รวม 7 ฟีเจอร์เด็ดๆ ในอุปกรณ์ของทาง Apple ทั้ง iPhone, Apple Watch, MacBook Pro(2023) ไปจนถึง HomePod ที่จะสามารถช่วยชีวิตคุณในยามขับขันได้ จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย
Apple ให้ความสำคัญกับวิธีที่ iPhone สามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของคุณในการใช้อุปกรณ์เป็นอย่างมาก นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว Apple ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางกายภาพหรือร่างกาย(สุขภาพทางด้านร่างกาย) ของคุณอย่างจริงจังอีกด้วยต่างหาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัวคุณสมบัติมากมายที่จะช่วยคุณในกรณีฉุกเฉินที่เลวร้าย บางอย่างที่คุณอาจรู้จักหรืออาจจะเคยได้ยินมา บางอย่างก็ยังคงเป็นฟีเจอร์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือรู้วิธีการใช้งานอย่างจริงจังมากเท่าไรนัก
ทุกครั้งที่ Apple เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับวิธีที่ผลิตภัณฑ์ของทาง Apple ว่าจะสามารถช่วยชีวิตผ่านวิธีการและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกบรรจุเอาไว้ในอุปกรณ์ของทาง Apple ได้อย่างไรนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเทคโนโลยีและวิธีการที่เกี่ยวข้องกับ Apple Watch รุ่นใหม่เสมอๆ ทว่าอุปกรณ์อื่นๆ ของทาง Apple เองนั้นก็มาพร้อมกับเครื่องมือบางอย่างที่สามารถช่วยคุณได้ในสถานการณ์คับขันด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมี iPhone, MacBook Pro (2023) รุ่นล่าสุดหรือแม้แต่ HomePod Mini คุณก็สามารถใช้คุณสมบัติบางอย่างที่ช่วยชีวิตเหล่านี้ได้ด้วย
และต่อไปนี้คือคุณสมบัติด้านความปลอดภัยสำหรับช่วยเหลือผู้ใช้งานทางด้านกายภาพหรือสุขภาพที่สำคัญน่าใช้งานที่สุดของอุปกรณ์ของทาง Apple ที่ทาง SpecPhone ได้รวบรวมและให้รายละเอียดเอาไว้ถึง 7 วิธีการด้วยกัน บางฟีเจอร์เองนั้นอาจจะดูเหมือนไม่จำเป็นหรือแม้แต่น่ารำคาญในบางครั้ง แต่เชื่อเถอะว่าสักวันหนึ่งคุณอาจจะได้ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้เพื่อช่วยชีวิตคุณก็เป็นได้ ฟีเจอร์ต่างๆ ที่เรารวบรวมมานั้นจะมีอะไรและใช้งานแบบไหนบ้างไปติดตามกันได้เลย
- SOS ฉุกเฉิน
- รหัสทางการแพทย์ (Medical ID)
- การตรวจจับการตกลงบนพื้น
- การตรวจจับการโดนชน
- ตรวจสอบสุขภาพหัวใจ
- การรับรู้เสียง
- ค้นหาที่อยู่ (Find My)
SOS ฉุกเฉิน
เริ่มต้นด้วยหนึ่งในคุณสมบัติการช่วยชีวิตที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในอุปกรณ์ Apple นั่นก็คือ SOS ฉุกเฉินหรือ Emergency SOS ที่จะช่วยให้คุณโทรหาผู้ที่คุณได้ตั้งค่าเอาไว้ให้ช่วยยามฉุกเฉินอย่างรวดเร็วและแชร์ตำแหน่งของคุณทันทีหากคุณตกอยู่ในอันตราย ฟีเจอร์นี้มีอยู่ใน iPhone และ Apple Watch รุ่นล่าสุดทั้งหมดและจะเชื่อมต่อคุณกับหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินผ่านทางลัดด่วนอีกด้วยต่างหาก
คุณลักษณะนี้ไม่ได้มีดีแค่เพียงแค่นั้น นอกเหนือจากการโทรหาตำรวจท้องที่แล้ว ฟีเจอร์นี้ยังส่งข้อความพิกัดปัจจุบันของคุณไปยังผู้ติดต่อฉุกเฉินที่คุณเลือกได้อีกด้วย และหากคุณกำลังอยู่ในช่วงของการเดินทาง อุปกรณ์ Apple ของคุณจะส่งตำแหน่งที่อัปเดตไปให้พวกเขาอีกครั้งในอีก 10 นาทีต่อมาเพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะติดตามที่อยู่ที่แน่นอนของคุณได้โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้หากคุณมี iPhone 14 หรือ iPhone 14 Pro คุณยังสามารถพึ่งพา SOS ฉุกเฉินหรือ Emergency SOS ได้แม้ว่าจะไม่มีการรับสัญญาณเครือข่ายอยู่ก็ตาม นั่นเป็นเพราะ iPhone รุ่นดังกล่าวนี้รองรับรูปแบบใหม่ของการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงผู้เผชิญเหตุได้โดยอาศัยดาวเทียมที่โรมมิ่งรอบโลกของเรา ขณะนี้ส่วนเพิ่มเติมใหม่นี้มีให้บริการในสหรัฐอเมริกาและอีกสองสามประเทศฟรี แต่ว่าในอีกประมาณสองปี Apple จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ใช้หากคุณสนใจที่จะใช้งาน
รหัสทางการแพทย์ (Medical ID)
ID ทางแพทย์เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่มีอยู่ใน iPhone และ Apple Watch รุ่นใหม่ทั้งหมด และหากคุณได้ตั้งค่าอนุญาตเอาไว้ทุกคนจะสามารถดูข้อมูลทางการแพทย์ของคุณได้แม้ว่า iPhone ของคุณจะถูกล็อคอยู่ โดยบุคคลที่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของคุณได้ก็จะสามารถดู ID ทางแพทย์ที่คุณสร้างขึ้นได้ ซึ่ง ID ทางแพทย์นั้นจะรวมไปถึงรูปถ่าย, ส่วนสูง, น้ำหนัก, กรุ๊ปเลือด, การแพ้, เงื่อนไขทางการแพทย์, ยาที่คุณใช้อยู่และข้อมูลทางการแพทย์อื่นๆ ที่คุณได้ตั้งค่าเอาไว้
ด้วยวิธีนี้หากคุณหมดสติหรือไม่สามารถสื่อสารกับผู้ให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ได้ พวกเขาจะสามารถดูรายละเอียดสำคัญที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับตัวคุณได้อย่างง่ายดายเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องหรือการถ่ายเลือดที่ตรงกับกรุ๊ปเลือดของคุณโดยเร็วที่สุด(ในกรณีที่คุณมีการเสียเลือกจนต้องให้เลือดเพิ่ม) โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการทดสอบที่เกี่ยวข้องเพื่อหารายละเอียดด้านสุขภาพของคุณ ฟีเจอร์ ID ทางแพทย์ยังแสดงรายชื่อผู้ติดต่อในกรณีฉุกเฉินที่คุณได้เลือกเอาไว้เองและจะแสดงความสัมพันธ์ของคุณกับพวกเขาให้ผู้รักษาได้รับรู้อย่างทันที ด้วยฟีเจอร์นี้จะทำให้ทุกคนสามารถโทรหาคนที่ต้องติดต่อในกรณีฉุกเฉินได้จากอุปกรณ์ Apple ของคุณถึงแม้ว่าจะล็อกเอาไว้อยู่เพื่อทำการรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณได้อย่างทันท่วงที
การตรวจจับการตกลงบนพื้น
หากคุณมี Apple Watch Series 4 หรือรุ่นที่ใหม่กว่าขึ้นไป ระบบตรวจจับการล้มอาจช่วยชีวิตคุณได้ในสักวันหนึ่ง คุณลักษณะนี้มีความสามารถเป็นไปตามชื่อของมันนั่นก็คือมันจะทำการตรวจจับได้เมื่อคุณล้มลงบนพื้น หากเปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวนี้นาฬิกาของคุณจะแสดงทางลัดเพื่อเรียกใช้ SOS ฉุกเฉินอีกทั้งยังสามารถที่จะทำการตรวจจับได้ว่าคุณไม่เป็นไร หากคุณไม่เลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งจากสองตัวเลือกนี้และล้มลงจนหยุดนิ่งเป็นเวลาหนึ่งนาที Apple Watch ของคุณจะเรียกใช้ SOS ฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ เนื่องจากคุณอาจหมดสติหรือไม่สามารถทำการแจ้งหาผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นแล้วฟีเจอร์นี้เป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่อยู่คนเดียวและผู้สูงอายุ มันสามารถช่วยชีวิตคุณหรือคนที่คุณรักได้หากลื่นล้มและศีรษะกระแทกจนหมดสติ
การตรวจจับการโดนชน
ฟีเจอร์นี้มีลักษณะเช่นเดียวกับการตรวจจับการล้ม การตรวจจับการชนจะเรียกใช้ SOS ฉุกเฉินหากตรวจพบการชนของรถ คุณสมบัตินี้อาศัยเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวและไมโครโฟนของอุปกรณ์ โดยที่ฟีเจอร์ดังกล่าวนี้สามารถใช้งานได้กับผู้ที่มี iPhone 14, Apple Watch Series 8 หรือ Apple Watch Ultra
อย่างไรก็ตามคุณลักษณะนี้ยังคงห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบอยู่เนื่องจากมีบางกรณีที่ฟีเจอร์ดังกล่าวดันทำงานขึ้นมาเองอัตโนมัติจากการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาหรือเล่นสกีเป็นต้น ในกรณีที่โทรหาบริการฉุกเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ Apple แนะนำให้ผู้ใช้อย่าเพิ่งวางสายจนกว่าคุณจะยืนยันกับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยฉุกเฉินว่าสบายดีอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยช่วยเหลือทางการแพทย์ถูกส่งไปยังตำแหน่งของคุณโดยไม่จำเป็น
ตรวจสอบสุขภาพของหัวใจ
สุขภาพของหัวใจเป็นหัวใจหลักประการหนึ่งของ Apple Watch ไม่เพียงแต่ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจและให้ค่า BPM แก่คุณเพียงเท่านั้นแต่มันยังมีความสามารถอื่นๆ อีกมากมายตัวอย่างเช่น คุณสามารถวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วย Apple Watch เพื่อตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจ โดยที่ watchOS จะแจ้งให้คุณทราบหากสงสัยว่าคุณอาจมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (AFib)
ดังนั้นการขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ตั้งแต่ระยะแรกๆ จะสามารถช่วยชีวิตคุณได้อย่างแท้จริง ในทำนองเดียวกัน Apple Watch จะแจ้งเตือนคุณหากอัตราการเต้นของหัวใจของคุณลดลงต่ำกว่าหรือสูงกว่าระดับที่กำหนด (ซึ่งไม่รวมถึงกรณีที่คุณมีอาการหัวใจวาย) การแจ้งเตือนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจสามารถช่วยให้คุณตรวจพบสภาวะหรือโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้ก่อนที่จะสายเกินไป
การรับรู้เสียง
หากคุณสูญเสียการได้ยินหรือมักฟังเพลงผ่านหูฟังที่รองรับ ANC(ฟีเจอร์การตัดเสียงรบวนจากภายนอก) คุณอาจพลาดสัญญาณเตือนควันหรือไฟไหม้ได้ โชคดีที่ iPhone และ iPad ของคุณสามารถแจ้งคุณทราบได้หากตรวจพบการเตือนเหล่านี้ คุณลักษณะนี้ยังทำงานร่วมกับเสียงอื่นๆ ได้อีกเช่น เสียงทารกร้องไห้, เสียงตะโกน, เสียงไซเรน, เสียงกระจกแตกและอื่นๆ สิ่งที่คุณต้องทำคือเปิดใช้งานการจดจำเสียงใน iDevice ของคุณและเลือกเสียงที่คุณต้องการรับการแจ้งเตือนเท่านั้น
หากคุณมักจะใช้เวลาอยู่นอกบ้านเป็นเวลานานและกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่คุกคามชีวิตที่อาจเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่อยู่บ้าน Apple ก็มีคำตอบให้คุณเช่นกัน โดยสิ่งที่คุณต้องทำคือต้องเปิดใช้งานการแจ้งเตือนการตรวจจับสัญญาณเตือนควันบน HomePod ของคุณ ด้วยวิธีนี้แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่บ้าน HomePod ของคุณจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยัง iPhone, iPad และ Apple Watch ของคุณทันทีที่ HomePod สามารถตรวจจับสัญญาณเสียเตือนที่บ้านคุณได้ คุณสมบัตินี้ยังช่วยให้คุณโทรหา HomePod ที่จะทำให้คุณสามารถสื่อสารกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมห้อง(ในกรณีที่เป็นคอนโด) ของคุณหากพวกเขาอยู่บ้านขณะเกิดอุบัติเหตุได้อย่างทันท่วงที
ค้นหาที่อยู่ (Find My)
ฟีเจอร์สุดท้ายที่เราอยากแนะนำ(แต่ไม่อันสุดท้ายที่มีอยู่บนอุปกรณ์ของทาง Apple ในการช่วยเหลือชีวิต) แอปพลิเคชันค้นหาตำแหน่งหรือ Find My บน iOS, iPadOS, macOS และ watchOS อาจช่วยคุณในสถานการณ์ที่อาจจะคุกคามถึงชีวิตได้หากวิธีอื่นๆ ที่เราได้กล่าวมาในบทความทั้งหมดไม่สามารถที่จะทำงานได้
เราขอแนะนำให้คุณแชร์ตำแหน่ง Find My กับบุคคลที่คุณไว้วางใจอย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลา ซึ่งอาจจะเป็นคู่ชีวิต, เพื่อนซี้, ญาติสนิทหรือคนที่คุณไว้ใจ ด้วยการเข้าถึงตำแหน่งปัจจุบันของคุณ พวกเขาสามารถช่วยตำรวจค้นหาคุณได้อย่างง่ายดายหากคุณหายตัวไป
ที่มา : macworld, xda-developers