Apple Watch Series 5 นั้น ถึงแม้ว่าจะเปิดตัวมานานถึง 1 ปีแล้ว แต่ประสิทธิภาพการใช้งานต่างๆ รวมไปถึงวัสดุที่มีให้เลือกหลายรุ่นนั้น ก็ยังน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย
สำหรับตัว Series 5 นี้ ก็เป็น Smart Watch ที่น่าสนใจมาก เพราะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาแทนตัวของ Series 4 เยอะอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นโหมด Always on display ที่สามารถเปิดหน้าจอได้ตลอดเวลา การโทรออกฉุกเฉินได้ทั่วโลก และมีสีสันให้เลือกกันถึง 6 สี และมีรุ่นให้เลือก 4 รุ่นด้วยกัน และในวันนี้ เราก็จะมาบอกกันว่า รุ่นของ Series 5 นี้ มีอะไรบ้าง และแบบไหนน่าใช้งาน เหมาะกับใครบ้าง ตามมาเลยครับ
สเปค Apple Watch Series 5
ก่อนอื่นเรามาพูดถึงสเปคของตัวนี้กันคร่าวๆก่อน โดยในซีรีส์นี้มีให้เลือก 2 แบบคือ 40 มม. และ 44 มม. ขนาดความบาง 10.7 มม. ที่ถือว่าบางมาก และมีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบ GPS และแบบ GPS + Cellular ส่วนวัสดุที่ใช้จะมีด้วยกัน 4 แบบคือ ตัวเรือนสแตนเลสสตีล ตัวเรือนอลูมิเนียม และสุดท้ายที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในรุ่น Edition ก็คือแบบไทเทเนียม และตัวเรือนเซรามิค ส่วนกระจกหน้าจอจะเป็น Sapphire Crystal ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ให้ทั้งหน้าจอในรุ่นบน ๆ และมีสีให้เลือก 6 สี ได้แก่ Black, Silver, Gold, Gray, Space Gray และ Space Black
จอแสดงผลเป็น LTPO OLED Retina มีการเพิ่ม ความประหยัดแบตเตอรี่มาให้ด้วย พร้อมชิปเซตเป็น Apple S5 และ GPU PowerVR ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ให้ดีกว่าตัว Series 4 ด้วย และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ตัว Series 5 นี้ได้ให้หน่วยความจำมา 1GB และให้ความจุมากถึง 32GB ในทุกรุ่น ทั้งแบบ GPS และแบบ GPS + Cellular เลย ส่วนการเชื่อมต่อก็เป็นแบบ Bluetooth 5.0 และสามารถโทรเข้าออกได้ โดยการใช้ eSIM และต่อ Wi-Fi ได้ และสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 18 ชั่วโมง และกันน้ำได้มากถึง 50 เมตร
Apple Watch Series 5 มีรุ่นอะไรบ้าง?
สำหรับรุ่นที่ทำออกมานั้น จะมีให้เลือกกัน 4 รุ่น ซึ่งในแต่ละรุ่นก็จะมีรูปแบบ และส่วนประกอบของตัวเรือนที่ต่างกันออกไป คือ อะลูมิเนียม สแตนเลสสตีล ไทเทเนียม และเซรามิค ส่วนรุ่นหลักๆ ที่ทำออกมาก็คือ รุ่นตัวธรรมดาที่ทำจาก อะลูมิเนียม และสแตเลสสตีล ที่มีข้างในเหมือนกัน ต่างกันเพียงวัสดุภายนอก กับกระจก ที่ตัวอะลูมิเนียมจะเป็น Ion-X ที่มีความทนทานน้อยกว่า ตัวสแตนเลสสตีลที่เป็นกระจกแชฟไฟร์ รุ่น Nike+, รุ่น Hermès และสุดท้ายก็คือ รุ่น Edition เราจะมาดูกันว่ารุ่นไหน มีรายละเอียดยังไงบ้าง และแบบไหนถึงจะเหมาะกับใครบ้าง
