ และเมื่อแบตเตอรี่ใกล้เต็ม จะชาร์จด้วยกระแสต่ำลงเพื่อยืดอายุการใช้งาน และมาพร้อมระบบป้องกัน 5 ขั้นตอน ตั้งแต่อะแดปเตอร์ยันตัวเครื่อง ได้แก่
- อะแดปเตอร์ป้องกันการจ่ายไฟเกินกำลัง
- การป้องกันขณะชาร์จเร็ว
- ป้องกันการโอเวอร์โหลดอินเทอร์เฟซ
- ป้องกันกระแสไฟเกินและแรงดันไฟฟ้าเกิน
- การป้องกันขณะรวมแบตเตอรี่
ส่วนเรื่องการจัดการพลังงาน ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 4,300 mAh หากเป็นการใช้งานปกติทั่วไป ไม่ได้เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน แบตเตอรี่ของรุ่นนี้ใช้งานหมดวันได้สบาย ๆ แต่เมื่อไรที่มีการประมวลผลหนัก ตอนรีวิว realme GT Master Edition ผมทดสอบเล่นเกมไปต่อเนื่องหลายเกม (และเปิด GT Mode) สังเกตได้เลยว่าแบตเตอรี่จะลดลงอย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ ถ้าเป็นคนชอบเล่นเกม ยังไงก็ต้องมีชาร์จไฟระหว่างวันล่ะครับ แต่ยังดีที่รุ่นนี้ชาร์จไฟได้เร็ว (มาก) เพราะรองรับ 65W SuperDart Charge
CAMERA – กล้องถ่ายรูป
สำหรับการถ่ายรูป realme GT Master Edition มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วยกล้องหลัก 64MP , เลนส์ Ultra wide-angle ความละเอียด 8MP และเลนส์มาโคร 2MP ถ่ายใกล้สุด 4 เซนติเมตร มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้มากมาย ที่สำคัญคือ AI ประมวลผลภาพถ่าย ทำงานได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการโฟกัส ผมว่ารุ่นนี้จับโฟกัสได้เร็ว และแม่นยำมากทีเดียว
โหมดถ่ายรูปที่น่าสนใจ
โหมดท้องถนน หรือ Street Photography ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่น DIS Snapshot ที่ช่วยให้ภาพคมชัดแม้สั่นไหว และยังบอกระยะของเลนส์ ไปจนถึงระยะในการจับโฟกัส ให้ความรู้สึกคล้ายโหมดโปรที่เข้าถึงง่ายขึ้น และยังมี Street Filter ที่ไปร่วมมือกับทาง Kodak ทำให้ได้เอฟเฟ็กต์ฟิล์มจาก Kodak ให้ได้ใช้งานในสมาร์ตโฟนรุ่นนี้
Portrait Mode & Filter ในโหมดการถ่ายภาพบุคคล สามารถสร้างโบเก้ ละลายฉากหลังได้เนียน และยังมีลูกเล่นอย่าง AI Color Portrait ที่ดูดสีฉากหลังให้เป็นขาวดำ ทำให้ตัวแบบมีความโดดเด่นมากขึ้น หรือจะเป็น Dynamic Bokeh และ Bokeh Flare Portrait สำหรับถ่ายโบเก้ยามค่ำคืน
นอกจากโหมดถ่ายภาพจะมีให้เลือกใช้งานเยอะแยะมากมายแล้ว ในการถ่ายภาพที่แสงน้อย หรือโหมดกลางคืน realme GT Master Edition ก็มาพร้อมกับโหมดกลางคืน Super Nightscape ที่แยกย่อย เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุด ประกอบไปด้วย
Handheld Nightscape Mode ในสภาพแสงน้อย ที่ไม่ได้มืดสนิท แนะนำให้เลือกที่ Nightscape Mode ที่ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยประมวลผลภาพถ่าย ให้มีความสว่าง มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น สามารถถือเครื่องด้วยมือเปล่าถ่ายได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริม
Ultra Nightscape Mode กรณีที่สภาพแวดล้อมมืด เกือบจะมืดสนิท โหมดนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ และทำการรวบรวมแสงในสภาพแวดล้อมที่มืดมาก และให้ความละเอียดในการถ่ายภาพกลางคืน แต่ความคมชัดอาจไม่เท่าโหมด Nightscape ปกติ
Pro Nightscape Mode โหมดสุดท้าย เหมาะสำหรับคนที่มีชำนาญ และเข้าใจการปรับตั้งค่า ISO, Shutter Speed ด้วยการสังเคราะห์หลายเฟรม ทำให้การถ่ายภาพกลางคืนมีคุณภาพดีที่สุด จะปรับตั้งค่าได้ละเอียดเท่ากับโหมดโปร แน่นอนว่าต้องใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพเช่นเดียวกัน
Night Mode + Filter เป็นการเพิ่มลูกเล่นฟิลเตอร์ให้กับโหมด Super Nightscape ทำให้ได้ภาพถ่ายกลางคืนที่แตกต่างไปจากแบบเดิม ๆ มีฟิลเตอร์ให้เลือกถึง 5 รูปแบบ
การถ่ายวิดีโอ
