ปัญหามือถือชาร์จไม่เข้าเป็นหนึ่งในปั๗หาที่ปัจจุบันนี้ก็ยังเจออยู่ถึงแม้ว่าจำนวนจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม อีกทั้งทุกวันนี้ถ้าเสียบสายแล้วไม่มีการชาร์จเกิดขึ้น ในมือถือบางรุ่นสามารถแก้ไขเฉพาะหน้าด้วยระบบชาร์จไร้สาย แล้วค่อยเอาไปส่งศูนย์ก็ได้ แต่ทว่าสำหรับเครื่องที่ไม่มีระบบชารืจไร้สาย และไม่สะดวกเดินทางไปศูนย์ซ่อม เราก็มีวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นมาแนะนำให้ เพราะหลาย ๆ สาเหตุนั้นเราสามารถแก้ไขได้เองโดยไม่จำเป็นต้องส่งศูนย์ซ่อมเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันได้เลย
1. สายชาร์จมีปัญหา
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญสำหรับการชาร์จเลยก็คือสายชาร์จ และยังเป็นผู้ต้องสงสัยแรกอีกด้วย ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นมาสิ่งแรกที่เราควรจะต้องเช็คก่อนเป็นอย่างแรกเลยก็คือสายชาร์จที่เราใช้นั้นยังอยู่ในสภาพดีและสมบูรณ์อยู่หรือเปล่า เพราะสายชาร์จเป็นอะไรที่พังง่ายที่สุดแล้ว โดยเฉพาะตรงบริเวณขั้วของสายชาร์จที่ตัวหุ้มสายไฟที่มักจะขาดก่อนใครเพื่อน หรืออาจจะเป็นตรงบริเวณเขี้ยวล็อคของบริเวณ Micro USB ที่เกิดการหักจากการเสียบเข้าเสียบออกอยู่บ่อย ๆ
ดังนั้นถ้าหากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ก็ลองเปลี่ยนสายชาร์จดูก่อน แต่แนะนำให้เลือกใช้เป็นสายชาร์จที่ได้มาตรฐานหรือใช้ของแท้ เพราะถึงแม้จะมีราคาแพงกว่าแต่ก็มีคุณภาพและมีความปลอดภัยมากกว่า
2. ช่องเสียบชาร์จแบตเตอรี่สกปรก
ช่องเสียบชาร์จเป็นจุดที่เรียกได้ว่าเส้นผมบังภูเขาเลยก็ว่าได้ เพราะคงไม่มีใครคิดหรอกว่าการที่ชาร์จแบตไม่เข้านั้นเกิดจากการที่ช่องเสียบมีฝุ่นหรือขยะเข้าไปอุดตันอยู่ในนั้น เพราะการที่เราพกมือถือเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงบ้าง กระเป๋าถือบ้าง โอกาสที่จะมีฝุ่นหรือพวกเศษผ้าจากกระเป๋าเข้าไปอุดตันได้ ดังนั้นให้เราลองส่องดูที่ช่องเสียบแบตเตอรี่ว่ามีสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปอุดอยู่หรือเปล่า เนื่องจากว่าสิ่งสกปรกเหล่านี้จะเข้าไปขัดขวางไม่ให้กระแสไฟจากหัวชาร์จเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้นั่นเอง ซึ่งวิธีแก้ก็ง่าย ๆ ให้ใช้ไม้จิ้มฟันหรือแปรงสีฟันจิ้ม ๆ ขัด ๆ อย่างเบามือเพื่อเป็นการทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกออกไปเท่านี้ก็เรียบร้อย
3. ช่องเสียบ USB ชำรุด
เมื่อมีการชาร์จแบตเตอรี่หลาย ๆ ครั้งเข้า การเสียบเข้า-ดึงออกอยู่บ่อย ๆ ก็จะเกิดการเสียดสีระหว่างแผ่นโลหะขนาดเล็กที่อยู่ในพอร์ต USB และที่อยู่บนหัวเสียบของสายชาร์จ ทำให้อาจเกิดการโค้งงอผิดรูปไป หรือแม้แต่การทำมือถือตกพื้นหรือตกน้ำจนทำให้พอร์ต USB เสียหาย รวมไปถึงการพยายามเสียบสายชาร์จแบบไม่ถูกด้านจนทำให้ช่องเสียบ USB พังขึ้นมา
ปัญหานี้เราไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองต้องส่งร้านหรือส่งศูนย์ซ่อมเท่านั้น
4. อะแดปเตอร์ชาร์จมีปัญหา
ในบางครั้งปัญหาการชาร์จไฟไม่เข้าหรือชาร์จไฟได้ช้าอาจจะเป็นเพราะว่าตัวอะแดปเตอร์สำหรับจ่ายไฟมีปัญหาก็เป็นได้ ทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟออกมาได้อย่างเพียงพอ หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็คืออาจเกิดการลัดวงจรอยู่ภายใน ซึ่งตรงนี้มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมาได้ ดังนั้นหากเปลี่ยนสายชาร์จแล้วไม่หาย ช่องชาร์จก็สะอาด ก็ให้ลองเปลี่ยนตัวอะแดปเตอร์ดู แต่ก็แนะนำให้ใช้ของแท้และได้มาตรฐานเช่นเดียวกับสายชาร์จจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้
5. มือถือเก่าเกินไปแล้ว
มือถือรุ่นเก่า ๆ นั้นจะมีเทคโนโลยีที่เก่ากว่ามือถือรุ่นใหม่เสมอ ซึ่งส่งผลให้เทคโนโลยีการชาร์จก็ด้อยกว่าไปด้วย เพราะสมัยนี้มือถือเกือบทุกรุ่นรองรับการชาร์จเร็วกันทั้งนั้น ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาในข้อนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้วว่าจะยังคงใช้เครื่องเก่าต่อไปหรือถอยเครื่องใหม่ที่รวดเร็วและทันสมัยกว่าเดิมดี
6. แบตเตอรี่เสื่อม
อีกสิ่งที่มาควบคู่กับมือถือเก่านั่นก็คือแบตเตอรี่เสื่อมสภาพนั่นเอง แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่าอาการแบตเสื่อมจะเกิดขึ้นกับในโทรศัพท์เก่าเท่านั้น มันมีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพซึ่งถ้าเป็นมือถือรุ่นเก่า ๆ หากมีอาการแบตเสื่อมนั้นจะค่อนข้างได้เปรียบเพราะว่าอาจจะยังสามารถแกะฝาหลังถอดแบตเตอรี่ออกมาเปลี่ยนเองได้แบบชิล ๆ แต่ถ้าเป็นมือถือรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ที่ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่เปลี่ยนเองได้ก็คงต้องเอาไปให้ที่ร้านหรือที่ศูนย์เปลี่ยนให้สถานเดียว
7. ใช้งานระหว่างที่ชาร์จแบตเตอรี่
บางครั้งการที่ชาร์จไม่เข้าทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างก็ปกติดีอาจจะเป็นเพราะเราใช้งานมือถือไปด้วยระหว่างชาร์จแล้วการใช้งานของเรานั้นกินไฟมากกว่าที่อะแดปเตอร์จะสามารถจ่ายได้จนทำให้ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ไม่ทัน อย่างเช่นชาร์จแบตไปด้วยเล่นเกมไปด้วย หรือชาร์จแบตไปวีดีโอคอลไป ตรงนี้นอกจากจะทำให้มีโอกาสแบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วขึ้นแล้วก็ยังทำให้การชาร์จแบตเตอรี่นั้นช้าลงไปอีก วิธีการแก้ง่าย ๆ ก็คือให้ทำการปิดเครื่องแล้วชาร์จแบต หรือเปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบินเพื่อให้มีการใช้พลังงานน้อยที่สุดจะได้ชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นนั่นเอง
ทำตามแล้ว มือถือชาร์จไม่เข้า อยู่ดี
ทั้ง 7 ข้อที่กล่าวไปนี้คือวิธีแก้ไขเบื้องต้นเมื่อชารืจไฟมือถือไม่เข้า ซึ่งหากลองทำตามทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้วยังไงก็ยังชาร์จไม่เข้าอยู่ดี สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือการส่งมือถือเข้าศูนย์เพื่อให้ช่างตรวจสอบว่าทำไมถึงชาร์จไม่เข้า ห้ามแกะเครื่องหาสาเหตุด้วยตัวเอง เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นหากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกายและทรัพย์สินได้ ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องปลอดภัยเอาไว้ก่อน แล้วก็อย่าลืมใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานด้วยนะ