รอบนี้นับเป็นปีแรกที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นท็อปหน้าจอเล็กออกมาพร้อมกับรุ่นอื่น ๆ นั่นก็คือ iPhone 12 mini แน่นอนว่าคงเน้นจับตลาดคนที่อยากได้มือถือจอเล็ก สเปคระดับท็อปไม่แพ้รุ่นหลัก และสามารถเชื่อมต่อ 5G ได้ โดยในบทความรีวิว iPhone 12 mini นี้ เราจะมาดูถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลง จุดเด่น ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ แล้วจับมาประมวลกันอีกทีว่าจะคุ้มค่าขนาดไหนกับราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท
ในแง่ของจุดที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างไลน์ iPhone 11 สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือรูปทรงภายนอกที่เปลี่ยนไปใช้ทรงเหลี่ยมคล้ายกับในยุค iPhone 5/5S พร้อมทั้งมีสีน้ำเงินเพิ่มเข้ามาในรุ่น iPhone 12 และรุ่น mini ส่วนสเปคภายในที่น่าสนใจ ก็ตามในหัวข้อต่อไปเลย
สเปค iPhone 12 mini
- ชิปประมวลผล Apple A14 Bionic
- แรม 4 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกทั้ง 64, 128 และ 256 GB
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 5.4″ ความละเอียด 2340×1080
- รองรับการแสดงผล HDR ขอบเขตสี DCI-P3 รองรับ True Tone
- กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68
- กล้องหลัง 2 ตัว
- กล้องหลัก 12MP f/1.6 ซูมออปติคอล 2 เท่า ซูมดิจิตอล 5 เท่า
- กล้องอัลตร้าไวด์ 12MP f/2.4 รองรับโหมดกลางคืนเหมือนกล้องหลัก
- ถ่ายวิดีโอ HDR (Dolby Vision) ได้ 30fps
- ระบบกันสั่นดีขึ้น
- กล้องหน้า TrueDepth 12MP f/2.2
- Face ID ด้วยชุดกล้องหน้า
- รองรับ 5G (ย่านความถี่ n1, n2, n3, n5, n7, n8, n12, n20, n25, n28, n38, n40, n41, n66, n77, n78, n79)
- รุ่นที่ขายในไทยจะรองรับ 5G เฉพาะแบบ sub-6 เท่านั้น
- ใช้งานได้ 2 ซิม (ซิมการ์ด+eSIM)
- Wi-Fi 6 (802.11ax) แบบ MIMO 2×2
- Bluetooth 5.0
- มีชิป U1
- แบตเตอรี่ 2227 mAh
- พอร์ตชาร์จแบบ Lightning รองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 20W
- รองรับการชาร์จไร้สายแบบ Qi สูงสุด 7.5W และแบบ MagSafe สูงสุด 15W
- น้ำหนัก 133 กรัม
- ราคา iPhone 12 mini
- 64GB ราคา 25,900 บาท
- 128GB ราคา 27,900 บาท
- 256GB ราคา 31,900 บาท
ซึ่งสเปคของตัวเครื่องนั้นก็เทียบเท่ากับ iPhone 12 ที่หน้าจอ 6.1″ เลย หลาย ๆ จุดก็เทียบได้กับกลุ่ม iPhone 12 Pro ดังนั้นเรื่องประสิทธิภาพ ความแรงคงไม่ต้องเป็นห่วง แต่สิ่งที่จะได้มาพร้อมกับตัวเครื่องที่เล็กลงก็คือความจุแบตที่น้อยไปซักนิดเมื่อเทียบกับมือถือในยุคนี้ และก็ขนาดหน้าจอที่ส่วนตัวผมแนะนำว่าไปลองเล่นเครื่องจริงก่อนตัดสินใจซื้อจะดีกว่า เพราะมันเล็กกะทัดรัดจริง ๆ จนกลายเป็นมือถือ 5G ที่เล็กที่สุด บางที่สุด เบาที่สุดในโลกในขณะนี้
ตัวเครื่อง
หนึ่งจุดที่ Apple ตัดสินใจพลิกโลกในครั้งนี้ก็คือการเลิกแถมอะแดปเตอร์ชาร์จไฟมาให้กับ iPhone ทุกรุ่น ย้อนหลังไปถึงรุ่นก่อนหน้าที่เป็นล็อตใหม่ด้วย ส่งผลให้ขนาดกล่องนั้นบางลงกว่าเดิม อย่างในภาพด้านบนผมนำกล่อง iPhone 12 mini มาเทียบกับตัวเครื่อง iPhone 11 จะเห็นได้ว่ามันเพรียวบางจริง ๆ สำหรับคนที่เคยใช้งาน หรือเคยเห็นกล่อง iPhone มาก่อน หรือถ้าจับเทียบกับกล่อง iPhone 11 ก็บอกเลยว่าบางกว่ากันครึ่งต่อครึ่งเลย
ภายในกล่องก็จะมีตัวเครื่อง สายชาร์จ Lightning แบบปลายสายเป็น USB-C เข็มจิ้มถาดซิม คู่มือการใช้งานเบื้องต้น และก็สติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ 1 ดวง โดยหน้ากล่องจะเป็นรูป iPhone ตามสีภายในเลย