สมาร์ตโฟนรุ่นนี้รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps/ 1080p 60fps สำหรับกล้องหลัง และที่ความละเอียด 1080p 30fps สำหรับกล้องหน้า และมีโหมดตัวช่วยในการถ่ายวิดีโอให้เลือกใช้พอสมควร แต่ถ้าต้องการใช้โหมดตัวช่วยต่าง ๆ จะต้องปรับตั้งค่าความละเอียดวิดีโอกล้องหลังไว้ที่ 1080p 30fps เท่านั้น
โหมดวิดีโอที่น่าสนใจ
- AI Color Portrait Video ในโหมดนี้ จะเปลี่ยนภาพพื้นหลังโดยรวมเป็นสีขาวดำ โดยระบบจะโฟกัสตัวบุคคลแบบเรียลไทม์แล้วจะคงสีไว้ นอกจากนี้ยังมีโหมดที่เลือกแสดงเฉพาะสีแดง, สีน้ำเงิน หรือสีเขียวอีกด้วย
- UIS & UIS MAX Video Stabilization ระบบกันสั่น แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ เพื่อให้สามารถบันทึกวิดีโอได้นิ่งมากขึ้น แต่ในโหมด UIS MAX แนะนำให้ใช้เฉพาะตอนที่สว่างมากพอเท่านั้น เนื่องจากเป็นการใช้เลนส์มุมกว้างในการถ่ายวิดีโอ
- Ultra Wide-angle Video เป็นการถ่ายวิดีโอด้วยเลนส์มุมกว้าง 119 ° แต่เฉพาะการตั้งค่าที่ความละเอียด1080p 30fps เท่านั้น
- Real-time Bokeh Effect Video รองรับการบันทึกวิดีโอด้วยคุณสมบัติโบเก้แบบเรียลไทม์ ละลายฉากหลังขณะถ่ายวิดีโอได้ทันที
สำหรับกล้องหน้าความละเอียด 32MP ที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอ ใช้เซ็นเซอร์ IMX615 มีโหมดให้เลือกใช้งานหลัก ๆ ได้แก่ การปรับ Beauty, การละลายฉากหลัง สร้าง Bokeh ด้วย Portrait Mode เป็นต้น
สรุปภาพรวม รีวิว realme GT Master Edition
สำหรับ realme GT Master Edition กับราคาเริ่มต้น 13,990 บาท ส่วนตัวผมมองว่าก็เป็นราคาที่ถือว่าโอเคเลยทีเดียว แต่ด้วยสไตล์แบบ realme ที่ออกโปรโมชั่นกันตั้งแต่เปิดตัว ไม่ว่าจะเป็นโปรร่วมกับเครือข่าย ลดค่าเครื่องเหลือเพียง 6,990 บาท เมื่อซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือนตามที่กำหนด หรือถ้าใครสนใจเครื่องเปล่าสามารถซื้อได้ที่ realme Shop และตัวแทนจำหน่ายของ realme เช่น BNN, Powerbuy, IT City และอื่น ๆ ไปจนถึงช่องทางออนไลน์ที่ JD Central, Lazada, ThisShop และ Shopee
realme GT Master Edition เริ่มจำหน่ายวันที่ 4 กันยายนนี้ มาพร้อมความจุ 2 ขนาด ขึ้นอยู่กับสีตัวเครื่อง
- สี Voyager Grey/ สี Daybreak Blue รุ่น RAM 8GB + ความจุ 128GB ราคา 13,990 บาท
- สี Daybreak Blue รุ่น RAM 8GB + ความจุ 256GB ราคา 15,990 บาท
ส่วนเรื่องสเปครวม ๆ ของรุ่นนี้ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่ครบเครื่อง และมันดีพอที่จะสู้กับหลายรุ่นในท้องตลาด ที่มีช่วงราคาใกล้เคียงกันได้สบาย ๆ อย่างแรกเลยคือชิปประมวลผล Qualcomm Snpadragon 788G 5G ที่ได้ภาษีดีกว่าในแง่ของความเป็น Snapdragon และประสิทธิภาพของมันเองก็อยู่ในระดับที่พร้อมลุยทุกเกมไม่แพ้ชิปตัวท็อป ๆ
ด้านสเปคอื่น ๆ ก็มีความน่าสนใจ ทั้งหน้าจอ 6.43 นิ้ว Super AMOLED 120Hz, แบตเตอรี่ความจุ 4,300 mAh + ชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ที่ชาร์จไฟจาก 0 – 100% ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง, ดีไซน์ตัวเครื่องที่มีความบางเบา โดยเฉพาะสี Voyager Grey ที่ได้ดีไซน์เนอร์ระดับโลกมาออกแบบ หรือจะเป็นสี Daybreak Blue ที่ให้สีสะท้อนสวยงาม
ด้านการเชื่อมต่อของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ก็จัดให้กันแบบสุดทาง ทั้งการเชื่อมต่อ 5G แบบ 5G + 5G Dual Standby รองรับการใช้งาน 5G ทั้งสองซิมการ์ด หรือจะเป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่รองรับมาตรฐานใหม่ล่าสุดอย่าง Wi-Fi 6 (802.11ax) ทั้งหมดที่ว่ามา ทำให้ realme GT Master Edition ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งรุ่นที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด หากคุณกำลังอยากได้สมาร์ตโฟนดี ๆ สักเครื่องในราคาหมื่นต้น ๆ ครับ