ก่อนหน้านี้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมาว่า Motorola จะผลิตมือถือที่จะมาแทน Motorola Atrix 4G ให้กับ AT&T ในที่สุดมันก็ออกมาเป็น Motorola Edison หรือที่จะเรียกว่ามันเป็น Atrix 2 ก็ว่าได้ โดยมันได้เผยโฉมออกมาในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับ Motorola Droid Bionic (ที่เปิดตัวนานแล้ว แต่พึ่งจะออกมาวางขายกันไม่นานมานี้เอง) ซึ่งเราจะมาดูกันครับว่าเจ้า Edison จะเป็นอย่างไร
ที่รูปลักษณ์ภายนอก ตัวเครื่องนั้นมีรูปร่างที่ใหญ่กว่า Atrix เล็กน้อย ฝาหลังที่เป็นพลาสติกนั้นก็มาในสไตล์ของ Motorola กันเลยทีเดียว นั่นคือดูถึก บึกบึน และยังมีลายเป็นร่องลงไปทั้งฝาช่วยทำให้จับเครื่องได้ดี ไม่ลื่นหลุดมือง่ายๆ ต่างจาก Atrix ที่ดูบอบบางกว่านิดหน่อย ส่วน layout ด้านหน้านั้นก็ยังคงคล้ายกับ Atrix อยู่ โดยปุ่มแบบสัมผัสทั้ง 4 ปุ่มก็ยังคงเดิม แต่มีการเพิ่มโลโก้ของ AT&T เข้ามานิดนึง (ดูแล้วสง่าราศีลดลงไปเลยแฮะ) กล้องหน้าก็ขยับเข้ามาชิดกับลำโพงมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนความบางนั้นก็อยู่ในช่วง 9.5 ถึง 10.5 mm เท่านั้น นับว่าบางใช้ได้เลยทีเดียวนะ
ส่วนในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อ ที่แน่นอนก็คือต้องมีพอร์ตสำหรับเสียบหูฟังขนาด 3.5 นิ้ว โดยติดตั้งอยู่ตรงกลางของด้านบนของเครื่อง ใกล้ๆกับไมค์ตัวที่สอง (ใช้รับเสียงภายนอกเพื่อตัดเสียงรบกวนจากภายนอกออก) ถัดมานิดนึงก็เป็นปุ่มเปิด/ปิด และล็อกเครื่องเหมือน Smartphone ทั่วไป
ทางฝั่งขวาก็มีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง ถัดลงมาก็เป็นปุ่มสำหรับใช้งานกล้องที่ค่อนข้างหาได้ยากแล้วสำหรับมือถือสมัยนี้ (ก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่ค่อยทำกันแล้วนะครับ ออกจะมีประโยชน์) แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าเจ้าปุ่มกล้องใน Edison นี้ ไม่สามารถกดครึ่งหนึ่งเพื่อให้กล้องทำการโฟกัสได้นะครับ นับว่าน่าผิดหวังทีเดียว ไหนๆจะมีก็น่าจะทำให้สุดไปเลย
ส่วนฝั่งซ้ายก็มีพอร์ตการเชื่อมต่ออย่าง Micro-USB และ HDMI มาให้
สิ่งที่ด้อยกว่า Atrix เรื่องหนึ่งเลยก็คือความจุของแบตเตอรี่ที่เคยเป็นจุดเด่นนั้น ใน Edison กลับลงมาเหลือแค่ 1735 mAh เท่านั้น ลดลงจากใน Atrix ที่ให้มาถึง 1930 mAh แต่ก็ต้องคอยดูว่าจะมีออพชั่นให้เลือกว่าจะซื้อแบตเสริมแบบ Droid Bionic หรือไม่ ที่สามารถเพิ่มให้กลายเป็น 2760 mAh ได้
ส่วนกล้องก็ให้มาเต็มพิกัด (ทางตัวเลขในสเปก) นั่นคือความละเอียด 8 MP สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดระดับ 1080p กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี Flash LED มาให้อีก 1 ตัวด้วยกัน