สำหรับเครื่องที่รีวิวในครั้งนี้เป็น iPhone 12 mini สีน้ำเงินความจุ 256 GB เครื่องศูนย์ไทยครับ
หลังเปิดเครื่องขึ้นมาครั้งแรก และจัดการตั้งค่าทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว สำหรับเครื่องล็อตแรกนี้ที่มาพร้อม iOS 14 ก็จะมีการอัพเดตค่าการเชื่อมต่อเครือข่าย (Carrier update) หนึ่งรอบเป็นเวอร์ชัน 45.1 ซึ่งหลังจากอัพเดต เมื่ออยู่ในบริเวณที่สัญญาณครอบคลุม รวมถึงได้ทำการเปิดใช้งานและสมัครแพ็คเกจ 5G กับทางเครือข่ายไว้แล้ว ตัวเครื่องก็จะจับสัญญาณ 5G ได้ทันที
โดยในตอนนี้ ในไทยจะมีเพียง AIS และ Truemove H เท่านั้นที่เปิด 5G ให้ใช้งาน ซึ่งถ้าอยากลองใช้งานดูนิด ๆ หน่อย ๆ แนะนำว่าลองทางฝั่งทรูจะง่ายกว่าครับ
กลับมาที่ตัวเครื่อง ต้องบอกว่า iPhone 12 mini นั้นให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับ iPhone SE 2 มาก ทั้งในแง่ของขนาดและน้ำหนัก แต่จุดเด่นที่ชัดเจนกว่าก็คือหน้าจอของเครื่องนี้ที่เต็มเครื่องมากกว่า ส่วนถ้าเทียบขนาดกับ SE 2 จริง ๆ จะพบว่าตัว mini มีตัวเครื่องที่เล็กกว่ากันอยู่นิดนึงด้วยซ้ำ
ปีนี้นับเป็นปีแรกอีกเช่นกันที่ Apple นำจอ OLED มาใส่ใน iPhone รุ่นปกติที่ไม่ใช่รุ่น Pro ด้วย จึงทำให้ภาพที่ได้จากจอของ iPhone 12 mini ดูมีคอนทราสต์ที่ดีกว่า iPhone 11 ที่ผมใช้งานอยู่ ส่วนที่เป็นสีดำก็ดำจริง แต่ในเรื่องความสดของสีสัน อันนี้จะยังแพ้กว่ากลุ่มรุ่น Pro อยู่นิดเดียว ถ้าไม่มองแบบจับผิดจริง ๆ ก็แยกความแตกต่างไม่ออกเหมือนกัน
ส่วนกระจกหน้าจอก็เปลี่ยนจากการใช้ Gorilla Glass มาใช้เป็น Ceramic Shield แทน ซึ่งทาง Apple ระบุว่าเป็นกระจกที่มีความแข็งแรงกว่า ทนทานต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้นถึง 4 เท่า
สำหรับใครที่เป็นคอหนัง Netflix ก็น่าจะถูกใจมากยิ่งขึ้น เพราะ iPhone 12 ทุกรุ่นย่อย รองรับการแสดงภาพสูงสุดที่ระดับ 1080p HDR แล้ว ต่างจากในรุ่นก่อนหน้าที่จะมีเพียง iPhone 11 Pro และ Pro Max ที่สามารถแสดงภาพระดับนี้ได้ ส่วน iPhone 11 จะได้แค่ 720p HDR เท่านั้น
ฝาหลังของ 12 mini ยังคงใช้เป็นกระจกเช่นเดิม เพื่อทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายได้ ส่วนขอบด้านข้างทั้งหมดใช้เป็นอะลูมิเนียมตามสีของเครื่อง ซี่งต้องบอกว่าขอบนั้นค่อนข้างคมอยู่เหมือนกันครับ แต่กับในตัว mini ดูเหมือนจะคมน้อยกว่าพวกรุ่น Pro นิดนึง
ด้านหลังนั้นเป็นทรงเดียวกันกับ iPhone 11 เลย คือมีกล้องหลังสองตัวอยู่ตรงมุมซ้ายบน พร้อมกับช่องไมค์ แฟลช LED ตรงกลางมีโลโก้ Apple สีเงินอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ถูกใจสายคลีน
ส่วนโทนสีของสีน้ำเงิน ต้องบอกว่าเครื่องจริงจะสีออกโทนสว่างกว่าในเว็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้งานกลางแจ้ง มันจะเป็นสีน้ำเงินโทนสว่างขึ้นไปอีก ต่างจากภาพในเว็บที่ดูจะเป็นสีกรมท่ามากกว่า
ด้านบนของตัวเครื่องจะมีเพียงขีดของแถบเสารับสัญญาณ ส่วนด้านล่างก็มีเช่นกัน แต่จะมีช่องรับเสียงของไมค์ ช่องลำโพง และก็พอร์ต Lightning มาให้เช่นเคย ใครที่หวังว่าจะให้ iPhone ใช้ USB-C ก็คงต้องรอกันต่อไป
ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องจะมีสวิทช์เปิด/ปิดโหมดสั่น จากนั้นก็เป็นปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง ถัดลงมาจึงเป็นถาดใส่ซิมการ์ดที่มีอยู่ซิมเดียว ถ้าต้องการใช้งาน 2 ซิมก็ต้องอาศัยการเพิ่มอีกซิมแบบ eSIM นะครับ แต่สำหรับในตอนนี้จะยังมีปัญหาอยู่คือ ถ้าใช้ 2 ซิมในแบบดังกล่าว จะไม่สามารถใช้งาน 5G ได้ ต้องรอการอัพเดตซอฟต์แวร์ในอนาคตไปก่อน (รีวิวเมื่อต้นเดือนธันวาคม)
