ในการเปิดตัวสินค้าของ Apple ครั้งล่าสุดนี้ จัดว่าเป็นครั้งที่ 5 ของ Apple ในปี 2555 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดปีหนึ่งของ Apple ทั้งจากการที่ไม่มี Steve Jobs เป็นหัวเรือหลักอีกต่อไป รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ไลน์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาในปีนี้อย่างเช่น MacBook Pro with Retina Display หรือจะเป็น iPad mini ที่เพิ่งมีการเปิดตัวไปเมื่อสองวันก่อน ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างจาก Apple เลยทีเดียว โดยส่วนตัวผมขอแยกออกมาเป็นประเด็นๆ ดังนี้
ผลิตภัณฑ์และช่วงราคา
ตัวของผลิตภัณฑ์ที่ Apple เปิดตัวออกมาในปีนี้ ถ้าให้มองดูแล้วต้องนับว่า Apple มีความพยายามที่จะอุดช่องว่างทั้งตัวผลิตภัณฑ์และราคาให้ได้ครบถ้วนกว่าที่เคย อย่างเช่นตัวของ MacBook นั้น ก็มีการส่ง MacBook Pro with Retina Display จอ 13 นิ้วออกมาอยู่ในช่วงราคาระหว่าง MacBook Pro ปกติกับ MacBook Pro Retina จอ 15 นิ้ว ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น เช่นบางคนอาจจะงบไม่ถึงรุ่นจอ 15 นิ้วจริงๆ แต่ก็อยากได้เครื่องบางเบา ก็ยังพอมี 13 นิ้วให้เลือกซื้อ แม้สเปกจะด้อยกว่ากันก็ตาม
หรือจะเป็นตัวของ iPad mini ที่ลงมาปิดในตลาดแท็บเล็ตขนาดเล็ก ซึ่งเป็นจุดที่ Apple ไม่เคยทำมาก่อน แม้ว่าราคาจะค่อนข้างสูงกว่าแท็บเล็ตขนาดเล็กของคู่แข่งอยู่พอสมควรก็ตาม แต่จากเหตุผลของ Phil Schiller ที่ว่าตัวของ iPad mini มีความครบเครื่องกว่าคู่แข่ง ซื้อมาแล้วสามารถใช้งานได้เหมือนเป็น iPad ปกติได้ทันที เนื่องจากฮาร์ดแวร์และความสามารถของตัวเครื่องนั้นเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับ iPad รุ่นใหญ่อยู่แล้ว ประกอบกับ Apple ต้องการที่จะสร้าง iPad mini ให้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ iPad ย่อส่วน หรือ iPod Touch ขยายขนาด จึงทำให้ Apple กล้าที่จะส่ง iPad mini เข้ามาทำตลาดที่มีคู่แข่งรออยู่ก่อนแล้ว ในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งซะด้วยซ้ำ
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือส่วนของ iPod Touch Gen 5 ที่ราคาขายในไทยนั้น รุ่น 32 GB ตัวเริ่มต้นอยู่ที่ 9,900 บาท ($299) ซึ่งต่างจาก iPad mini ที่ตั้งราคาตัวล่างสุดไว้ที่ $329 เท่านั้น ซึ่งราคาขายในไทยก็คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 10,000 บาทนิดๆ เชื่อแน่ว่าผู้ซื้อน่าจะเกิดอาการลังเลว่าจะซื้อตัวไหนดี เพราะบวกเงินอีกนิดหน่อยก็จะได้ iPad mini แล้ว จอใหญ่กว่า การใช้งานก็แทบไม่ต่างกัน เว้นก็แต่ iPad mini ไม่สามารถใส่กระเป๋ากางเกงได้เท่านั้นเอง ซึ่งสถานการณ์ก้ำกึ่งด้านราคานี้ยังพบกับในไลน์ของ MacBook Pro with Retina Display อีก เพราะราคาในไทยนั้นรุ่นจอ 13″ ต่างจากจอ 15″ ไม่เท่าไร
การเก็บความลับของ Apple
ถ้าท่านใดที่ติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยเฉพาะบรรดาข่าวลือ ภาพหลุดว่าที่ผลิตภัณฑ์ จะพบว่าในช่วงหลังมานี้บรรดาภาพต่างๆ ได้กลายมาเป็นหน้าตา สเปก และข้อมูลจริงของผลิตภัณฑ์ใหม่กันแทบทั้งสิ้น ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือกรณีของ iPhone 5 และ iPad mini ที่มีกระแสข่าวก่อนเปิดตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภาพหลุด ที่เรียกได้ว่าหลุดกันจนสร้างเป็นเครื่อง mock-up ได้เลยทีเดียว ทำให้เมื่อถึงเวลางานเปิดตัวจริงๆ ประเด็นที่คนตื่นเต้นกันไม่ใช่เรื่องความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ แต่เป็นความตื่นเต้นว่าสุดท้ายมันจะออกมามีหน้าตาเหมือนที่ลือจริงๆ หรือเปล่า (ซึ่งก็จริงทั้งสองตัว) และสุดท้ายก็กลายเป็นกระแสของความผิดหวัง เพราะนึกว่า Apple จะมีเซอร์ไพรส์ในงานอย่างที่เราเคยเห็นๆ มาอย่างในงานเปิดตัว iPhone รุ่นแรกๆ เรื่อยมาจนถึง iPhone 4S ที่ยังถือว่าพอเซอร์ไพรส์ได้อยู่ (ด้วยหน้าตาที่เหมือนเดิมเกือบจะ 100% แต่ยอดขายก็ยังดีเป็นเท่น้ำเทท่า)
ผิดกับตัวของ iMac ที่ร่ำลือกันมานานว่า Apple จะส่งรุ่นใหม่ออกมาก็จริง แต่ภาพหลุดกลับมีออกมาน้อยมาก แถมที่มีก็เป็นเพียงภาพชิ้นส่วนภายในแค่บางส่วนเท่านั้น ทำให้เวลาเปิดตัวจริงๆ หลายคนถึงกับออกอาการตื่นเต้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นความบางของขอบจอที่บางลงไปมากๆ และเกิดเป็นกระแสความอยากได้ อยากลอง อยากเห็นขึ้นมา จึงทำให้พอมองได้ว่าน่าจะเนื่องมาจากการที่แทบจะไม่มีข่าวหลุดออกมาเลย ไม่เหมือนกับ iPhone 5 หรือ iPad mini ที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้เกิดเป็นกระแสความสนใจได้มากขนาดนี้
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าช่วงที่ผ่านมาเป็นความตั้งใจทดลองของ Apple หรือเปล่า ที่จะลองเปรียบเทียบกระแสความตื่นเต้นของคนต่อการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ว่าระหว่างการมีข่าว/ภาพหลุดออกมา กับการเก็บไว้เงียบๆ แต่ละแบบจะให้ผลเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้ก็คาดว่า Apple น่าจะรู้ผลกันไปแล้ว
iPad mini
ขอพูดถึงเฉพาะ iPad mini ด้วยเลยแล้วกันครับ เนื่องด้วยเป็นผลิตภัณฑ์ที่จัดว่าเป็นไลน์ใหม่ของ Apple ดังที่กล่าวไปแล้วว่า Apple จัดมาให้มันเป็นแท็บเล็ตจอ 7.9 นิ้วเครื่องหนึ่ง ไม่ได้เป็นแค่ iPad ย่อส่วน ทำให้ทิศทางการทำตลาดแท็บเล็ตของ Apple กว้างขึ้น เนื่องด้วยคุณสมบัติภายในตัวอย่างเช่นสเปกที่ค่อนข้างจะพอดิบพอดีกับการใช้งานทั่วไป น้ำหนักที่เบากว่า iPad ปกติครึ่งต่อครึ่ง หน้าจอที่ใหญ่กว่าแท็บเล็ต 7 นิ้วในท้องตลาดแม้จะมีความละเอียดหน้าจอที่น้อยกว่าก็ตาม ทำให้ iPad mini มีความเหมาะสมกับผู้ใช้ได้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อการศึกษาที่ในปัจจุบันหลายๆ ประเทศเลือกให้ iPad เป็นหนึ่งในสื่อการเรียนการสอนไปแล้ว แต่ก็ด้วยขนาดที่อาจจะใหญ่ไปเล็กน้อย พอมาเป็น iPad mini ?ด้วยขนาดที่เล็กกว่า เหมาะมือกว่า จึงน่าจะช่วยให้ Apple สามารถขยายตลาดนี้ได้เร็วขึ้น ประกอบกับซอฟต์แวร์ที่ตามกันมาเช่น iBooks Author เวอร์ชันใหม่ที่ช่วยให้สามารถสร้าง ebook ได้ง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มความสามารถของสื่อที่ใช้ในการเรียนรู้ได้ดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ส่วนตัวผมเชื่อด้วยว่า iPad mini อาจจะมาสร้างกลุ่มตลาดใหม่คือกลุ่มที่ไม่อยากได้สมาร์ทโฟนเนื่องจากจอเล็กเกินไปที่จะเล่น social network ?เราจึงอาจจะได้เห็นคนพก iPad mini คู่กับฟีเจอร์โฟนธรรมดาๆ ก็เป็นได้ เพราะ iPad mini สามารถตอบสนองด้านแอพได้อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สมาร์ทโฟนอีกต่อไป ราคารวมกันก็จัดได้ว่าไม่สูงมาก ไม่ถึงกับสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปหลายๆ ตัวในตลาด หรืออาจจะไปเพิ่มตลาดในกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟน Android อยู่แล้ว แต่อยากได้ iOS มาเล่น ก็สามารถซื้อหา iPad mini มาเล่นได้แบบสบายๆ ตา
