เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะเคยเห็นบทความวิธีถนอมแบตเตอรี่, วิธียืดอายุแบตเตอรี่ หรือวิธีชาร์จมือถือที่ถูกต้องกันอยู่หลายบทความ ซึ่งก็มีข้อมูลที่เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง ทำให้อาจจะสับสนได้ว่าอันไหนที่จะสามารถเชื่อได้บ้าง อันไหนจะใช้ได้จริง ๆ บ้าง เราจึงได้ไปลองค้นหาจากหลาย ๆ แหล่งแล้วมาสรุปให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันว่าอย่างน้อยที่สุดเราควรทำอย่างไรบ้างเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว
แบตเตอรี่เสื่อมเพราะอะไร
โดยปกติการเสื่อมของแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่มิอาจเลี่ยงได้ไม่ว่าจะใช้งานด้วยวิธีไหนก็ตาม ซึ่งนอกจากอายุหลังการผลิตแล้วสื่งที่ใช้วัดก็คือ “Charge cycle” หมายถึงเลขประมาณรอบการใช้งานของแบตเตอรี่ก่อนที่แบตเตอรี่จะเริ่ม เสื่อมสภาพหรือหมดอายุ ในที่นี้คำว่า “รอบ” นั้นไม่ได้หมายถึงการเสียบสายชาร์จ 1 ครั้งก็จะนับ 1 รอบ แต่ 1 Charge cycle คือการใช้แบตเตอรี่ครบ 100% แต่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นการใช้งานต่อเนื่องจนแบตเตอรี่หมด อย่างเช่นเราใช้แบตเตอรี่จาก 100% จนเหลือเพียง 50% นำไปชาร์จเพิ่มจนเต็มแล้วเอามาใช้ต่ออีก 50% นั่นถึงจะนับเป็น 1 Charge cycle
แล้วอะไรหละที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว สาเหตุนั้นก็มีหลากหลายอย่าง แต่โดยรวมแล้วนอกเหนือจากการใช้ 1 Charge cycle จนหมดจะมีอยู่อีก 2 เหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือ
- ใช้แบตเตอรี่จนเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ
- ความร้อน
ซึ่งก็ได้มีผู้ที่ทำการวิจัยและทดลองการเสื่อมของแบตเตอรี่เอาไว้แล้ว โดยจะมีผลดังนี้
ปริมาณแบตเตอรี่ที่ถูกใช้ไป จำนวนรอบการใช้งาน / ชาร์จแบตเตอรี่
ก่อนที่ความจุของแบตเตอรี่จะลดลงไปเหลือ 70%100% 300 – 600 80% 400 – 900 60% 600 – 1,500 40% 1,000 – 3,000 20% 2,000 – 9,000 10% 6,000 – 15,000
โดยในตารางแรกจะเป็นการทดลองชาร์จไฟแบตเตอรี่ Li-ion ที่มีความจจุเท่ากันไว้ในที่ระดับต่างกันแล้วค่อยบันทึกข้อมูลว่าจะสามารถชาร์จไปได้อีกกี่รอบก่อนความจุแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ 70% ซึ่งจากผลที่ได้นับแสดงให้เห็นว่าหากเราใช้แบตเตอรี่จนเหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จจะทำให้สามารถชาร์จได้เพียง 300 – 600 รอบเท่านั้น ความจุของแบตเตอรี่ก็ลดลงเหลือ 70% เสียแล้ว แต่ถ้าหากเราชาร์จในขณะที่ยังเหลือแบตเตอรี่เอาไว้จำนวนชาร์จที่จะสามารถทำได้ก็จะพึ่งขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว
ความร้อน ชาร์จไว้ที่ 40% ชาร์จไว้ที่ 100% 0°C 98% 94% 25°C 96% 80% 40°C 85% 65% 60°C 75% 60% (แค่ 3 เดือน)
ต่อมาในตารางที่สองนี้เป็นการทดลองว่า “ความร้อน” และ “ประจุคงเหลือ” จะมีผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ไหม โดยแบตเตอรี่เหล่านี้จะถูกวางทิ้งเอาไว้เฉย ๆ เป็นเวลา 1 ปี โดยแบตเตอรี่หนึ่งก่อนจะชาร์จไฟทิ้งเอาไว้ 40% ส่วนอีกก้อนจะชาร์จไฟทิ้งเอาไว้ 100% โดยผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่ายิ่งความร้อยสูงขึ้น แบตเตอรี่ก็จะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟเต็มที่เอาไว้แล้วมีอุณหภูมิสูงถึง 60°C ภายในระยะเวลาแค่ 3 เดือนเท่านั้นความจุก็ลดลงไปเหลือ 60% แล้ว (นอกนั้นทิ้งไว้ 1 ปี)
ดังนั้นสรุปได้สั้น ๆ เลยว่าการใช้แบตเตอรี่จนเกลี้ยงและความร้อนนั้นมีผลกับการเสื่อมของแบตเตอรี่อย่างมากเลย ซึ่งการจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลงนั้นก็สามารถทำตามนี้ได้เลย
5 วิธีชาร์จมือถือที่ถูกต้อง
1. อย่าใช้แบตหมดจนเครื่องดับ