ส่วนฝั่งขวา ถ้าเครื่องที่ขายในไทยจะมีเพียงปุ่ม Power เท่านั้น แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ขายในสหรัฐอเมริกา จะมีแถบเสารับสัญญาณเป็นขีดยาวลงมาในแนวขวางอยู่ที่ส่วนล่างของเครื่องด้วย ซึ่งเป็นแถบรับสัญญาณ 5G แบบ mmWave ที่ตอนนี้เปิดให้บริการกับบางเครือข่ายในสหรัฐฯ แล้ว
ดังนั้น ต่อให้ประเทศไทยเปิดใช้งาน 5G ในคลื่นย่าน mmWave ในอนาคต ก็ฟันธงได้เลยว่า iPhone 12 ทุกรุ่นในตอนนี้ จะไม่สามารถรับคลื่นกลุ่ม mmWave (2600MHz) ได้แน่นอน
จับ iPhone 12 mini มาเทียบขนาดกับ iPhone 11 ดูครับ เรียกว่าเป็นพี่กับน้องได้เลย
เทียบด้านหลัง ฝ่ายแดงจะมีสติกเกอร์ติดอยู่ที่โมดูลกล้องด้วยนะครับ เลยกลายเป็นสีดำ จากที่ของจริงจะเป็นสีแดงอ่อน ๆ
ทีนี้ก็หยิบ iPhone 4S มาเทียบด้านข้างกันด้วย จะเห็นว่า 12 mini ดูเหมือนจะบางสุดเลย ซึ่งก็จริง เพราะ 12 mini มีความหนาเพียง 7.4 มม. ในขณะที่ iPhone 11 อยู่ที่ 8.3 มม.
เคส MagSafe
อุปกรณ์ที่เปิดตัวมาพร้อมกันกับ iPhone 12 ก็คืออุปกรณ์สาย MagSafe ที่เป็นการนำเทคโนโลยี MagSafe ใน MacBook มาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพื่อสร้างอุปกรณ์สำหรับชาร์จที่มีการยึดติดกับตัวเครื่องด้วยแรงดูดของแม่เหล็ก ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องความปลอดภัย เช่น ระหว่างชาร์จอยู่ ถ้าเผลอกระตุกสายชาร์จ ตัวเครื่องก็จะไม่ถูกดึงมาตามสายด้วย เป็นต้น
โดย Apple ก็ได้เปิดตัวเคส iPhone ที่รองรับ MagSafe มาเพื่อใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จ MagSafe ด้วย สำหรับรุ่นที่เราได้รับมารีวิวพร้อมกับ iPhone 12 mini เครื่องนี้ก็จะเป็นเคสตรงรุ่นแบบซิลิโคนที่รองรับ MagSafe สนนราคาจาก Apple อยู่ที่ 1,790 บาท
ผิวสัมผัสภายนอกจะเป็นซิลิโคนซอฟท์ทัชที่เนื้อนิ่มมือมาก จับแล้วให้ความรู้สึกที่ดี ส่วนโครงเคสนั้นค่อนข้างแข็งและหนาพอสมควร ภายในเป็นผ้ากำมะหยี่ โดยมีวงแหวนสำหรับใช้งาน MagSafe อยู่ตรงกลาง
เมื่อประกบคู่กันแล้ว ตัวเครื่องจะหนาขึ้นมาเล็กน้อย มีความหนาที่สามารถปกป้องกล้องหลังจากการขูดขีดกับพื้นระนาบได้พอดี สามารถแตะตรงขอบจอได้แบบไม่มีปัญหา
ส่วนปุ่มกดและพอร์ตต่าง ๆ ก็สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย
กิมมิคพิเศษอีกอย่างของเคส MagSafe ก็คือ เมื่อติดตั้งเข้ากับตัวเครื่องเรียบร้อย ถ้าปิดหน้าจออยู่ บนจอจะมีวงแหวนปรากฏขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่าได้เชื่อมต่อ iPhone เข้ากับอุปกรณ์ MagSafe เรียบร้อย ซึ่งในที่นี้ก็คือเคสนั่นเอง
เอาเป็นว่าถ้าอยากได้เคสตัวจบแบบเรียบ ๆ ให้สัมผัสที่ดี และใช้ฟังก์ชันของ iPhone 12 ได้ครบ กลุ่มเคส MagSafe ของ Apple เองก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ โดยจะมีด้วยกัน 3 แบบคือ
- เคสซิลิโคน มีให้เลือก 8 สี ราคา 1,790 บาท
- เคสใส ราคา 1,790 บาท
- เคสหนัง มีให้เลือก 5 สี ราคา 2,190 บาท
การใช้งาน 5G
สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความสามารถในการใช้งาน 5G ของ iPhone 12 ทุกรุ่นย่อยที่ตอนนี้สามารถใช้จริงในไทยได้แล้ว สำหรับพื้นที่ครอบคลุมของสัญญาณ ในตอนนี้หลัก ๆ จะเป็นใน กทม. ซึ่งครอบคลุมมากพอสมควรแล้ว ส่วนตามต่างจังหวัดก็จะมีเป็นเขต ๆ ไปครับ โดยสามารถตรวจสอบคร่าว ๆ ได้จากหน้าเว็บของทั้งฝั่ง AIS และ True เอง
