Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»Editorial»SE 3 | 12 mini | 13 mini ซื้อ iPhone รุ่นไหนดีในปี 2022
    Editorial

    SE 3 | 12 mini | 13 mini ซื้อ iPhone รุ่นไหนดีในปี 2022

    ZeroSystemBy ZeroSystem20 เมษายน 2022
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    สำหรับผู้ที่กำลังเล็งว่าจะซื้อ iPhone ซักเครื่องในปี 2022 ก็ต้องบอกว่าตัวเลือกนั้นมีค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องขนาดเล็ก ที่มีให้เลือกทั้ง iPhone รุ่น mini ในซีรีส์ 12 และ 13 รวมถึง iPhone SE 3 รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย ซึ่งแต่ละรุ่นก็ล้วนมีจุดเด่นคือเครื่องที่มีความกะทัดรัดสูง ในขณะเดียวกันก็ได้สเปคที่แรง และราคาที่ย่อมเยากว่ารุ่นหลักในหน้าจอขนาด 6.1″

    ซื้อ iPhone รุ่นไหนดี เทียบ iPhone SE 3, iPhone 12 mini, iPhone 13 mini

    ดังนั้นจึงไม่แปลกใจ ที่ iPhone 12 mini, iPhone 13 mini และ iPhone SE 3 จะเป็นสามรุ่นที่หลายท่านอาจจะเก็บมาคิดอยู่ว่าจะเลือกรุ่นไหนดี หากต้องการซื้อ iPhone เครื่องเล็กมาใช้งาน ในบทความนี้เราจะมาเปรียบเทียบ iPhone ทั้ง 3 รุ่นกันในแต่ละด้านครับ เพื่อเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจ สำหรับการเลือกซื้อ iPhone จอเล็กในยุค 2022 โดยอิงจากพื้นฐานความต้องการซื้อ iPhone เครื่องเล็กนะครับ


    เทียบสเปคก่อนซื้อ iPhone ทั้ง 3 รุ่น

    สิ่งแรกที่จะถูกนำมาเทียบ คงหนีไม่พ้นเรื่องของสเปค ความแรง ประสิทธิภาพของแต่ละรุ่น เพราะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะช่วยบ่งบอกว่าเราจะสามารถนำเครื่องมาใช้งานในรูปแบบที่ต้องการได้อย่างลงตัวหรือไม่ ขนาดไหน รวมถึงจะทำให้ทราบข้อจำกัดของแต่ละรุ่นด้วยเช่นกัน

    เริ่มต้นด้วยเฉดสีของตัวเครื่องก่อนครับ ทั้งสามรุ่นล้วนมีสีพื้นฐานอย่างสีโทนดำ ขาวและแดง ส่วนสีอื่นที่จัดว่าเป็นสีพิเศษประจำรุ่นก็เช่น สีเขียวและสีม่วงอ่อนของ iPhone 12 mini และก็สีเขียวกับน้ำเงินเข้มของ iPhone 13 mini ส่วน iPhone SE 3 นั้นจัดว่าไม่ได้มีสีพิเศษอะไร ส่วนขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง ต้องบอกว่า 12 และ 13 mini นั้นแทบจะเท่ากันเลย แต่ 13 mini จะหนาและหนักกว่ากันเล็กน้อย ในขณะที่ iPhone SE 3 นั้นตัวเครื่องมีขนาดใหญ่สุดเลย ทั้งความสูงและความกว้าง

    ทีนี้ถ้าจับสเปคหลัก ๆ ของทั้งสามเครื่องมาเทียบกัน ก็แน่นอนว่าโดยรวมแล้ว iPhone 13 mini จะดูดีที่สุด เนื่องจากเป็นรุ่นใหม่สุด ในขณะที่ iPhone SE 3 นั้นก็มาพร้อมกับชิป A15 Bionic เช่นกัน จึงแทบไม่ต้องห่วงเรื่องประสิทธิภาพเลย แต่ก็จะมีจุดที่ด้อยกว่าคือหน้าจอที่ยังเป็นแบบ IPS ขนาดเพียง 4.7″ เท่านั้น