ถึงแม้ทุกวันนี้มือถือจะมีระบบที่จะปิดตัวเองก่อนที่แบตเตอรี่จะหมดจริง ๆ แต่การชาร์จไฟเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นได้เช่นกัน (ง่าย ๆ คือยิ่งชาร์จตอนเหลือน้อยเท่าไร อายุแบตเตอรี่ก็จะยิ่งสั้นเท่านั้น) โดยสิ่งที่ควรทำจริง ๆ คืออย่างมากควรจะชาร์จแบตเตอรี่ตอนเหลือน้อยที่สุด 40% – 50% หรือให้ดี ชาร์จมันบ่อย ๆ เลยก็ได้ จะช่วยลดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมไปได้ในระดับหนึ่ง
2. อย่าปล่อยให้เครื่องร้อน อยู่ในที่เย็นยิ่งดี
การใช้งานมือถือจนร้อนไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามรวมถึงการทำให้แบตเตอรี่โดนความร้อนหรือทิ้งมือถือเอาไว้กลางแดดนั้นจะไม่ส่งผลดีต่อตัวมือถือและแบตเตอรี่เลยสักนิด เพราะจากข้อมูลในตารางด้านบน การที่แบตเตอรี่เจอความร้อนมาก ๆ จะทำให้ความจุแบตเตอรี่ลดลงเร็วขึ้นด้วย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากใช้งานหรือกระทำการใด ๆ จนเครื่องร้อนนั้น ควรปล่อยให้เครื่องเย็นลงก่อนถึงค่อยเอาไปชาร์จนะครับ
3. เลี่ยงการใช้งานระหว่างชาร์จ
ในการใช้งานมือถือไป ชาร์จไฟไปนั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง หากเป็นไปได้ควรวางเอาไว้เฉย ๆ หรือทางที่ดี ปิดเครื่องไปเลยก็ได้ครับ เพราะเวลาชาร์จไฟขณะเล่นไปด้วยนั้นจะทำให้มีการอัดไฟเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดความร้อนอย่างมาก ซึ่งทั้งกระแสไฟปริมาณมากและความร้อนที่เกิดขึ้นคือสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว และหากเลวร้ายอาจถึงขั้นระเบิดใส่เลยก็ได้ ดังนั้นหากเราไม่ใช้งานมือถือหรือปิดเครื่องไปเลย กระแสไฟที่วิ่งเข้าไปในเครื่องก็จะไม่สูงเกินไป ทำให้เกิดความร้อนน้อยมาก ๆ ช่วยให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย
4. สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไปเรื่อย ๆ ได้แม้ไฟเต็ม
ในปัจจุบันนี้ทั้งมือถือและที่ชาร์จจะมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็มอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปกลัวว่าถ้าเสียบชาร์จทิ้งไว้นาน ๆ แล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมเลย เว้นเสียแต่ว่าแบตเตอรี่หรือที่ชาร์จนั้นไม่ใช่ของแท้หรือไม่ได้มาตราฐาน ก็อาจจะมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากของไม่แท้หรือไม่ได้มาตราฐานอาจจะไม่มีระบบตัดไฟติดมาด้วย หากไปคาดหวังให้ชิ้นส่วนอื่น ๆ ช่วยตัดไปแทนแล้วเกิดระบบส่วนอื่น ๆ ไม่ทำการตัดไฟ เราก็จะเจอเหตุการณ์มือถือระเบิดใส่ระหว่างชาร์จ ดังที่เราเห็นในข่าวนั่นเอง
5. อย่าอัดประจุเพิ่มด้วยที่ชาร์จไฟแรง ๆ
ในการชาร์จไฟเราต้องเคยเอามาลองทำกันแน่นอนอยู่แล้วกับการเอาที่ชาร์จไฟกำลังสูงมาชาร์จมือถือ ซึ่งมันก็ช่วยให้การชาร์จเร็วขึ้น แถมบางครั้งก็ยังใช้ได้นานกว่าปกติอีกด้วย แต่นั่นก็เพราะว่าไฟที่เข้าไปในแบตเตอรี่นั้นมันเกิน 100% ของที่แบตเตอรี่เก็บได้นั่นเอง อย่างเช่นเวลาเราไปช๊อปปิ้งแล้วพยายามยัดของลงถุงพลาสติดที่เตรียมมาไม่พอใช้ให้สามารถใส่ของลงไปได้หมด แรก ๆ อาจจะยังพอยัดได้ แต่พอนาน ๆ เข้าตัวถุงก็จะเกิดการฉีดขาดหรืออาจจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร ทางที่ดีก็ควรเลือกใช้ที่ชาร์จที่มากับเครื่องจะดีที่สุด หรืออย่างน้อยก็ควรใช้ที่ชาร์จที่ปล่อยไฟได้เท่ากับที่ชาร์จของตัวเครื่องนั่นเอง
ทั้ง 5 ข้อนี้คือสิ่งที่จะช่วยให้แบตเตอรี่มือถือเราอยู่กับเราได้นานมากขึ้น และทั้ง 5 ข้อนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเตรียมการอะไรเลย โดยหลักแล้วก็คือ ” อย่าปล่อยให้แบตหมด อย่าให้ร้อน ใช้ที่ชาร์จของมันเอง ” แค่ 3 ประโยคสั้น ๆ จำง่าย ๆ นี้ก็ช่วยให้แบตเตอรี่เสื่อมยากขึ้นมากแล้วครับ