ส่วนรูปแบบของ 5G ที่ใช้งานได้บน iPhone 12 ในตอนนี้จะเป็นแบบ NSA ที่อาศัยการทำงานร่วมกันของทั้ง 5G (data) และ 4G (call) กล่าวคือ ถ้ามีการโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายเมื่อไหร่ ตัวเครื่องจะสลับไปใช้งาน VOLTE ผ่านเครือข่าย 4G โดยอัตโนมัติ จากนั้นหลังโทรเสร็จก็จะสลับกลับมาใช้ 5G ตามที่ตั้งค่าไว้ ซึ่งก็หลักการคล้ายกับการโทรบนมือถือ 4G ที่ไม่มี VOLTE นั่นเอง
โดยตัว iOS 14 บน iPhone 12 จะมีตัวเลือกให้ตั้งค่าได้ว่าจะให้จับสัญญาณ 5G หรือ 4G โดยถ้าเป็นฝั่ง 5G จะแบ่งเป็นสองแบบย่อยอีก ได้แก่
- 5G On – จับและใช้งาน 5G ตลอดเวลาเท่าที่มีสัญญาณ
- 5G Auto – ระบบจะสลับ 5G/4G ตามรูปแบบของการใช้งาน เช่น ถ้าโหลดข้อมูลปริมาณมาก โหลดคลิป จะใช้ 5G ส่วนการเล่นโซเชียลทั่วไปที่ไม่ได้โหลดข้อมูลมากนัก ก็ใช้ 4G
ซึ่งแบบหลังนี้จะเหมาะกับ iPhone 12 mini มากกว่าครับ เพราะในตอนนี้ต้องบอกว่า 5G นั้นกินแบตเอาเรื่องเลย เนื่องจากตัวเครื่องอาจต้องส่งสัญญาณออกให้มากขึ้นในบริเวณที่สัญญาณ 5G อ่อน เพื่อพยายามรับคลื่นให้ได้อย่างต่อเนื่องที่สุด
จากการที่ผมทดสอบ 5G ใน กทม. เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่าความเร็วมักจะได้อยู่ในช่วง 1xx – 1,0xx Mbps ตามการทดสอบของแอป SpeedTest by OOKLA ความเร็วสูงสุดที่ผมทำได้จะอยู่ในรูปที่ 4 ที่เทสบนเครือข่าย AIS ตรงบริเวณสถานี BTS ชิดลมครับ ต้องบอกว่าเร็วพอ ๆ กับเน็ตบ้าน 1000Mbps เลย ส่วนภาพขวามือสุดเป็นผลจากซิมทรู ซึ่งดูเหมือนว่าแพ็คเกจทดลองใช้งานฟรีนี้จะมีข้อจำกัดด้านความเร็วอยู่บ้าง เลยได้ความเร็วที่ไม่สุดเท่าไหร่
กล้อง iPhone 12 mini
ตามหน้าสเปคของ iPhone 12 mini ถ้าพูดถึงจำนวนกล้องก็ต้องบอกว่าเหมือนเดิมครับ คือมีเลนส์ไวด์เป็นกล้องหลัก 12MP และก็เลนส์อัลตร้าไวด์เป็นกล้องเสริม 12MP แต่ที่จริงแล้วภายในจะมีจุดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิม ที่เห็นได้ชัดสุดก็คือรอบนี้ตัวเครื่องสามารถใช้โหมดกลางคืนสำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อยกับเลนส์อัลตร้าไวด์ได้แล้ว ซึ่งเป็นการอุดจุดอ่อนที่มีในรุ่นก่อนหน้า ที่พอถ่ายด้วยเลนส์อัลตร้าไวด์ทีไร ภาพมืดกว่าปกติทุกที
นอกจากนี้ระบบ HDR ก็ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นแม้จะถ่ายย้อนแสงกลางแดดจ้าก็ตาม ส่วนเรื่องของการถ่ายวิดีโอก็น่าจะถูกใจคนทำงานสาย production ขึ้นไปอีก เพราะ iPhone 12 ทุกรุ่นย่อยกลายเป็นมือถือรุ่นแรกที่สามารถถ่าย ตัดต่อวิดีโอ 4K 30fps HDR แบบ Dolby Vision ได้ ซึ่งคุณสมบัติเด่นก็คือสามารถเก็บสีได้ถึงระดับ 10 bit ซึ่งมีช่วงกว้างมากขึ้นกว่าเดิมที่มักทำได้แค่ระดับ 8 bit เท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 12 mini รูปแรกเป็นรูปถ่ายในช่วงเวลากลางวันครับ ซึ่งถ้าดูจากไฟล์จริง ต้องบอกว่าตัวเครื่องมีการประมวลผลภาพมาให้ค่อนข้างคมกว่าเดิมนิดนึง การเก็บสีสันก็ทำได้ดี โดยในตอนถ่ายภาพนี้จะมีการย้อนแสงที่ฝั่งขวาของภาพเล็กน้อยด้วย แต่เราก็ยังเห็นรายละเอียดของตึกทางฝั่งขวาได้อยู่ ส่วนการโฟกัสนั้นหายห่วงครับ ทำได้เร็วและแม่นยำมาก ๆ (ทุกภาพถ่ายในรีวิวนี้ คือยกขึ้นมาแล้วกดถ่าย ไม่ได้แตะจุดโฟกัสเลย)
ภาพต่อมาเป็นภาพถ่ายกลางคืนด้วยเลนส์อัลตร้าไวด์กันบ้าง จะเห็นว่าสีสันนั้นออกมาค่อนข้างลงตัว ทั้งบริเวณส่วนมืดที่ยังพอเห็นรายละเอียดได้อยู่ และก็ส่วนที่สว่างอย่างภายในร้าน Apple Store เอง ส่วนความคมของภาพนั้น ก็จะเน้นคมที่ตรงกลางไล่ออกไป ส่วนขอบ ๆ ภาพก็จะเบลอไปตามลำดับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเลนส์อัลตร้าไวด์ในมือถือครับ
ส่วนโหมด Portrait พอลองเอามาถ่ายแก้วกาแฟดู ก็จะยังเจอปัญหาคล้าย ๆ กับที่ผ่านมาอยู่ คือมักพบอาการหลอดขาด หลอดแหว่ง จะมีแค่บางช็อตเท่านั้นที่ได้หลอดออกมาค่อนข้างสมบูรณ์ ต้องบอกว่าเรื่องนี้นับเป็นข้อจำกัดของ iPhone กลุ่มที่ไม่มีเลนส์ Tele มาให้
ลองกล้องหน้ากันบ้าง ภาพแรกสุดคือโหมดธรรมดา ภาพกลางคือใช้โหมด Portrait แล้วปรับใช้แสงแบบ Studio ซึ่งถ้าเทียบส่วนปลายผมกับภาพซ้ายสุด จะเห็นว่ามีการตัด ๆ เล็ม ๆ ไปพอสมควร และภาพขวาสุดคือลองใช้แสงแบบ Contour แล้วปรับรูรับแสงจำลองไปที่ f/1.4 ดู ผลที่ได้คือหลังเบลอกว่าเดิม ส่วนปลายผมก็ถูกเบลอมากกว่าเดิมนิดนึง ถ้าไม่ได้เพ่งดูจริง ๆ ก็สังเกตได้ยากอยู่
ส่วนด้านล่างนี้จะเป็นการเทียบภาพถ่ายจาก iPhone 12 mini และ iPhone 11 นะครับ
เริ่มกันด้วยการถ่ายภาพย้อนแสงเลย ต้องบอกว่าตอนที่ถ่ายนี้แสงจ้ามาก ผลที่ได้ก็คือ iPhone 12 mini จะเก็บรายละเอียดส่วนมืดได้มากกว่า จุดที่เห็นได้ชัดสุดคือแนวพุ่มไม้ และก็ตึกที่อยู่อีกฝั่งของเจ้าพระยา
เรื่องสีสัน จากที่เทียบกันมาหลายภาพ พบว่า 12 mini จะให้สีที่ค่อนข้างอิ่มกว่า iPhone 11 เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับสีสดเกินจริง
ไฮไลท์เด็ดมาแล้วครับ ภาพชุดบนนี้เป็นภาพที่ถ่ายจากเลนส์อัลตร้าไวด์ของทั้งสองรุ่น แต่จะเห็นได้ชัดเลยว่า iPhone 12 mini มีการปรับแก้ distortion ส่วนขอบภาพให้ไม่ดูบวมเหมือนใน iPhone 11 แล้ว ซึ่งเหมาะกับการถ่ายตึก ถ่ายคนกว่าเดิมมาก เพราะจะทำให้ขอบภาพไม่ดูบวม ดูโค้งผิดสัดส่วนแล้ว
ต่อกันที่เลนส์อัลตร้าไวด์กับการถ่ายในที่มีแสงน้อยนะครับ จากการที่สามารถใช้โหมดกลางคืนได้แล้ว ทำให้ภาพที่ถ่ายจาก 12 mini ดูสว่างกว่าเดิม ทั้งยังมีความคมชัดของรายละเอียดต่าง ๆ ที่ดีขึ้นด้วย สังเกตจากพื้นพรมที่เห็นลวดลายได้ชัดกว่ากันมาก และก็ภาพดูไม่โค้งบวมด้วย
ชุดด้านบนนี้ก็เป็นเลนส์อัลตร้าไวด์แบบถ่ายกลางคืนครับ สำหรับภาพนี้ต้องบอกว่าแม้ iPhone 11 จะได้ภาพที่สีสดกว่า แต่จริง ๆ แล้วสีของ 12 mini จะค่อนข้างตรงกับของจริงมากกว่านิดนึงครับ รวมถึงถ้าซูมดูจากภาพจริงก็จะพบว่ามันสามารถเก็บรายละเอียด ความคมชัดได้มากกว่าด้วย
ภาพคู่บนนี้ก็เป็นภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ไวด์ปกติในที่มืด จะเห็นว่าโทนสีภาพนั้นต่างกันอยู่พอสมควร โดยภาพจาก 12 mini จะมีความสว่างกว่า รายละเอียดก็จะคมกว่าเล็กน้อย
ส่วนภาพชุดสุดท้ายนี้ เป็นการ crop ภาพถ่ายแบบ 100% มาเทียบกันอีกที เพื่อเทียบให้เห็นถึงการเก็บรายละเอียดของทั้งสองรุ่นครับ รวม ๆ แล้ว ภาพจาก iPhone 12 mini จะให้ขอบวัตถุในภาพที่คมกว่า สีดูอิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ต้องบอกว่ายังคงเป็นภาพสไตล์ iPhone ที่คุ้นเคยอยู่ดี คือเน้นเป็นแนว realistic มาก ๆ
ปิดท้ายกันด้วยตัวอย่างภาพถ่ายนะครับ โดยถ้าเป็นมุมที่ดูซ้ำกัน ภาพแรกจะเป็นเลนส์ไวด์ ภาพที่สองเป็นเลนส์อัลตร้าไวด์
ความแรง และการเล่นเกมบน iPhone 12 mini
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ Apple ผลักดันอยู่เป็นระยะ ๆ ก็คือ AR จากในตัว iPhone และ iPad เอง ซึ่งเราก็จะเห็นแอปในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นแอปที่ช่วยอำนวยความสะดวก เช่น แอปที่ใช้วัดขนาดวัตถุ วัดระยะทาง ไปจนถึงกลุ่มแอปสำหรับแสดงวัตถุจำลองขึ้นมาบนสถานที่จริง เช่น พวกแอปโชว์ภาพงานศิลปะ เป็นต้น อย่างในภาพด้านบนสุดนี้คือแอป JigSpace ที่ใช้โชว์แบบจำลองของวัตถุต่าง ๆ แบบเสมือนจริง เช่น ภาพผ่าแสดงกลไกของลูกบิดประตู ภาพผ่ากลไกของเครื่องยนต์เจ็ต ไปจนถึงภาพจำลองระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งสามารถใช้เป็นสื่อการสอนได้เลย เพราะผู้ใช้งานสามารถซูมเข้าออก และตอบสนองกับภาพจำลองเพื่อแสดงวิธีการทำงานของสิ่งของต่าง ๆ ได้ด้วย