    ส่วนเรื่องกล้องก็ตามคาด ตามราคาครับ รุ่นหลักอย่าง 12 และ 13 mini นั้นจะให้มาทั้งเลนส์ไวด์และอัลตร้าไวด์ พวกสเปคและฟีเจอร์ยิบย่อยก็เกือบจะเท่ากัน จุดที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดก็เช่นเฟรมเรตที่ได้ของการถ่ายวิดีโอ HDR Dolby Vision ระดับ 4K ส่วนฝั่งของ iPhone SE 3 นั้นมีเพียงกล้องเดียว ดังนั้นความหลากหลายของการถ่ายภาพก็จะน้อยกว่า รวมถึงยังขาดโหมดการถ่ายกลางคืนด้วย จึงอาจจะทำให้การถ่ายภาพในที่มีแสงน้อยเป็นไปได้ยากกว่าอยู่พอสมควร แต่ยังดีที่รอบนี้รองรับ Deep Fusion ที่ช่วยทำให้การเก็บรายละเอียดยิบย่อยในภาพนั้นทำได้ดีเทียบเท่ากับรุ่นหลักเลย ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปพูดถึงอีกทีในส่วนของการเทียบกล้องครับ

    และอีกจุดที่ไม่เทียบก็ไม่ได้คือราคาเริ่มต้น เพราะรุ่นที่เปิดมาเบาสุดเลยคือ iPhone SE 3 ที่เริ่มต้นเพียง 15,900 บาทในความจุ 64 GB ซึ่งสำหรับการใช้งานในยุคนี้ ส่วนตัวผมมองว่าควรจะเลือกซื้อ iPhone ที่มีความจุ 128 GB ขึ้นไปจะเซฟที่สุด ดังนั้นถ้าจับความจุที่เท่ากันมาเทียบกัน ตัวของ SE 3 ก็จะไปเริ่มที่ 17,900 บาท ส่วน 12 mini จะไปเริ่มที่ 23,900 บาท ในขณะที่ 13 mini จะอยู่ที่ 25,900 บาท

    ซึ่งถ้าพิจารณาจากความจุ 128 GB นี้ กลายเป็นว่า สองรุ่นที่น่าสนใจจะตกอยู่ที่ iPhone SE 3 กับ iPhone 13 mini ไปเลย เพราะตัวของ 12 mini 128 GB นั้นมีราคาต่างจาก 13 mini เพียง 2,000 บาทเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมา ผมมองว่าค่อนข้างคุ้มค่า ทั้งกล้องที่ดีขึ้น แบตความจุสูงขึ้น ติ่งหน้าจอเล็กลง รวมถึงชิปที่แน่นอนว่าต้องรองรับการอัพเดต iOS ได้นานกว่าด้วย ถ้าคุณวางแผนว่าจะซื้อ iPhone เครื่องนี้แล้วใช้งานเป็นระยะเวลายาว ๆ

    ส่วนถ้ามีเรื่องงบเป็นข้อจำกัด iPhone SE 3 ดูจะค่อนข้างน่าสนใจ เพราะราคารุ่น 128 GB ที่ย่อมเยาสุด ความแรงก็ทะลุหลอดพอกัน จะติดก็ตรงหน้าจอที่อาจเล็กไปซักนิดนึงแล้วสำหรับปี 2022 และความจุแบตที่เป็นผลพ่วงมาจากข้อจำกัดด้านขนาดตัวเครื่องนั่นเอง

    เทียบสเปค iPhone ทั้งสามรุ่นบนหน้าเว็บ Apple


    หน้าจอ

    ในบทความนี้ เนื่องจากทางเราไม่มีเครื่อง iPhone 13 mini อยู่ในมือ ดังนั้น แต่ด้วยการที่มิติตัวเครื่องแทบจะ 95% นั้นเท่ากับ 12 mini เลย ดังนั้นภาพประกอบจึงอาจจะเป็นการจับ iPhone SE 3 มาเทียบกับ iPhone 12 mini นะครับ (ส่วนภาพที่มีวางพร้อมกัน 3 เครื่อง คือเป็นการตัดต่อภาพเรนเดอร์มาวางนะ)

    ด้านของหน้าจอ แน่นอนว่าความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือการออกแบบหน้าจอในกลุ่มของ 12 และ 13 mini ที่เป็นแบบเกือบเต็มเครื่อง แต่มีแถบ notch สีดำด้านบนสุด ซึ่งใน 13 mini ก็จะมีขนาดที่เล็กกว่าใน 12 mini ด้วย ส่วนของฝั่ง SE 3 ก็จะเป็นแบบจอสี่เหลี่ยมไม่เต็มเครื่อง ตามแบบฉบับของ iPhone ในสมัยก่อน ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ความถนัดครับ เพราะจะมีส่วนของวิธีที่ใช้ในการควบคุม สั่งงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ที่เห็นได้ชัดสุดเลยคือการกลับมาหน้าโฮม ที่จอทั้งสองแบบจะใช้วิธีแตกต่างกัน

    ส่วนเรื่องของสีสัน ความสว่าง อันนี้บอกได้เลยว่าพาเนล OLED ใน 12 และ 13 mini กินขาด IPS ใน SE 3 แบบที่เห็นได้ชัดจริง ๆ ซึ่งนอกจากการใช้ OLED จะมีส่วนต่อการแสดงผลแล้ว ยังมีส่วนกับการกินไฟของเครื่องด้วย ซึ่งด้วยหลักการแล้ว จอ OLED จะกินไฟน้อยกว่าจอ IPS ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน

    ทีนี้ส่วนของพื้นที่ในการแสดงผล เมื่อเทียบด้วยการเปิดหน้าเว็บเดียวกันตามภาพด้านบน พบว่าจอของ iPhone 12 mini (รวมถึง 13 mini) จะสามารถแสดงเนื้อหาในแนวตั้งได้มากกว่ากันอยู่พอสมควร ด้วยการที่ใช้ดีไซน์แบบหน้าจอยาวเต็มเครื่องนั่นเอง ส่วนด้านบนสุดของจอนั้น เอาจริง ๆ แล้วคือแทบจะไม่ต่างกันครับ เพราะจุดที่สามารถแสดงเนื้อหาได้จริง ๆ คือส่วนที่เป็นแถบดำ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันมาก

    อีกหนึ่งสิ่งที่แตกต่างกันคือการดูหนัง ดูเนื้อหาในแนวนอน ที่ iPhone SE 3 จะไม่สามารถแสดงผลได้เต็มเครื่อง เนื่องจากการมีขอบบนและล่างของจอที่หนา

    แต่ด้วยการที่มีขอบจอหนา ทำให้ iPhone SE 3 จึงยังมีปุ่มโฮมที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ พร้อมระบบ Touch ID ที่ช่วยทำให้การปลดล็อกหน้าจอในยุคโควิด-19 ทำได้ง่ายกว่าการสแกนใบหน้าด้วยระบบ Face ID ซึ่งก็นับว่าเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ iPhone SE 3 ได้อยู่เหมือนกัน

    ซึ่งถ้าคุณใช้เรื่องความสะดวกในการปลดล็อกหน้าจอเป็นปัจจัยหลักในการเลือก แน่นอนว่าสำหรับยุคนี้ iPhone SE 3 จะค่อนข้างได้เปรียบกว่ารุ่นอื่น แม้ว่าใน iOS รุ่นใหม่ ทาง Apple จะเพิ่มความสามารถให้สามารถสแกนหน้าด้วยระบบ Face ID แบบที่ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ได้แล้วก็ตาม ซึ่งทั้ง 12 และ 13 mini ต่างก็รองรับฟีเจอร์นี้ด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งเท่าที่ผมใช้ฟีเจอร์นี้มา ก็พบว่าสะดวกขึ้นกว่าเดิมจริง แต่ก็ยังมีบางครั้งที่สแกนไม่ผ่านอยู่บ้างเหมือนกัน


    เทียบบอดี้ iPhone ทั้ง 3 รุ่น

    อย่างที่ระบุในข้างต้นว่าบอดี้ของ 12 และ 13 mini นั้นมีขนาดและน้ำหนักแทบจะเท่ากันเลย จึงทำให้ในการเปรียบเทียบครั้งนี้ เสมือนว่าเป็นการเทียบบอดี้ของ iPhone ดีไซน์เก่าและดีไซน์ปัจจุบันก็ว่าได้ สำหรับในกลุ่มของดีไซน์ใหม่นี้ ตัวเครื่องจะกลับไปใช้การออกแบบให้มีขอบเหลี่ยมคล้ายกับในยุค iPhone 4/4s โดยมีฝาหลังเป็นกระจก ส่วนกระจกหน้าจอจะเป็น Ceramic Shield ที่มีความแข็งแรงทนทาน ในขณะที่ iPhone SE 3 จะใช้ดีไซน์แบบขอบโค้งมน เนื่องจากเป็นการนำบอดี้ของยุค iPhone 7 มาใช้งาน โดยมีฝาหลังเป็นกระจกเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ทำให้ทั้งสามรุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายด้วยกันทั้งหมด แต่จะมีเพียง 12 และ 13 mini เท่านั้น ที่สามารถใช้งานกับแท่นชาร์จ MagSafe ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด

    ส่วนด้านข้างก็อย่างที่ระบุไว้ด้านบนครับ ว่ามีการออกแบบในแนวทางที่แตกต่างกัน แต่ส่วนของปุ่มกดสั่งงานต่าง ๆ นั้นยังให้มาเท่าเดิม ความบางก็ไม่จัดว่าต่างกันมากนัก โดยถ้าเทียบตัวเลขกันแล้ว SE 3 จะเป็นรุ่นที่บางที่สุดในสามรุ่นนี้เลย แต่ก็ต่างกันแค่หลัก 0.1 มม. เท่านั้น


    กล้องถ่ายรูป

    สำหรับข้อนี้ ค่อนข้างชัดเจนเลยครับว่า 12 และ 13 mini จะได้เปรียบ SE 3 ทั้งในด้านของจำนวนเลนส์กล้องหลัง และความสามารถในการเก็บภาพ ซึ่งจุดที่แตกต่างกันก็ตามที่มีการเทียบสเปคไปด้านบน ดังนั้นถ้าต้องการซื้อ iPhone ที่ถ่ายรูปได้ดีในแทบทุกสถานการณ์ การเลือก iPhone 13 mini และ 12 mini น่าจะตรงโจทย์ที่สุด

    ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ iPhone SE 3 ได้คะแนนในด้านของกล้องน้อยกว่าอีกสองรุ่นที่เหลือก็คือ การไม่มีโหมดถ่ายกลางคืนมาให้ ซึ่งทำให้กลายเป็นข้อจำกัดที่ต้องนำมาชั่งน้ำหนักอยู่ไม่น้อยเลย ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปในที่มีแสงน้อย ถ่ายภาพในช่วงกลางคืน ข้อนี้ iPhone SE 3 อาจจะไม่ตอบโจทย์ของคุณได้เต็มที่นัก

    ส่วนการถ่ายรูปในเวลากลางวัน ในบริเวณที่มีแสงเพียงพอ บอกเลยว่า iPhone รุ่นใหม่ ๆ ในช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ ทำได้ดีแทบจะไม่ต่างกันเลยครับ อย่างในภาพด้านบน ผมใช้ iPhone 13 เป็นตัวแทนของ 13 mini เลยยังได้ เพราะสเปคกล้องนั้นเท่า ๆ กัน ซึ่งภาพที่ได้จากโหมด auto ของแต่ละรุ่นเทียบไปถึงรุ่นโปรนั้นแทบจะไม่ต่างกันเลย ในแง่ของการเก็บรายละเอียด การเก็บแสง การชดเชยความสว่างและ white balance ต่าง ๆ ซึ่งในข้อนี้ ต้องบอกว่าเกิดจากการที่ Apple จับเอา Deep Fusion มาใส่ใน SE 3 ด้วย จึงทำให้การเก็บรายละเอียดของภาพในที่แสงน้อยกว่าปกติ (แต่ไม่ถึงกับมืด) สู้รุ่นใหญ่ ๆ ได้ดีขนาดนี้

    ด้านของโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) อันนี้จะมีความแตกต่างกันแล้วครับ เพราะ iPhone SE 3 นั้นต้องมีตัวแบบที่เป็นมนุษย์ในภาพเท่านั้น จึงจะสามารถจับโฟกัสบุคคล แล้วเบลอฉากหลังให้ ในขณะที่รุ่นอื่นนั้น แม้แต่แมวและวัตถุทั่วไป ก็ยังโฟกัสและเบลอฉากหลังให้ได้เลย

    การถ่ายภาพกลางคืนก็ทำออกมาได้พอ ๆ กัน ยกเว้น SE 3 ที่ไม่มีโหมดถ่ายกลางคืน จึงทำให้ภาพที่ออกมาจะดูมืดกว่ารุ่นอื่นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำได้ไม่ครบถ้วนเท่าด้วย


    เทียบการดูหนัง เล่นเกม

    จากการออกแบบให้ iPhone 12 mini และ 13 mini มีหน้าจอแบบเต็มเครื่อง แน่นอนว่าทำให้ตัวเครื่องนั้นเหมาะกับการใช้ดูหนัง ใช้ดูคอนเทนต์ในแนวนอนมากกว่า SE 3 แต่ก็แลกมาด้วยการมีแถบ notch สีดำบังอยู่ทางขอบจอ แต่ก็ได้ระบบเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงมาชดเชยด้วย ทำให้ iPhone 13 mini และ 12 mini นั้นทำคะแนนในด้านความบันเทิงได้เหนือกว่าอยู่พอสมควร

    ส่วนการเล่นเกม ถ้าพูดถึงสเปคก็ต้องบอกว่าทั้งสามรุ่นสามารถเล่นเกมในยุคนี้ได้ลื่นไหลดีมาก โดยเฉพาะ 13 mini และ SE 3 ที่ใช้ชิปรุ่นใหม่ที่สุด ส่วน 12 mini นั้นแม้ชิปจะเก่ากว่ากันหนึ่งรุ่น แต่ความแรงนั้นก็ยังจัดว่าสูงอยู่ ดังนั้นถ้าจะซื้อ iPhone มาเพื่อใช้เล่นเกม ทั้งสามรุ่นนี้ทำได้สบายครับ ประสบการณ์การเล่น ที่ได้จากประสิทธิภาพและความแรงของเครื่องนั้นแทบไม่ต่างกัน แต่ในระยะยาว ชิป A15 Bionic น่าจะยืนระยะได้นานกว่า กับการพัฒนาของเกมที่กินสเปคมากขึ้นแทบจะทุกปี

    แต่ก็จะมีจุดที่ควรพิจารณาอยู่เหมือนกัน คือเรื่องขนาดหน้าจอของ iPhone SE 3 ที่มีขนาดเพียง 4.7″ เท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่าอาจจะเริ่มไม่ค่อยสะดวกกับการเล่นเกมในยุคนี้ ที่มีการเพิ่มปุ่ม เพิ่มรายละเอียดยิบย่อยบนจอเยอะขึ้นกว่าเกมในยุคก่อนมาก จนบางทีอาจทำให้อ่านข้อความบนจอไม่สะดวกได้อยู่เหมือนกัน


    เทียบการใช้งานแบต

    ต้องยอมรับตามตรงว่า iPhone ทั้งสามรุ่นนี้ มาพร้อมกับแบตที่ค่อนข้างน้อยไปแล้วสำหรับการใช้งานมือถือในยุคนี้ ซึ่งถามว่าพอต่อการใช้งานในแต่ละวันมั้ย อันที่จริงก็คือพอครับ แต่ก็อาจต้องมาพร้อมข้อจำกัดในการใช้งานที่มากกว่าสมาร์ตโฟนทั่ว ๆ ไปนิดนึง เช่น อาจต้องจำกัดการใช้แอป การเล่นเกม รวมไปถึงอาจต้องพก powerbank สายชาร์จเผื่อไว้ หรืออาจต้องมีการชาร์จระหว่างวันด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้งานได้ตลอดวัน

    โดยในช่วงที่ผมทดสอบ iPhone SE 3 นั้น ส่วนตัวผมรู้สึกว่าอัตราการใช้งานแบตนั้นแทบไม่ต่างจาก iPhone 13 Pro ที่ผมใช้งานเป็นเครื่องหลักอยู่มากนัก แต่ด้วยความจุแบตของ 13 Pro ที่มากกว่า จึงทำให้ผมพอจะใช้งานไปตลอดวันได้อยู่ ส่วนใน SE 3 นั้น ผมใช้งานถึงเย็น ๆ ก็ต้องเริ่มมองหาที่ชาร์จแล้ว เพราะเกิดความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเหลือแบตกลับถึงบ้านได้แบบสบาย ๆ หรือเปล่า

    ด้านของการชาร์จแบต แน่นอนว่าทั้งสามรุ่นรองรับการชาร์จเร็วเมื่อชาร์จผ่านสาย Lightning ทั้งนั้น จะมีจุดที่ต่างกันนิดนึงก็ที่การชาร์จไร้สาย โดยจะมีเพียง 12 และ 13 mini เท่านั้นที่รองรับการชาร์จผ่านแท่น MagSafe ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 15W แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสามรุ่นสามารถชาร์จไร้สายกับแท่นที่รองรับมาตรฐาน Qi ได้ทั้งหมด


    ความง่ายในการหาอุปกรณ์เสริม เช่น เคส iPhone

    ขึ้นชื่อว่าเป็น iPhone ก็แทบไม่ต้องห่วงเรื่องอุปกรณ์เสริมเลยครับ เพราะร้านขายเคสขายฟิล์มทุกร้าน แทบจะต้องมีอุปกรณ์สำหรับ iPhone รุ่นที่วางขายอยู่แทบทุกรุ่นอยู่แล้ว ที่น่าสนใจคือ iPhone SE 3 สามารถใช้อุปกรณ์ของ iPhone 7 และ iPhone 8 ได้ด้วย จึงทำให้ทางเลือกของอุปกรณ์เสริมนั้นมีค่อนข้างมาก นับตั้งแต่เกรดแท้ เทียบแท้ ไปจนถึงเกรดที่พอใช้งานได้ เรียกว่ามองไปทางไหนก็เจอ

    ส่วนฝั่งของ 12 mini และ 13 mini นั้น แม้ว่าจะมีขนาดเกือบเท่ากัน แต่ก็ได้แค่เกือบครับ เพราะทั้งสองรุ่นนี้ไม่สามารถใช้เคสแทนกันได้ ในขณะที่ฟิล์มและกระจกกันรอยหน้าจอนั้นอาจจะพอแทนกันได้อยู่ เพราะหน้าจอมีขนาดเท่ากัน แต่จะมีจุดต่างที่ขนาดของแถบ notch เท่านั้น

    โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะซื้อ iPhone รุ่นใดก็ตามในสามรุ่นนี้ คุณหาอุปกรณ์เสริมได้ง่ายแน่นอน ตามสไตล์ของ iPhone ที่มีของให้เลือกแทบจะทุกร้าน หรือสั่งออนไลน์ก็ไม่มีปัญหา


    ระหว่าง SE 3, 12 mini และ 13 mini – ซื้อ iPhone รุ่นไหนดี

    หากเทียบกันสามรุ่นนี้ ความเห็นส่วนตัวผมคือตามที่เขียนไว้แล้วในการเทียบสเปคข้างต้นเลยครับ คือควรเริ่มพิจารณาที่ความจุ 128 GB ขึ้นไป เพื่อการใช้งานได้แบบไม่อึดอัด ซึ่งถ้าเริ่มที่ 128 GB ตัวของ iPhone 13 mini ดูจะเป็นการซื้อ iPhone ที่คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อใช้งานระยะยาวที่สุด ด้วยความครบครันของสเปค ทำให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า

    ส่วนถ้าต้องการเน้นที่เรื่อง budget ก็ขอแนะนำเป็น iPhone SE 3 128 GB ก็โอเคครับ แต่ก็จะมีข้อแม้ว่าคุณก็ต้องโอเคกับขนาดของหน้าจอด้วย เพราะ 4.7″ นั้นถือว่าค่อนข้างเล็กไปแล้ว สำหรับการใช้งานในยุคนี้ รวมถึงกับการเล่นเกมด้วย ทำให้มันจะค่อนข้างเหมาะกับการใช้เป็นมือถือเครื่องรองมากกว่า ตามที่ผมเคยรีวิวไว้

    หรือถ้าฉีกไปเลย สำหรับใครที่ต้องการซื้อ iPhone เครื่องเล็กในราคาย่อมเยา แต่ก็ต้องการใช้งานได้แบบค่อนข้างครบ ๆ ด้วย การมองหา iPhone 12 mini มือสองก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะสเปคยังดีอยู่ และมีราคาเริ่มต้นราว ๆ 15,000 บาทเท่านั้นสำหรับความจุ 64 GB ส่วนรุ่น 128 GB เท่าที่สำรวจมา จะอยู่ที่หมื่นปลาย ๆ ซึ่งถ้าคุณโอเคกับเครื่องมือสอง ข้อนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีข้อควรพิจารณานิดนึงคือเรื่องแบตและระยะเวลาการรับประกันครับ

    Apple iPhone iPhone 12 Mini iPhone 13 mini iPhone SE 3
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    วิธีเช็คเบอร์ตัวเอง AIS, true, dtac กดอะไร เช็คเบอร์มือถือตัวเองง่ายๆ ทำได้ทุกค่าย!

    15 พฤษภาคม 2025

    รวมโทรศัพท์ติดโปร AIS ล่าสุดทุกรุ่นปี 2568 มีส่วนลดค่าเครื่องติดโปรเท่าไหร่บ้างเมื่อซื้อพร้อมแพ็กเกจ

    15 พฤษภาคม 2025

    แนะนำ 5 ฟีเจอร์โฟนราคาไม่เกิน 1,500 เน้นโทร ปุ่มใหญ่ USB-C

    15 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    วิธีเช็คเบอร์ตัวเอง AIS, true, dtac กดอะไร เช็คเบอร์มือถือตัวเองง่ายๆ ทำได้ทุกค่าย!

    15 พฤษภาคม 2025

    รวมโทรศัพท์ติดโปร AIS ล่าสุดทุกรุ่นปี 2568 มีส่วนลดค่าเครื่องติดโปรเท่าไหร่บ้างเมื่อซื้อพร้อมแพ็กเกจ

    15 พฤษภาคม 2025

    เปิดตัว “realme 14T 5G” แบตอึด-เล่นเกมลื่นสุดสมตำแหน่ง Performance Dominator น้องใหม่พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยครบเครื่องในราคา 8,999 บาท

    15 พฤษภาคม 2025

    แนะนำ 5 ฟีเจอร์โฟนราคาไม่เกิน 1,500 เน้นโทร ปุ่มใหญ่ USB-C

    15 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X