Apple Watch Series 5
ตัว Series 5 นี้ ถือว่าเป็นตัวธรรมดา ที่มีราคาต่ำสุด และเป็น Smart Watch รุ่นพื้นฐาน ไม่เหมือนตัวพิเศษอย่างรุ่น Nike+ และ Hermès ส่วนรุ่นตัวธรรมดานี้ จะแบ่งเป็นรุ่นย่อยได้ 2 แบบ ต่างกันที่วัสดุ มีดังนี้
Apple Watch Series 5 ตัวเรือนอะลูมิเนียม
ตัว Series 5 ที่ทำจากวัสดุอะลูมิเนียมนี้ ถือว่าเป็นรุ่นเริ่มต้น และเป็นรุ่นต่ำที่สุดของ Series 5 เลย น้ำหนักของรุ่นนี้จะมีน้ำหนักที่เบาที่สุด โดยแบ่งเป็น ตัวเรือน 40 มม. น้ำหนัก 30.8 กรัม และ 44 มม. น้ำหนัก 36.5 กรัม ลักษณะภายนอกจะดูเป็นสีด้าน ไม่เงาวาวเหมือนกับวัสดุตัวอื่น และตัวกระจกจะเป็น Ion-X ที่ทนทานน้อยกว่า และเป็นรอยขนแมวได้ง่ายมาก
โดยรุ่นนี้จะมีข้อดีคือ มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการใช้งานทั่วไป ราคาถูกสุด แต่มีข้อเสียตรงที่ หากกระทบกับขอบโต๊ะแรงๆ หรือโดนของแข็ง ก็อาจจะทำให้ตัวเรือนบุบ และเสียหายได้ รุ่นนี้มีมาให้เลือก 3 สีคือ สีเงิน (Silver) สีเทาสเปซเกรย์ (Space Gray) และสีทอง (Gold) ราคาตอนนี้จากศุนย์ Apple โดยตรง จะมีราคาเริ่มต้นที่ 13,400 บาท ส่วนถ้าเป็นค่ายโอเปอร์เรเตอร์อย่าง AIS ก็มีราคาซื้อร่วมแพ็กเกจเริ่มต้นที่ 15,900 บาท และสุดท้ายคือ Dtac มีราคาซื้อร่วมกับแพ็กเกจเริ่มต้นที่ 16,900 บาท ถ้าอยากได้เครื่องเปล่า ราคาถูกก็ซื้อผ่าน Apple ไปเลย แต่ถ้าอยากได้ซิมพร้อมเน็ตคุ้มๆ ก็อาจซื้อผ่าน AIS ก็ได้
โดยรวมแล้วตัวนี้ถือว่าไม่ได้แย่นะ ถึงจะมีราคาต่ำสุดก็จริง แต่ระบบการใช้งานภายในตัวเครื่อง ก็ยังสามารถทำได้เหมือนรุ่นอื่นๆ ได้อย่างดีเป็นปกติ เหมาะกับคนที่มีงบน้อย และต้องการใช้แค่ฟีเจอร์เท่านั้น หรือจะใส่วิ่งก็ช่วยลดน้ำหนักไปได้เยอะเลย
Apple Watch Series 5 Nike+
มาถึงตัวที่เป็นรุ่นพิเศษกันบ้าง กับ Series 5 Nike+ ที่เป็นตัว Series 5 แบบอะลูมิเนียม ที่มีหน้าปัด Nike เพิ่มขึ้นมา ซึ่งความโดดเด่นของตัวนี้ก็คือ เวลาใช้งาน จะมีหน้าปัดของ Nike เข้ามาอยู่ด้วย เพิ่มความสวยงาม และโชว์ความเป็นสปอร์ตแบรนด์ได้มากขึ้น ส่วนวัสดุที่ใช้ จะเป็นอะลูมิเนียมเท่านั้น ซึ่งก็ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการความเบา ความเป็นสปอร์ต และใช้เพื่อออกกำลังในกิจกรรมต่างๆ ได้ดีมากเลย
นอกจากจะได้ความเบาของตัวเรือนแล้ว ความสวยงามของสาย ที่ทำร่วมกับ Nike เป็นสาย Nike+ เลย ก็ทำออกมาได้อย่างลงตัว และช่วยให้ดูมีความเป็นสปอร์ตของจริง และด้วยน้ำหนักที่เบาเท่ากับตัว อะลูมิเนียมปกตินั้น จึงทำให้การใช้งานเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่อาจจะต้องแลก กับการใช้อย่างระมัดระวังหน่อย เนื่องจากตัววัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม จึงสามารถบุบ และเป็นรอยได้ง่าย รุ่นนี้มีมาให้เลือก 2 สีด้วยกัน คือ สีเงิน (Silver) และสีเทาสเปซเกรย์ (Space Gray) ส่วนสายของ Nike ที่เป็นรูๆนั้น อาจจะต้องหมั่นเช็ด ส่วนสายที่เป็นผ้านั้น เวลาส่องไฟในตอนกลางคืนมาโดนแล้วจะเกิดการ Reflect ด้วย เพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น