ส่วนภาพถัดลงมาก็เป็นหน้าจอของแอป [AR]T Museum ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถแสดงภาพงานศิลปะแบบจำลองขึ้นมาในสถานที่รอบตัวได้ ทั้งยังสามารถดูข้อมูลของแต่ละภาพย่อยได้ เหมาะกับคนที่ต้องการสัมผัสความรู้สึกคล้ายกับการเดินชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ โดยทั้งสองแอปตัวอย่างนี้สามารถโหลดจาก App Store มาใช้งานได้ฟรีครับ แถมยังมีแอป AR ให้ได้ลองใช้งานกันอีกเยอะแยะเลย อย่างที่ผมใช้ประจำก็คือแอป Measure ที่ให้มาใน iPhone เอง ซึ่งตัวแอปจะใช้เทคโนโลยี AR ในการวัดขนาดของวัตถุ วัดระยะต่าง ๆ ในสถานที่จริงได้ เหมาะกับการวัดพื้นที่ วัดขนาดเฟอร์นิเจอร์ก่อนตัดสินใจซื้อเข้าบ้านได้เลย ซึ่งความแม่นยำนั้นจัดว่าดีมาก คลาดเคลื่อนไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
สำหรับแง่ประสิทธิภาพ ความลื่นไหลในการใช้งาน AR นั้น iPhone 12 mini จัดว่าตอบสนองได้ดีเยี่ยม ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นเลย จะติดก็แค่หน้าจอที่เล็กไปซักนิดนึง
เกมก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ iPhone 12 mini รับมือได้ดีมาก ด้วยความแรงของชิป A14 Bionic ที่ไม่ต้องห่วงกับเกมยุคปัจจุบันเลยครับ เพราะเกมส่วนใหญ่ใน App Store จะได้รับการ optimize มาให้เข้ากับ iPhone ได้ดีอยู่แล้ว ขนาดรุ่นเก่ากว่านี้ยังลื่นเลย เกมที่ว่ากินกราฟิกหนัก ๆ อย่าง Genshin Impact ก็สบายมาก ส่วนถ้าเล่นติดกันนาน ๆ บริเวณกลางเครื่องก็จะร้อนขึ้นมาพอสมควร แนะนำว่าถ้าใส่เคสก็จะช่วยป้องกันความร้อนส่งมาถึงมือได้อยู่ แต่ที่น่าห่วงกว่าคือเรื่องแบตครับ เพราะแบตในเครื่องนั้นจะน้อยไปซักหน่อย คงไม่เหมาะกับการเล่นเกมติดกันนาน ๆ นัก
iPhone 12 mini เครื่องที่ทดสอบนี้มาพร้อมกับ iOS 14 โดยหลังจากใส่ซิมครั้งแรกได้ไม่นานก็จะมี Carrier update มาให้สำหรับเปิดใช้งาน 5G ในไทยได้ ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลจากที่ให้มา 256 GB จะเหลือให้ใช้จริงไม่น้อยกว่า 240 GB
หนึ่งในฟีเจอร์ที่มีเพิ่มเข้ามาใน iPhone 12 ทุกรุ่นก็คือการแชร์ hotspot ด้วยคลื่น 5 GHz โดย Apple จะใช้เป็นชื่อโหมดว่า Maximize Compatibility ซึ่งถ้าปิดใช้งานไว้อย่างในภาพ ตัวเครื่องจะแชร์สัญญาณ WiFi ด้วยคลื่น 5 GHz แต่ถ้าเปิด ก็จะเป็นการแชร์ 2.4 GHz ซึ่งอุปกรณ์ WiFi ทุกเครื่องสามารถเชื่อมต่อได้ แนะนำว่า ถ้าอุปกรณ์ที่คุณต้องการนำมาใช้ WiFi ที่แชร์มาจาก iPhone นั้นรองรับ WiFi 5 GHz ก็ให้ปิดโหมดนี้ไว้จะดีกว่า เพื่อความเร็วในการเชื่อมต่อที่เต็มประสิทธิภาพกว่า WiFi 2.4 GHz
ส่วนการรับ WiFi ของตัวเครื่องเองนั้น แน่นอนว่า iPhone 12 ทุกรุ่นมาพร้อมกับ WiFi 6 (802.11ax) เหมือนกับใน iPhone 11 ที่น่าเสียดายก็คือยังเป็นแบบ VHT/HE80 เท่าเดิมด้วย จึงทำให้ความเร็วสูงสุดนั้นจะอยู่ในช่วง 1000 Mbps เท่านั้น ต่างจากมือถือรุ่นท็อป ๆ เช่นจากฝั่ง Huawei ที่ให้มาระดับ VHT/HE160 ที่จะทำความเร็วสูงสุดได้สูงกว่า แต่ก็แน่นอนว่า Wireless AP / Router / แพ็คเกจอินเตอร์เน็ตต้องรองรับด้วยนะ
ซึ่งผลทดสอบที่ได้ เน็ตที่บ้านผมเป็นแพ็คความเร็ว 1000/500 ต่อมากระจาย WiFi ที่ router WiFi 6 ตัว iPhone 12 mini ก็สามารถทำความเร็วได้ราว ๆ 7xx/5xx ครับ ถือว่าแรงเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแล้ว