จอที่มากับ Edison นั้นเป็นจอ LCD ขนาด 4.3 นิ้ว ความละเอียดระดับ qHD (960 x 540) เท่ากับ Droid Bionic แต่ใหญ่กว่า Atrix ที่มาเพียงแค่ 4 นิ้วเท่านั้น ทั้งนี้ใช่ว่าจอเท่ากันแล้วจะคมชัดเท่ากันนะครับ เพราะถ้าเราซูมกันมาดูชัดๆ จะเห็นว่าจอของ Edison มีการเกลี่ยสีที่ดีกว่า ทำให้เรามองตัวอักษรได้ดูมีส่วนโค้งส่วนเว้ามากขึ้น ไม่ใช่เป็นเม็ดพิกเซลเหลี่ยมๆดื้อๆเหมือนใน Droid Bionic? แต่ในเรื่องของสีนั้น ดูเหมือนของ Edison จะมีอุณหภูมิของสีที่ต่ำกว่า ยังไงๆก็รอจนกว่าเครื่องจะพร้อมขายดีกว่าครับ เพราะดูเหมือนตอนนี้ตัว software ทั้งหลายจะยังไม่สมบูรณ์ดีนัก
OS ของระบบแน่นอนว่าต้องเป็น Android โดยจะมาในเวอร์ชั่น 2.3.5 ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นักในขณะนี้ และที่แน่นอนที่สุดก็คือมันต้องมาพร้อม MotoBlur อย่างไม่ต้องสงสัยเลย ทั้งนี้ยังมีแอพเพิ่มเติมอย่าง AT&T Music Store ติดตั้งมาให้ด้วย แต่ถ้าใครไม่ชอบเหล่าแอพเสริมที่ติดตั้งมาให้ ก็สามารถจัดการลบแอพออกไปได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้อง root (ว้าว !!)
ในเรื่องของประสิทธิภาพ ในการทดสอบด้วย Quadrant ก็สามารถทำคะแนนได้ในช่วง 2,100 ? 2,400 คะแนน นับว่าน่าผิดหวังเล็กน้อยสำหรับเครื่องที่ใช้หน่วยประมวลผลเป็น TI-OMAP 4 ความเร็ว 1 GHz พ่วงมาด้วยกราฟิกชิปอย่าง PowerVR SGX 540 และแรม 1 GB แต่ทั้งนี้ ก็คงต้องรอการปรับแต่งระบบให้สมบูรณ์ก่อน ถึงจะรู่ว่ามันแรงขนาดไหนกันแน่ ส่วนจุดเด่นของเครื่อง Motorola ในไลน์นี้ก็คือความสามารถในการเชื่อมต่อกับ dock ก็ยังคงติดมาด้วยเช่นเดิม โดยต้องทำการเสียบเข้ากับพอร์ต Micro-USB และ HDMI ด้านข้างของเครื่อง ซึ่งจำนวนแรมถึง 1 GB คงมากพอกับการใช้งานบนจอใหญ่แน่นอน
หน่วยความจำภายในก็ให้มาทั้งหมดทั้งสิ้น 8 GB และยังรองรับการเพิ่มความจุด้วย MicroSD อีกเหมือนกับ Smartphone ส่วนใหญ่ในท้องตลาด แต่ยังไม่ได้ระบุมาว่ายังคงรองรับได้สูงสุดที่ 32 GB เหมือนปกติหรือขยายขนาดขึ้นไปหรือยัง
แต่ทั้งนี้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงคราวเปิดตัวของ Android 4.0 (Ice Cream Sandwich) แล้ว (เดือนหน้ามันหยดติ๋งแน่ iOS 5, Android 4.0 และ WP 7.5 จะเปิดตัวไล่ๆกัน) ก็ต้องรอดูว่า Motorola จะจับ Android 4.0 ใส่มาให้เลยหรือไม่ หรือว่าจะเป็นการรองรับการอัพเดตในอนาคตอย่างที่หลายๆรุ่นเริ่มประกาศออกมาแล้ว ก็คงต้องรอดูต่อไปครับ ว่าอนาคตของเจ้า Motorola Edison หรือจะเรียกว่า Motorola Atrix 2 นั้นจะเป็นอย่างไร และจะเข้ามาขายในไทยหรือไม่ (ดูท่าแล้วคงยากอะนะ)
ปิดท้ายด้วยรูปเพิ่มเติมแล้วกัน
ที่มา : This is my next, The Verge