ส่วนราคาของตัวนี้ เนื่องจากเป็นวัสดุที่ราคาไม่แพงมากนัก ถ้าซื้อจากศูนย์ Apple จะมีราคาเริ่มต้นที่ 13,400 บาท ส่วน AIS มีราคาเริ่มต้นพร้อมแพ็กเกจที่ 15,900 บาท Dtac มีราคาเริ่มต้นพร้อมแพ็กเกจ 16,900 บาท และสุดท้ายคือ TrueMove H มีราคาเริ่มต้นพร้อมแพ็กเกจที่ 12,900 บาท ถ้าชอบแบบคุ้มๆ ได้แพ็กเกจเน็ตไว้ใช้งานด้วย ซื้อผ่าน TrueMove H จะคุ้มที่สุด แต่ถ้าซื้อเครื่องเปล่า ก็ซื้อผ่าน Apple ไปเลยดีสุด
รุ่นนี้จริงๆ ก็เหมาะมากเลย สำหรับคนที่ต้องการใช้งานเพื่อออกกำลังกาย เพราะเขาทำมาเพื่อสิ่งนั้นแหละ ให้ความเบาสบายขณะใช้งาน บวกกับความเป็น Nike ที่ให้ความเป็นสปอร์ต ยิ่งถ้าใส่ร่วมกับสายของ Nike ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ดูสวยงามมากขึ้น ในเรื่องของราคาก็ไม่ได้แพงนัก เพราะวัสดุเป็นอะลูมิเนียม จึงช่วยประหยัดไปได้เยอะ
Apple Watch Series 5 ตัวเรือนสแตนเลสสตีล
มาถึงตัว Series 5 ที่มีตัวเรือนทำจากสแตนเลสสตีลกันบ้าง ซึ่งในรุ่นนี้จะอัพเกรดขึ้นมาจากตัวที่เป็นอะลูมิเนียมหน่อย ซึ่งก็จะไม่เป็นสีด้านๆแล้ว แต่จะมีความเงาแวบวับ สวยงามมากขึ้น ซึ่งที่เพิ่มมาก็ไม่ใช่เพียงความสวยงามเท่านั้น แต่ยังให้ความแข็งแรงคงทนกว่าด้วย ไม่บุบง่ายเหมือนอะลูมิเนียม และถึงแม้ว่าจะทำให้เป็นรอย ก็ยังสามารถขัดออกได้ (ในกรณีที่รอยไม่ลึกนะ) ส่วนหน้าจอจะเป็นแชฟไฟร์ ที่มีความแข็งแรง ทนทานกว่า Ion-X ในตัวอะลูมิเนียม
ตัววัสดุนี้ถือว่ามีความสวยงามมาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความหนัก โดยน้ำหนักของตัวเรือน 40 มม. มีน้ำหนัก 40.6 กรัม และตัวเรือน 44 มม. มีน้ำหนัก 47.8 กรัม หนักที่สุดกว่าทุกรุ่นแล้ว มีให้เลือก 3 สี คือ สีเงิน (Silver), สีดำสเปซแบล็ค (Space Black) และสีทอง (Gold) ส่วนราคาจากศูนย์ Apple จะมีราคาเริ่มต้นที่ 22,400 บาท และค่ายโอเปอร์เรเตอร์มี AIS ขายที่เดียว มีราคาพร้อมแพ็กเกจเริ่มต้นที่ 20,400 บาท ถ้าอยากได้แพ็กเกจด้วยก็ซื้อกับ AIS เลยคุ้มกว่า
รุ่นนี้จะเหมาะกับ คนที่ต้องการความสวยงามหน่อย รวมไปถึงต้องการ ความแข็งแกร่งของตัวเรือนด้วย และต้องมีงบค่อนข้างเยอะด้วย แต่ส่วนที่จะต้องแลกมาก็คือ ความหนักของตัวเรือน แต่ถ้าดูจากความสวยงามแล้ว ตัวนี้ก็ถือว่าสวยมากเลยแหละ
Apple Watch Series 5 Hermès
นอกจากเรื่องสปอร์ตแล้ว ทาง Apple ก็เพิ่มความสวยหรูกันอีกระดับ ด้วยการทำร่วมกับแบรนด์ดัง จากฝรั่งเศส อย่าง Hermès แน่นอนว่าเป็นที่รู้ๆกันดีว่า แบรนด์นี้หรูหราแค่ไหน และราคาก็ต้องแรงตามไปด้วยแน่นอน ตัวนี้ได้ผ่านการดีไซน์มาเป็นอย่างดี โดยสายจะเป็นหนังแท้ๆ ลวดลายผ่านการออกแบบ มาเป็นอย่างดี มาพร้อมกับกล่องตามแบบฉบับ Hermès ส่วนหน้าจอก็มีการแสดงผลแบบพิเศษ เพื่อบอกตัวตนความเป็น Hermès ให้ด้วย
วัสดุที่ใช้นั้น แน่นอนว่าต้องมีความเงางาม โดยใช้เป็นสแตนเลสสตีล ที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีความแข็งแรงร่วมด้วย ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้เข้ากันเป็นอย่างมาก สวยหรูจริงๆ แต่น้ำหนักของตัวนี้ก็จะมีมากขึ้นด้วย แต่ถ้าใส่เพื่อความสวยงาม ไม่ได้เอามาใช้ออกกำลังกาย ก็ไม่ได้ถือว่าหนักมากนัก ถ้าเทียบกับนาฬิกา Hi-End ทั่วไป รุ่นนี้มีให้เลือก 2 สีคือ สีเงิน (Silver) และสีสเปซแบล็ก (Space Black) มาพร้อมกับสาย 3 สาย คือ สีดำ สีส้ม และแบบที่มีลวดลาย ส่วนราคาขายตอนนี้จะมีที่ศูนย์ Apple ที่เดียวเท่านั้น ราคาเริ่มต้น 40,900 บาท
รุ่นนี้แทบไม่ต้องบอก ก็รู้ว่าเหมาะกับใคร อย่างแรกคือ เหมาะกับคนที่มีงบสูง และเหมาะกับคนที่ต้องการความสวยงาม ของตัวเรือน นอกจากความสวยแล้ว ยังมีความแข็งแรง คงทน ไม่บุบง่ายด้วย และความสวยของสาย ที่ออกแบบมาร่วมกับ Hermès ทั้ง 2 สี และลวดลาย ได้อย่างลงตัว อาจไม่เหมาะกับการใส่ไปเล่นกีฬามากนัก ด้วยราคาที่สูง กับความเป็น Luxury จึงใส่เพื่อความสวยงามจะดีที่สุด
Apple Watch Series 5 Edition
รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ทำออกมา โดยใช้วัสดุที่เป็นเฉพาะตัวเท่านั้น จึงจะต่างกับวัสดุสองตัวที่พึ่งบอกไป มีให้เลือกอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือวัสดุที่เพิ่มมาใหม่ของ Series 5 คือไทเทเนียม และวัสดุสุดแกร่งอย่างเซรามิค แต่ก็ไม่มีหน้าจอพิเศษให้ ยังคงเป็นหน้าจอแบบเดิมอยู่ มาดูกันเลยดีกว่า ว่ามีความพิเศษยังไงอยู่บ้าง สำหรับรุ่น Edition นี้
Apple Watch Series 5 Edition ตัวเรือนไทเทเนียม
ต้องบอกก่อนเลยว่า วัสดุไทเทเนียมนั้น เพิ่งทำออกมาครั้งแรกบน Smart Watch ของ Apple เลย ซึ่งเจ้าวัสดุตัวนี้มันมีความพิเศษตรงที่ มีความแข็งแรง และมีความเบากว่าตัวสแตนเลสสตีล (แต่ยังไม่เบาเท่าอะลูมิเนียมนะ) ซึ่งในวงการนาฬิกา การใช้ไทเทเนียมมาทำเป็นตัวเรือน ถือว่าเป็นที่นิยมมาก เพราะสามารถให้สีได้ตามธรรมชาติ และเป็นสีด้านด้วย ไม่ได้เงาวับ จึงทำให้ได้ความสวยงามไปอีกแบบ ที่ออกแนว Luxury นิดนึง
นอกจากความสวยงามแล้ว ตัวเรือนด้านนอกได้ทำการเคลือบมาด้วย Diamond-Like Coating (DLC) ที่มีลักษณะคล้ายเพชร ในตัวสี Space Black ช่วยให้ไม่เป็นรอยนิ้วมือ และกันสีเสื่อมได้ด้วย รุ่นนี้มีน้ำหนักของตัวเรือนขนาด 40 มม. น้ำหนัก 35.1 กรัม และ 44 มม. น้ำหนัก 41.7 กรัม ก็ถือว่าเบาพอสมควรเลย มีมาให้เลือก 2 สีคือ สีไทเทเนียม (Titanium) และสีดำสเปซแบล็ค (Space Black) ตัวเรือนของรุ่นนี้ จะมีขายแค่ที่ศูนย์ Apple เท่านั้น มีราคาเริ่มต้น 25,400 บาท
ตัวนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการใช้ เพื่อเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย ในแบบที่ไม่ได้เป็นปกติมากนัก อาจจะเดินป่า ปีนเขา หรือที่ต้องใช้ความแข็งแรงของตัวเรือนสูง มีความสวยของสีด้าน และมีน้ำหนักเบาด้วย ส่วนราคาตัวนี้ก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้สูงมากนัก
Apple Watch Series 5 Edition ตัวเรือนเซรามิค
มาถึงตัวสุดท้ายของ Series นี้แล้ว ที่วัสดุทำมาจากเซรามิค ให้ความแข็งแรงเป็นอย่างมาก พร้อมกับความสวยงามที่เงาวับ ไม่ได้เป็นสีด้าน และรุ่นนี้จะทำออกมาสีเดียว คือสีขาวเท่านั้น ซึ่งสีขาวที่ทำออกมานี้ จะเป็นสีขาวที่ทำการเคลือบมาแบบพิเศษ ด้วยการอัดขึ้นรูปโดยใช้ ผงเซอร์โคเนีย บวกกับอะลูมิน่า สดท้ายขัดเงาด้วยสารละลายเพชร ช่วยให้สีที่ออกมาดูมีความบริสุทธ์ ตัดกับรอบจอแสดงผลด้วยสีดำ ก็ยิ่งทำให้ตัวนี้ดูสวยงามมากขึ้นอีก และถึงแม้ว่าน้ำหนัก จะมีความใกล้เคียงกับตัว สแตนเลสสตีล แต่ความแข็งแกร่งของตัวนี้ มีมากกว่าแสนเลสสตีลถึง 4 เท่า
ในเรื่องของน้ำหนัก จะมีน้ำหนักพอๆ กับตัวที่เป็นสแตนเลสสตีลเลย โดยตัวที่มีขนาด 40 มม. มีน้ำหนัก 39.7 กรัม และ 44 มม. มีน้ำหนัก 46.7 กรัม ต่างกันเพียง 1 กรัมเท่านั้น จึงอาจไม่เหมาะ กับการใส่ไปออกกำลังกายนานๆ เท่าไหร่ ส่วนราคาตัวนี้ก็มีราคาที่แพงที่สุดกว่าทุกๆ รุ่นด้วย จึงอาจจะใช้เพื่อความสวยงาม ดูหรูไปอีกแบบนึงก็ได้ ส่วนราคาขายของตัวนี้จะแพงที่สุด และตอนนี้มีขายที่ศูนย์ Apple ที่เดียวเท่านั้น ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 41,400 บาท
ตัวรุ่นที่ทำจากเซรามิคนี้ จะบอกว่าเหมาะกับการใส่เพื่อสวยงามก็ได้ หรือจะใส่ไปผจญภัยก็ดี เพราะว่าเหมือนมีทุกอย่างในตัวเดียวแล้ว ทั้งความสวยงาม และความแข็งแรงมากๆ ของตัวเรือนนี้ จึงทำให้รุ่นเซรามิคเหมาะกับการใส่ทำทุกกิจกรรมเลย แต่ต้องมีงบที่สูงมาก
แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็น รายละเอียดของ Apple Watch Series 5 ทุกรุ่นที่ได้ทำออกมา ทั้งวัสดุ และสีต่างๆ ส่วนใครเหมาะกับการใช้แบบไหน เราก็ได้แนะนำไว้หมดแล้ว ถ้ามีงบน้อยก็ใช้เพียง ฟีเจอร์หลักที่มีมาให้อย่างตัว อะลูมิเนียมธรรมดา แต่ถ้าอยากใส่วิ่ง และออกกำลังกายบ่อยๆ แนะนำเป็นตัว Nike+ ส่วนใครที่มีงบสูงขึ้นมาหน่อย และใส่เพื่อความสวยงาม แนะนำให้ซื้อแบบ สแตนเลสสตีล แบบธรรมดา หรือจะหรูไปเลยเป็นตัว Hermès ก็ยังได้ สุดท้ายคือคนที่อยากได้ วัสดุที่แข็งแรง และสวยงามไปในตัวด้วย ให้เลือกเป็นรุ่น Edition ที่ได้ทั้งความสวยงาม และแข็งแรงมากๆ แล้วถ้ามีเรื่องราวอะไรน่าสนใจอีก specphone ก็จะนำมาฝากกันเรื่อยๆนะครับ