ส่วนเรื่องความแรงจากแอปทดสอบประสิทธิภาพ ตัวชิป A14 Bionic ก็ยังทำได้อยู่ในระดับสูงตามเคย อย่างในแอป Geekbench พบว่าคะแนนการทดสอบแบบ single core จะทำออกมาได้สูงกว่าชิป A13 ใน iPhone 11 Pro Max อยู่ 200 กว่าคะแนน ส่วนคะแนน multi core ก็ได้สูงกว่า A13 เช่นกัน แต่ยังน้อยกว่า A12X Bionic ใน iPad Pro 11″ อยู่พอสมควร
ถ้าพูดในแง่การใช้งานทั่วไป แน่นอนว่าความลื่นไหลนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ รุ่นปัจจุบันแน่นอนครับ ที่น่าสนใจคือการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยังทำออกมาอยู่ในระดับเดิม ๆ ได้ด้วย
Apple Arcade
ย้อนกลับมาเรื่องเกมกันอีกซักนิด นอกเหนือจากจะมีให้โหลดใน App Store มากมายแล้ว Apple ยังมีอีกหนึ่งบริการนั่นคือ Apple Arcade ที่เป็นคลังรวบรวมเกมจากนักพัฒนาทั่วโลกมาให้เล่นกันได้แบบไม่มีโฆษณา ซึ่งหลาย ๆ เกมก็จัดว่าเป็นเกมสเกลใหญ่เลยด้วย เช่น Sky: Children of the Light และ Oceanhorn 2 โดยสามารถเล่นได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ที่สำคัญคือสามารถเซฟความคืบหน้า เพื่อไปเล่นในต่างอุปกรณ์ได้ด้วย เช่น ตอนอยู่นอกบ้านเราอาจจะเล่นจากใน iPhone พอกลับถึงบ้าน ก็เปิด Apple TV แล้วเล่นต่อจากเดิมบนจอทีวีเครื่องใหญ่ ๆ ได้เลย และยังรองรับการใช้จอย PlayStation 4 หรือจอย Xbox One ได้ด้วย
โดยเกมทั้งหมดใน Apple Arcade สามารถโหลดมาเล่นได้ฟรี ไม่มีคิดเงินเพิ่ม แต่จะอาศัยการจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนแทน ตกเดือนละ 99 บาท เดือนแรกทดลองใช้ฟรี ส่วนใครที่ซื้อ iPhone 12 ใหม่ ก็จะได้สิทธิ์ทดลองใช้งาน Apple Arcade ฟรีไปเลย 3 เดือน แต่ถ้าคุณใช้งาน Apple Music กับซื้อพื้นที่ iCloud เพิ่มอยู่แล้ว ก็สามารถสมัครแพ็คเกจรวม Apple One ไปเลยก็ได้ครับ ตกเดือนละ 225 บาทต่อเดือน หรือถ้าเป็นแบบครอบครัวก็เดือนละ 295 บาท
แบตเตอรี่ iPhone 12 mini
มาถึงประเด็นที่หลาย ๆ ท่านน่าจะให้ความสนใจมากที่สุดว่าแบตเตอรี่ iPhone 12 mini นั้นจะใช้ได้นานขนาดไหน เพราะขนาดพวกรุ่นใหญ่กว่ายังต้องยอมรับว่าทำได้ไม่ดีมากนักเมื่อใช้งาน 5G ในไทยในขณะนี้ ซึ่งผมก็ทดลองมาเรียบร้อยแล้วครับ หากใช้โหมด 5G On คือให้ตัวเครื่องจับและใช้งาน 5G ตลอดเวลา เริ่มถอดสายชาร์จตอน 6:47 น. พอถึงตอนเที่ยงครึ่ง แบตก็เหลือ 24% แล้ว โดยการใช้งานระหว่างนั้นก็คือใช้งานอยู่เกือบตลอด เล่น Facebook, Twitter, Line เปิดหน้าเว็บบ้าง ฟังเพลงผ่าน AirPods Pro และมีการทดสอบความเร็วอินเตอร์เน็ตจากแอป Speedtest เป็นระยะ ๆ ซึ่งก็น่าจะเทียบเท่ากับการเล่นเกมได้อยู่เหมือนกัน สรุปคือถ้าบังคับใช้ 5G ตลอดเวลาแบบนี้ iPhone 12 mini อาจจะใช้งานได้ไม่ครบ 1 วัน
ส่วนการชาร์จเข้าต้องบอกว่าเร็วมาก ด้วยทั้งสเปคตัวเครื่องที่รองรับสูงสุด 20W ประกอบกับแบตเตอรี่ในตัวที่ความจุเพียง 2000 mAh นิด ๆ โดยผมลองชาร์จด้วย powerbank แบบ USB-PD เริ่มจากตอน 12:32 น. ที่ 24% พอถึงเวลา 13:47 น. แบตเตอรี่ก็เพิ่มเป็น 98% แล้ว คำนวณคือ 75 นาที ชาร์จเข้าได้ 74% ตกนาทีละ 1% ได้เลย
ดังนั้น ถ้าจะให้แนะนำวิธีการประหยัดแบตบน iPhone 12 ทุกรุ่น ก็คงต้องบอกว่าให้ใช้งาน 5G แบบ 5G Auto จะโอเคที่สุดครับ หรือถ้ามั่นใจว่าในบริเวณที่ใช้งานนั้นไม่มี 5G แน่ ๆ รวมถึงถ้าไม่ได้สมัครแพ็คเกจ 5G ไว้ ก็เปิดแค่โหมด 4G ก็พอ เพื่อการใช้งานแบตที่นานที่สุด
สรุปปิดท้ายรีวิว iPhone 12 mini – คุ้มมั้ย?
iPhone 12 mini เป็นมือถือที่ออกแบบมาเพื่อตลาดที่ต้องการมือถือสเปคระดับท็อปสุดในตัวเครื่องขนาดเล็ก ซึ่งถ้ามองที่โจทย์นี้ ต้องบอกว่ามันทำมาได้ดีมาก เพราะการใช้งาน การตอบสนอง ฟีเจอร์ต่าง ๆ นั้นเทียบชั้นกับรุ่นที่ใหญ่กว่าได้แบบไมมีปัญหา ทั้งแง่การเชื่อมต่อ 5G ที่ทำได้ดี หน้าจอที่ใช้เทคโนโลยีระดับเดียวกับรุ่น Pro ความลื่นไหล กล้องก็ได้รับการพัฒนาขึ้น กลบจุดอ่อนที่เคยมีได้หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน ส่วนการใช้งาน MagSafe นั้นก็จัดว่าเป็นกิมมิคอำนวยความสะดวกที่น่าสนใจ แต่ในช่วงแรกนี้อาจจะต้องลงทุนสูงกันซักนิดนึง จนกว่าจะมีสินค้าจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ เติมเข้ามาในตลาดมากยิ่งขึ้นในอนาคต
แต่ด้วยคอนเซ็ปท์ของการเป็นมือถือเครื่องเล็ก แต่เปิดราคามาเท่ากับ iPhone 11 เมื่อปีที่แล้วที่จอใหญ่กว่า ทำให้อาจจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ถ้าหากคุณใช้ iPhone รุ่นก่อนหน้าที่จอใหญ่กว่าอยู่ แล้วเปลี่ยนมาใช้รุ่น mini แทน เพราะต้องยอมรับว่าหน้าจอมันเล็กกว่ากันมาก อาจทำให้การกดคีย์บอร์ดไม่ค่อยสะดวกเท่าเดิมนัก แต่จะเหมาะกับคนที่ใช้งาน iPhone จอเล็กอย่างพวก iPhone 6S / iPhone 7 / iPhone 8 อยู่ แล้วอยากได้เครื่องใหม่ที่ตัวเครื่องเท่า ๆ เดิม ที่ก็จะมี iPhone SE 2 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าเป็นโจทย์ในลักษณะนี้ แน่นอนว่า iPhone SE 2 ราคาถูกกว่ามาก (เริ่มต้น 14,900) ในขณะที่ iPhone 12 mini ราคาเริ่มต้นนั้นสูงกว่า 11,000 บาท สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาก็คือเรื่องของเทคโนโลยีในตัวเครื่อง เพราะตัวของ 12 mini จะมีข้อได้เปรียบทั้งตรงหน้าจอที่ใหญ่กว่า ดีกว่า กล้องคู่ รองรับ 5G แถมยังรองรับการใช้งานในอนาคตได้ไกลกว่า
แต่ก็อีกเช่นกันครับ ถ้าคุณพิจารณาจะเลือก iPhone 12 mini ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ก็จะมี iPhone 12 มาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในราคาที่ต่างกันหลักพันด้วย เพราะได้หน้าจอที่ใหญ่กว่า ใช้งานสะดวกกว่า ทำให้ตัวของ mini ดูจะเป็นรุ่นที่ดูก้ำกึ่งมาก ๆ น่าจะตรงโจทย์คนที่มีงบ และอยากได้มือถือจอเล็กแบบจริง ๆ ซะมากกว่าคนที่ต้องการมือถือระดับท็อปมาใช้งานทั่วไป ดังนั้นจึงน่าจะไม่แปลกที่มีข่าวออกมาว่า iPhone 12 mini ยังมียอดขายที่น้อยกว่ารุ่นอื่นที่ออกมาพร้อมกัน
ถ้าโจทย์ของคุณคือมือถือแรง ๆ จอเล็ก พกสะดวกสุด ๆ ข้อนี้บอกเลยว่า iPhone 12 mini นั้นตรงมาก ๆ (แต่อาจต้องพก powerbank และสายชาร์จติดตัวไว้ด้วยนะ)