iPad 4th Generation
แต่สิ่งที่ทำผู้คนช็อกที่สุดในการเปิดตัวครั้งนี้ก็คือการที่ Apple เปิดตัว iPad รุ่นใหม่มาแทน The new iPad โดยใช้ชื่อเรียกว่า iPad 4th Generation หรือที่ในเว็บไซต์ Apple ให้ชื่อว่า iPad with Retina Display และทำให้ผู้ถือ The new iPad (iPad 3) กลายเป็นถือของตกรุ่นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่มีอายุหลังเปิดตัวแค่ 7 เดือนเท่านั้น ซึ่งถ้าให้ประเมินถึงสาเหตุที่ Apple เลือกเปิดตัว iPad รุ่นใหม่เร็วขนาดนี้ก็น่าจะเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้
Apple ต้องการปรับสเปก iPad
เนื่องด้วยการเปิดตัวพอร์ต Lightning ไปใน iPhone 5 ทำให้ Apple จำต้องส่งอุปกรณ์ที่ออกมาส่งเสริม Lightning ของตน ประกอบกับที่ iPad ถือครองตลาดส่วนใหญ่ของแท็บเล็ตอยู่ ทำให้ Apple ต้องส่ง iPad ที่ปรับไปใช้ Lightning โดยเร็วเพื่อเพิ่มฐานของผู้ใช้อุปกรณ์ให้มากที่สุด เร็วที่สุด รวมไปถึงน่าจะมีความต้องการเปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานบนจอ Retina Display ที่มีความละเอียดสูงให้ได้ดีกว่าเดิมด้วย ส่วนเรื่องการเปลี่ยนชิปให้รองรับเครือข่าย 4G ให้หลากหลายขึ้นนั้น สำหรับในไทยคงยังไม่จำเป็นต้องนับรวมในขณะนี้
Apple ต้องการปรับช่วงเวลาการเปิดตัว iPad
แต่เดิม Apple เลือกที่จะเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ในช่วงไตรมาสแรกของปีมาโดยตลอด ทำให้ Apple จำเป็นจะต้องจัด event พิเศษเฉพาะของ iPad อย่างเดียว ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง จึงเป็นไปได้ว่า Apple อาจจะต้องการลดจำนวนงานเปิดตัวลงมา ดังนั้นเลยจำเป็นต้องนำ iPad มาเปิดตัวช่วงปลายปีอย่างที่เราได้ชมกันไปแล้ว และคาดว่าต่อๆ ไป Apple ก็น่าจะเลือกมาเปิดตัว iPad พร้อมกับ iPad mini รุ่นใหม่ๆ ในช่วงปลายปีเช่นเดียวกัน เพื่อให้งานไม่ซ้ำซ้อน โดยต่อไปคาดว่า Apple น่าจะเลือกจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์เป็นช่วงเวลาดังต่อไปนี้
- กลางปีเปิดตัวกลุ่ม MacBook
- เดือนกันยายนเปิดตัว iPhone และ iPod
- เดือนตุลาคมเปิดตัว iPad, iPad mini, iMac และ Mac mini
ทำให้ที่ผ่านมา Apple คงต้องทำใจมาระดับหนึ่งแล้วว่าต้องโดนตำหนิแน่นอนที่อยู่ดีๆ ก็เปิดตัว iPad รุ่นใหม่เร็วเกินไป ดันให้ iPad 3 เป็นสินค้าตกรุ่นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไม่ได้ประกาศมาตรการมารองรับสำหรับผู้ที่ซื้อ iPad 3 ไปไม่กี่วันก่อนงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ iPad 3 ก็คงได้รับผลกระทบไม่มากนัก (แต่เกิดผลกระทบทางจิตใจมากกว่า) เพราะอย่างน้อยมันก็ยังสามารถใช้งานแอพในปัจจุบันได้สบายๆ อยู่แล้ว รวมไปถึงยังรองรับการอัพเดตได้สบายๆ อีกอย่างต่ำ 2 ปีเป็นอย่างน้อย (ถ้าตัว iOS ไม่เกิดการกินทรัพยากรแบบก้าวกระโดดจนเกินไป)
สุดท้ายแล้วก็ต้องรอดูกันครับว่า Apple จะได้รับผลกระทบจากการทดลองในหลายๆ อย่างเช่นใดบ้าง โดยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเสียฐานลูกค้าเดิมไป เพราะความเชื่อมั่นต่ออายุของผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง แต่ Apple น่าจะพิจารณามาระดับหนึ่งแล้วว่าน่าจะคุ้มกว่าเมื่อมาเปิดตลาดใหม่ใน iPad mini ครั้งนี้ ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันต่อไปครับว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร