สำหรับผู้ที่กำลังเล็งว่าจะซื้อ iPhone ซักเครื่องในปี 2022 ก็ต้องบอกว่าตัวเลือกนั้นมีค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องขนาดเล็ก ที่มีให้เลือกทั้ง iPhone รุ่น mini ในซีรีส์ 12 และ 13 รวมถึง iPhone SE 3 รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย ซึ่งแต่ละรุ่นก็ล้วนมีจุดเด่นคือเครื่องที่มีความกะทัดรัดสูง ในขณะเดียวกันก็ได้สเปคที่แรง และราคาที่ย่อมเยากว่ารุ่นหลักในหน้าจอขนาด 6.1″
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจ ที่ iPhone 12 mini, iPhone 13 mini และ iPhone SE 3 จะเป็นสามรุ่นที่หลายท่านอาจจะเก็บมาคิดอยู่ว่าจะเลือกรุ่นไหนดี หากต้องการซื้อ iPhone เครื่องเล็กมาใช้งาน ในบทความนี้เราจะมาเปรียบเทียบ iPhone ทั้ง 3 รุ่นกันในแต่ละด้านครับ เพื่อเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจ สำหรับการเลือกซื้อ iPhone จอเล็กในยุค 2022 โดยอิงจากพื้นฐานความต้องการซื้อ iPhone เครื่องเล็กนะครับ
เทียบสเปคก่อนซื้อ iPhone ทั้ง 3 รุ่น
สิ่งแรกที่จะถูกนำมาเทียบ คงหนีไม่พ้นเรื่องของสเปค ความแรง ประสิทธิภาพของแต่ละรุ่น เพราะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะช่วยบ่งบอกว่าเราจะสามารถนำเครื่องมาใช้งานในรูปแบบที่ต้องการได้อย่างลงตัวหรือไม่ ขนาดไหน รวมถึงจะทำให้ทราบข้อจำกัดของแต่ละรุ่นด้วยเช่นกัน
เริ่มต้นด้วยเฉดสีของตัวเครื่องก่อนครับ ทั้งสามรุ่นล้วนมีสีพื้นฐานอย่างสีโทนดำ ขาวและแดง ส่วนสีอื่นที่จัดว่าเป็นสีพิเศษประจำรุ่นก็เช่น สีเขียวและสีม่วงอ่อนของ iPhone 12 mini และก็สีเขียวกับน้ำเงินเข้มของ iPhone 13 mini ส่วน iPhone SE 3 นั้นจัดว่าไม่ได้มีสีพิเศษอะไร ส่วนขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง ต้องบอกว่า 12 และ 13 mini นั้นแทบจะเท่ากันเลย แต่ 13 mini จะหนาและหนักกว่ากันเล็กน้อย ในขณะที่ iPhone SE 3 นั้นตัวเครื่องมีขนาดใหญ่สุดเลย ทั้งความสูงและความกว้าง
ทีนี้ถ้าจับสเปคหลัก ๆ ของทั้งสามเครื่องมาเทียบกัน ก็แน่นอนว่าโดยรวมแล้ว iPhone 13 mini จะดูดีที่สุด เนื่องจากเป็นรุ่นใหม่สุด ในขณะที่ iPhone SE 3 นั้นก็มาพร้อมกับชิป A15 Bionic เช่นกัน จึงแทบไม่ต้องห่วงเรื่องประสิทธิภาพเลย แต่ก็จะมีจุดที่ด้อยกว่าคือหน้าจอที่ยังเป็นแบบ IPS ขนาดเพียง 4.7″ เท่านั้น
ส่วนเรื่องกล้องก็ตามคาด ตามราคาครับ รุ่นหลักอย่าง 12 และ 13 mini นั้นจะให้มาทั้งเลนส์ไวด์และอัลตร้าไวด์ พวกสเปคและฟีเจอร์ยิบย่อยก็เกือบจะเท่ากัน จุดที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดก็เช่นเฟรมเรตที่ได้ของการถ่ายวิดีโอ HDR Dolby Vision ระดับ 4K ส่วนฝั่งของ iPhone SE 3 นั้นมีเพียงกล้องเดียว ดังนั้นความหลากหลายของการถ่ายภาพก็จะน้อยกว่า รวมถึงยังขาดโหมดการถ่ายกลางคืนด้วย จึงอาจจะทำให้การถ่ายภาพในที่มีแสงน้อยเป็นไปได้ยากกว่าอยู่พอสมควร แต่ยังดีที่รอบนี้รองรับ Deep Fusion ที่ช่วยทำให้การเก็บรายละเอียดยิบย่อยในภาพนั้นทำได้ดีเทียบเท่ากับรุ่นหลักเลย ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปพูดถึงอีกทีในส่วนของการเทียบกล้องครับ
และอีกจุดที่ไม่เทียบก็ไม่ได้คือราคาเริ่มต้น เพราะรุ่นที่เปิดมาเบาสุดเลยคือ iPhone SE 3 ที่เริ่มต้นเพียง 15,900 บาทในความจุ 64 GB ซึ่งสำหรับการใช้งานในยุคนี้ ส่วนตัวผมมองว่าควรจะเลือกซื้อ iPhone ที่มีความจุ 128 GB ขึ้นไปจะเซฟที่สุด ดังนั้นถ้าจับความจุที่เท่ากันมาเทียบกัน ตัวของ SE 3 ก็จะไปเริ่มที่ 17,900 บาท ส่วน 12 mini จะไปเริ่มที่ 23,900 บาท ในขณะที่ 13 mini จะอยู่ที่ 25,900 บาท
ซึ่งถ้าพิจารณาจากความจุ 128 GB นี้ กลายเป็นว่า สองรุ่นที่น่าสนใจจะตกอยู่ที่ iPhone SE 3 กับ iPhone 13 mini ไปเลย เพราะตัวของ 12 mini 128 GB นั้นมีราคาต่างจาก 13 mini เพียง 2,000 บาทเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมา ผมมองว่าค่อนข้างคุ้มค่า ทั้งกล้องที่ดีขึ้น แบตความจุสูงขึ้น ติ่งหน้าจอเล็กลง รวมถึงชิปที่แน่นอนว่าต้องรองรับการอัพเดต iOS ได้นานกว่าด้วย ถ้าคุณวางแผนว่าจะซื้อ iPhone เครื่องนี้แล้วใช้งานเป็นระยะเวลายาว ๆ
ส่วนถ้ามีเรื่องงบเป็นข้อจำกัด iPhone SE 3 ดูจะค่อนข้างน่าสนใจ เพราะราคารุ่น 128 GB ที่ย่อมเยาสุด ความแรงก็ทะลุหลอดพอกัน จะติดก็ตรงหน้าจอที่อาจเล็กไปซักนิดนึงแล้วสำหรับปี 2022 และความจุแบตที่เป็นผลพ่วงมาจากข้อจำกัดด้านขนาดตัวเครื่องนั่นเอง
เทียบสเปค iPhone ทั้งสามรุ่นบนหน้าเว็บ Apple
หน้าจอ
ในบทความนี้ เนื่องจากทางเราไม่มีเครื่อง iPhone 13 mini อยู่ในมือ ดังนั้น แต่ด้วยการที่มิติตัวเครื่องแทบจะ 95% นั้นเท่ากับ 12 mini เลย ดังนั้นภาพประกอบจึงอาจจะเป็นการจับ iPhone SE 3 มาเทียบกับ iPhone 12 mini นะครับ (ส่วนภาพที่มีวางพร้อมกัน 3 เครื่อง คือเป็นการตัดต่อภาพเรนเดอร์มาวางนะ)
ด้านของหน้าจอ แน่นอนว่าความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือการออกแบบหน้าจอในกลุ่มของ 12 และ 13 mini ที่เป็นแบบเกือบเต็มเครื่อง แต่มีแถบ notch สีดำด้านบนสุด ซึ่งใน 13 mini ก็จะมีขนาดที่เล็กกว่าใน 12 mini ด้วย ส่วนของฝั่ง SE 3 ก็จะเป็นแบบจอสี่เหลี่ยมไม่เต็มเครื่อง ตามแบบฉบับของ iPhone ในสมัยก่อน ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ความถนัดครับ เพราะจะมีส่วนของวิธีที่ใช้ในการควบคุม สั่งงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ที่เห็นได้ชัดสุดเลยคือการกลับมาหน้าโฮม ที่จอทั้งสองแบบจะใช้วิธีแตกต่างกัน
ส่วนเรื่องของสีสัน ความสว่าง อันนี้บอกได้เลยว่าพาเนล OLED ใน 12 และ 13 mini กินขาด IPS ใน SE 3 แบบที่เห็นได้ชัดจริง ๆ ซึ่งนอกจากการใช้ OLED จะมีส่วนต่อการแสดงผลแล้ว ยังมีส่วนกับการกินไฟของเครื่องด้วย ซึ่งด้วยหลักการแล้ว จอ OLED จะกินไฟน้อยกว่าจอ IPS ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
ทีนี้ส่วนของพื้นที่ในการแสดงผล เมื่อเทียบด้วยการเปิดหน้าเว็บเดียวกันตามภาพด้านบน พบว่าจอของ iPhone 12 mini (รวมถึง 13 mini) จะสามารถแสดงเนื้อหาในแนวตั้งได้มากกว่ากันอยู่พอสมควร ด้วยการที่ใช้ดีไซน์แบบหน้าจอยาวเต็มเครื่องนั่นเอง ส่วนด้านบนสุดของจอนั้น เอาจริง ๆ แล้วคือแทบจะไม่ต่างกันครับ เพราะจุดที่สามารถแสดงเนื้อหาได้จริง ๆ คือส่วนที่เป็นแถบดำ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันมาก
อีกหนึ่งสิ่งที่แตกต่างกันคือการดูหนัง ดูเนื้อหาในแนวนอน ที่ iPhone SE 3 จะไม่สามารถแสดงผลได้เต็มเครื่อง เนื่องจากการมีขอบบนและล่างของจอที่หนา
แต่ด้วยการที่มีขอบจอหนา ทำให้ iPhone SE 3 จึงยังมีปุ่มโฮมที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ พร้อมระบบ Touch ID ที่ช่วยทำให้การปลดล็อกหน้าจอในยุคโควิด-19 ทำได้ง่ายกว่าการสแกนใบหน้าด้วยระบบ Face ID ซึ่งก็นับว่าเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ iPhone SE 3 ได้อยู่เหมือนกัน
ซึ่งถ้าคุณใช้เรื่องความสะดวกในการปลดล็อกหน้าจอเป็นปัจจัยหลักในการเลือก แน่นอนว่าสำหรับยุคนี้ iPhone SE 3 จะค่อนข้างได้เปรียบกว่ารุ่นอื่น แม้ว่าใน iOS รุ่นใหม่ ทาง Apple จะเพิ่มความสามารถให้สามารถสแกนหน้าด้วยระบบ Face ID แบบที่ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ได้แล้วก็ตาม ซึ่งทั้ง 12 และ 13 mini ต่างก็รองรับฟีเจอร์นี้ด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งเท่าที่ผมใช้ฟีเจอร์นี้มา ก็พบว่าสะดวกขึ้นกว่าเดิมจริง แต่ก็ยังมีบางครั้งที่สแกนไม่ผ่านอยู่บ้างเหมือนกัน
เทียบบอดี้ iPhone ทั้ง 3 รุ่น
อย่างที่ระบุในข้างต้นว่าบอดี้ของ 12 และ 13 mini นั้นมีขนาดและน้ำหนักแทบจะเท่ากันเลย จึงทำให้ในการเปรียบเทียบครั้งนี้ เสมือนว่าเป็นการเทียบบอดี้ของ iPhone ดีไซน์เก่าและดีไซน์ปัจจุบันก็ว่าได้ สำหรับในกลุ่มของดีไซน์ใหม่นี้ ตัวเครื่องจะกลับไปใช้การออกแบบให้มีขอบเหลี่ยมคล้ายกับในยุค iPhone 4/4s โดยมีฝาหลังเป็นกระจก ส่วนกระจกหน้าจอจะเป็น Ceramic Shield ที่มีความแข็งแรงทนทาน ในขณะที่ iPhone SE 3 จะใช้ดีไซน์แบบขอบโค้งมน เนื่องจากเป็นการนำบอดี้ของยุค iPhone 7 มาใช้งาน โดยมีฝาหลังเป็นกระจกเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ทำให้ทั้งสามรุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายด้วยกันทั้งหมด แต่จะมีเพียง 12 และ 13 mini เท่านั้น ที่สามารถใช้งานกับแท่นชาร์จ MagSafe ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด
ส่วนด้านข้างก็อย่างที่ระบุไว้ด้านบนครับ ว่ามีการออกแบบในแนวทางที่แตกต่างกัน แต่ส่วนของปุ่มกดสั่งงานต่าง ๆ นั้นยังให้มาเท่าเดิม ความบางก็ไม่จัดว่าต่างกันมากนัก โดยถ้าเทียบตัวเลขกันแล้ว SE 3 จะเป็นรุ่นที่บางที่สุดในสามรุ่นนี้เลย แต่ก็ต่างกันแค่หลัก 0.1 มม. เท่านั้น
กล้องถ่ายรูป
สำหรับข้อนี้ ค่อนข้างชัดเจนเลยครับว่า 12 และ 13 mini จะได้เปรียบ SE 3 ทั้งในด้านของจำนวนเลนส์กล้องหลัง และความสามารถในการเก็บภาพ ซึ่งจุดที่แตกต่างกันก็ตามที่มีการเทียบสเปคไปด้านบน ดังนั้นถ้าต้องการซื้อ iPhone ที่ถ่ายรูปได้ดีในแทบทุกสถานการณ์ การเลือก iPhone 13 mini และ 12 mini น่าจะตรงโจทย์ที่สุด
ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ iPhone SE 3 ได้คะแนนในด้านของกล้องน้อยกว่าอีกสองรุ่นที่เหลือก็คือ การไม่มีโหมดถ่ายกลางคืนมาให้ ซึ่งทำให้กลายเป็นข้อจำกัดที่ต้องนำมาชั่งน้ำหนักอยู่ไม่น้อยเลย ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปในที่มีแสงน้อย ถ่ายภาพในช่วงกลางคืน ข้อนี้ iPhone SE 3 อาจจะไม่ตอบโจทย์ของคุณได้เต็มที่นัก
ส่วนการถ่ายรูปในเวลากลางวัน ในบริเวณที่มีแสงเพียงพอ บอกเลยว่า iPhone รุ่นใหม่ ๆ ในช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ ทำได้ดีแทบจะไม่ต่างกันเลยครับ อย่างในภาพด้านบน ผมใช้ iPhone 13 เป็นตัวแทนของ 13 mini เลยยังได้ เพราะสเปคกล้องนั้นเท่า ๆ กัน ซึ่งภาพที่ได้จากโหมด auto ของแต่ละรุ่นเทียบไปถึงรุ่นโปรนั้นแทบจะไม่ต่างกันเลย ในแง่ของการเก็บรายละเอียด การเก็บแสง การชดเชยความสว่างและ white balance ต่าง ๆ ซึ่งในข้อนี้ ต้องบอกว่าเกิดจากการที่ Apple จับเอา Deep Fusion มาใส่ใน SE 3 ด้วย จึงทำให้การเก็บรายละเอียดของภาพในที่แสงน้อยกว่าปกติ (แต่ไม่ถึงกับมืด) สู้รุ่นใหญ่ ๆ ได้ดีขนาดนี้
ด้านของโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) อันนี้จะมีความแตกต่างกันแล้วครับ เพราะ iPhone SE 3 นั้นต้องมีตัวแบบที่เป็นมนุษย์ในภาพเท่านั้น จึงจะสามารถจับโฟกัสบุคคล แล้วเบลอฉากหลังให้ ในขณะที่รุ่นอื่นนั้น แม้แต่แมวและวัตถุทั่วไป ก็ยังโฟกัสและเบลอฉากหลังให้ได้เลย
การถ่ายภาพกลางคืนก็ทำออกมาได้พอ ๆ กัน ยกเว้น SE 3 ที่ไม่มีโหมดถ่ายกลางคืน จึงทำให้ภาพที่ออกมาจะดูมืดกว่ารุ่นอื่นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำได้ไม่ครบถ้วนเท่าด้วย
เทียบการดูหนัง เล่นเกม
จากการออกแบบให้ iPhone 12 mini และ 13 mini มีหน้าจอแบบเต็มเครื่อง แน่นอนว่าทำให้ตัวเครื่องนั้นเหมาะกับการใช้ดูหนัง ใช้ดูคอนเทนต์ในแนวนอนมากกว่า SE 3 แต่ก็แลกมาด้วยการมีแถบ notch สีดำบังอยู่ทางขอบจอ แต่ก็ได้ระบบเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงมาชดเชยด้วย ทำให้ iPhone 13 mini และ 12 mini นั้นทำคะแนนในด้านความบันเทิงได้เหนือกว่าอยู่พอสมควร
ส่วนการเล่นเกม ถ้าพูดถึงสเปคก็ต้องบอกว่าทั้งสามรุ่นสามารถเล่นเกมในยุคนี้ได้ลื่นไหลดีมาก โดยเฉพาะ 13 mini และ SE 3 ที่ใช้ชิปรุ่นใหม่ที่สุด ส่วน 12 mini นั้นแม้ชิปจะเก่ากว่ากันหนึ่งรุ่น แต่ความแรงนั้นก็ยังจัดว่าสูงอยู่ ดังนั้นถ้าจะซื้อ iPhone มาเพื่อใช้เล่นเกม ทั้งสามรุ่นนี้ทำได้สบายครับ ประสบการณ์การเล่น ที่ได้จากประสิทธิภาพและความแรงของเครื่องนั้นแทบไม่ต่างกัน แต่ในระยะยาว ชิป A15 Bionic น่าจะยืนระยะได้นานกว่า กับการพัฒนาของเกมที่กินสเปคมากขึ้นแทบจะทุกปี
แต่ก็จะมีจุดที่ควรพิจารณาอยู่เหมือนกัน คือเรื่องขนาดหน้าจอของ iPhone SE 3 ที่มีขนาดเพียง 4.7″ เท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่าอาจจะเริ่มไม่ค่อยสะดวกกับการเล่นเกมในยุคนี้ ที่มีการเพิ่มปุ่ม เพิ่มรายละเอียดยิบย่อยบนจอเยอะขึ้นกว่าเกมในยุคก่อนมาก จนบางทีอาจทำให้อ่านข้อความบนจอไม่สะดวกได้อยู่เหมือนกัน
เทียบการใช้งานแบต
ต้องยอมรับตามตรงว่า iPhone ทั้งสามรุ่นนี้ มาพร้อมกับแบตที่ค่อนข้างน้อยไปแล้วสำหรับการใช้งานมือถือในยุคนี้ ซึ่งถามว่าพอต่อการใช้งานในแต่ละวันมั้ย อันที่จริงก็คือพอครับ แต่ก็อาจต้องมาพร้อมข้อจำกัดในการใช้งานที่มากกว่าสมาร์ตโฟนทั่ว ๆ ไปนิดนึง เช่น อาจต้องจำกัดการใช้แอป การเล่นเกม รวมไปถึงอาจต้องพก powerbank สายชาร์จเผื่อไว้ หรืออาจต้องมีการชาร์จระหว่างวันด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้งานได้ตลอดวัน
โดยในช่วงที่ผมทดสอบ iPhone SE 3 นั้น ส่วนตัวผมรู้สึกว่าอัตราการใช้งานแบตนั้นแทบไม่ต่างจาก iPhone 13 Pro ที่ผมใช้งานเป็นเครื่องหลักอยู่มากนัก แต่ด้วยความจุแบตของ 13 Pro ที่มากกว่า จึงทำให้ผมพอจะใช้งานไปตลอดวันได้อยู่ ส่วนใน SE 3 นั้น ผมใช้งานถึงเย็น ๆ ก็ต้องเริ่มมองหาที่ชาร์จแล้ว เพราะเกิดความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเหลือแบตกลับถึงบ้านได้แบบสบาย ๆ หรือเปล่า
ด้านของการชาร์จแบต แน่นอนว่าทั้งสามรุ่นรองรับการชาร์จเร็วเมื่อชาร์จผ่านสาย Lightning ทั้งนั้น จะมีจุดที่ต่างกันนิดนึงก็ที่การชาร์จไร้สาย โดยจะมีเพียง 12 และ 13 mini เท่านั้นที่รองรับการชาร์จผ่านแท่น MagSafe ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 15W แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสามรุ่นสามารถชาร์จไร้สายกับแท่นที่รองรับมาตรฐาน Qi ได้ทั้งหมด
ความง่ายในการหาอุปกรณ์เสริม เช่น เคส iPhone
ขึ้นชื่อว่าเป็น iPhone ก็แทบไม่ต้องห่วงเรื่องอุปกรณ์เสริมเลยครับ เพราะร้านขายเคสขายฟิล์มทุกร้าน แทบจะต้องมีอุปกรณ์สำหรับ iPhone รุ่นที่วางขายอยู่แทบทุกรุ่นอยู่แล้ว ที่น่าสนใจคือ iPhone SE 3 สามารถใช้อุปกรณ์ของ iPhone 7 และ iPhone 8 ได้ด้วย จึงทำให้ทางเลือกของอุปกรณ์เสริมนั้นมีค่อนข้างมาก นับตั้งแต่เกรดแท้ เทียบแท้ ไปจนถึงเกรดที่พอใช้งานได้ เรียกว่ามองไปทางไหนก็เจอ
ส่วนฝั่งของ 12 mini และ 13 mini นั้น แม้ว่าจะมีขนาดเกือบเท่ากัน แต่ก็ได้แค่เกือบครับ เพราะทั้งสองรุ่นนี้ไม่สามารถใช้เคสแทนกันได้ ในขณะที่ฟิล์มและกระจกกันรอยหน้าจอนั้นอาจจะพอแทนกันได้อยู่ เพราะหน้าจอมีขนาดเท่ากัน แต่จะมีจุดต่างที่ขนาดของแถบ notch เท่านั้น
โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะซื้อ iPhone รุ่นใดก็ตามในสามรุ่นนี้ คุณหาอุปกรณ์เสริมได้ง่ายแน่นอน ตามสไตล์ของ iPhone ที่มีของให้เลือกแทบจะทุกร้าน หรือสั่งออนไลน์ก็ไม่มีปัญหา
ระหว่าง SE 3, 12 mini และ 13 mini – ซื้อ iPhone รุ่นไหนดี
หากเทียบกันสามรุ่นนี้ ความเห็นส่วนตัวผมคือตามที่เขียนไว้แล้วในการเทียบสเปคข้างต้นเลยครับ คือควรเริ่มพิจารณาที่ความจุ 128 GB ขึ้นไป เพื่อการใช้งานได้แบบไม่อึดอัด ซึ่งถ้าเริ่มที่ 128 GB ตัวของ iPhone 13 mini ดูจะเป็นการซื้อ iPhone ที่คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อใช้งานระยะยาวที่สุด ด้วยความครบครันของสเปค ทำให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า
ส่วนถ้าต้องการเน้นที่เรื่อง budget ก็ขอแนะนำเป็น iPhone SE 3 128 GB ก็โอเคครับ แต่ก็จะมีข้อแม้ว่าคุณก็ต้องโอเคกับขนาดของหน้าจอด้วย เพราะ 4.7″ นั้นถือว่าค่อนข้างเล็กไปแล้ว สำหรับการใช้งานในยุคนี้ รวมถึงกับการเล่นเกมด้วย ทำให้มันจะค่อนข้างเหมาะกับการใช้เป็นมือถือเครื่องรองมากกว่า ตามที่ผมเคยรีวิวไว้
หรือถ้าฉีกไปเลย สำหรับใครที่ต้องการซื้อ iPhone เครื่องเล็กในราคาย่อมเยา แต่ก็ต้องการใช้งานได้แบบค่อนข้างครบ ๆ ด้วย การมองหา iPhone 12 mini มือสองก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะสเปคยังดีอยู่ และมีราคาเริ่มต้นราว ๆ 15,000 บาทเท่านั้นสำหรับความจุ 64 GB ส่วนรุ่น 128 GB เท่าที่สำรวจมา จะอยู่ที่หมื่นปลาย ๆ ซึ่งถ้าคุณโอเคกับเครื่องมือสอง ข้อนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีข้อควรพิจารณานิดนึงคือเรื่องแบตและระยะเวลาการรับประกันครับ