บทความนี้เป็นความท้าทายสำหรับผมอย่างหนึ่งเลยล่ะครับ กับการที่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หลักที่ใช้งานประจำทั้งเซ็ต จากเดิมที่ส่วนตัวผมเองใช้สมาร์ทโฟนเครื่องหลักเป็น iPhone XR คู่กับ Apple Watch Series 4 แล้วก็จะมีหูฟังอย่าง Apple AirPods ส่วนสมาร์ทโฟนที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android ผมจะเลือกใช้เป็น HUAWEI Mate 20 Pro เพราะได้ทั้งในแง่ Performance ในการทดสอบแอปพลิเคชัน แล้วก็กล้องถ่ายภาพของ Mate 20 Pro ก็ดีพอที่จะใช้ทำงานได้เลย โดยรวมแล้วถือว่าทั้งหมดนี้ตอบโจทย์การใช้งานของผม ณ ตอนนี้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่มันต้องพกหลายเครื่องไปหน่อย
ทีนี้ผมได้โจทย์จากทาง HUAWEI ว่า อยากให้ลองใช้งานสมาร์ทโฟน HUAWEI คู่กับ Smart Gadget ของ HUAWEI ที่มีวางจำหน่ายในตอนนี้ ในเซ็ตที่เขาส่งมาให้ทดสอบก็จะประกอบไปด้วย HUAWEI P30 Pro, HUAWEI Watch GT Elegant Edition แล้วก็หูฟังไร้สาย HUAWEI FreeLace คือพักของเดิม แล้วลองเปลี่ยนมาใช้ทั้งเซ็ตนี้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ส่วนตัวผมก็ว่าเป็นอะไรที่น่าสนุกอยู่เหมือนกัน ถือเป็นการลองอะไรใหม่ ๆ แถมยังได้คอนเทนต์มาฝากเพื่อน ๆ ด้วย
*หมายเหตุ บทความนี้ผมทดลองใช้อุปกรณ์ทั้งหมดของ HUAWEI ด้วยตัวเอง ส่วนรูปภาพในบทความ เป็นการสื่อถึงการใช้งานครับ*
HUAWEI P30 Pro เรื่องกล้องต้องยกให้เขาจริง ๆ
ก่อนอื่นผมว่าในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน Android หรือ iOS ก็ล้วนตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี แอปพลิเคชันที่มีให้ใช้งานก็ใกล้เคียงกันทั้งในแง่ของจำนวนและความเสถียร ที่สำคัญคือถ้าคุณเป็นคนที่ใช้งาน Google Service หลายตัว เช่น Google Drive, Google Photo, Gmail, Google Doc ฯลฯ ผมว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ดูจะได้เปรียบ iOS ด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่อง OS ตัดทิ้งไปได้เลยครับ แทบจะไม่รู้สึกถึงความต่างเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่นับเรื่อง FaceTime, iMessage ซึ่งในไทยก็ไม่ได้แพร่หลายเท่าใดนัก
พอได้กลับมาใช้ HUAWEI P30 Pro อีกครั้ง จุดเด่นของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้สำหรับผมก็ยังคงเหมือนเดิมครับ นอกจากสเปคที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีแล้ว กล้องของ P30 Pro ก็เป็นอะไรที่ไม่ต้องพูดเยอะ ด้วยเลนส์ที่ให้มาครบช่วงระยะการใช้งาน มีเลนส์ Ultra wide-angle ที่มี Auto-Focus อีกทั้งพลังซูมที่หวังผลที่ 10 เท่าแบบไม่เสียรายละเอียด รวมถึงโหมดถ่ายภาพที่ประมวลผลด้วย AI ทำให้การถ่ายภาพด้วย P30 Pro เป็นอะไรที่ง่าย แต่ได้ผลลัพท์ที่สุดยอดมาก
จุดเด่นอีกด้านของ HUAWEI P30 Pro ที่ผมว่ารุ่นนี้ทำได้เหนือกว่าสมาร์ทโฟนแฟลกชิปหลาย ๆ รุ่น จะเป็นเรื่องการจัดการพลังงาน แบตเตอรี่ของ P30 Pro คืออึดมาก เป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถใช้งานหนักต่อเนื่องได้เป็นเวลานานโดยที่เหลือแบตเตอรี่กลับบ้านมากกว่า 20% ใช้งานหนักในความหมายของผมคือ คุยโทรศัพท์, ดู Youtube ระหว่างเดินทาง, เล่นเกม ROV + Pokemon Go เรียกว่าใช้งานแทบจะตลอดทั้งวัน ส่วนการชาร์จไฟกลับก็ยิ่งแล้วใหญ่ ด้วยระบบชาร์จเร็ว SuperCharge 40W บางคืนผมลืมชาร์จมือถือก่อนนอน ใช้เวลาชาร์จแค่ช่วงเช้าตอนอาบน้ำแต่งตัวประมาณ 40 นาที ก็ได้แบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งานหมดวันสบาย ๆ ล่ะครับ
HUAWEI Watch GT และการใช้งานคู่กับ HUAWEI P30 Pro
สิ่งแรกเลยที่ HUAWEI Watch GT (ที่ผมได้รับมาเป็นรุ่น Elegant Edition) แตกต่างจาก Apple Watch ก็คือ หน้าตาดูเป็นนาฬิกามากกว่า ด้วยหน้าปัดแบบกลม มองผ่าน ๆ คิดว่าเป็นนาฬิกาข้อมือปกติได้เลย ความละเอียดหน้าจอถือว่าคมชัด สู้แสงแดดจัด ๆ ได้สบาย เป็นจุดเด่นที่ทำให้ HUAWEI Watch GT ทุกรุ่นเหนือกว่า Smartwatch ยี่ห้ออื่นด้วย ที่สำคัญคือราคาค่าตัวเพียง 5,990 บาท เป็นราคาที่ตัดสินใจซื้อได้ไม่ยากครับ
สำหรับฟีเจอร์โดยรวมของ HUAWEI Watch GT ในแง่ของการเป็น Smartwatch ผมว่ารุ่นนี้ทำได้ดีเลย ทั้งการเป็นหน้าจอที่สอง ใช้อ่านการแจ้งเตือนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Email, LINE Chat, Facebook และอื่น ๆ โดยรุ่นนี้รองรับภาษาไทยที่สระไม่ลอยด้วยครับ ทำให้สามารถโฟกัสกับการทำงานได้มากขึ้น ไม่ต้องคอยหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูบ่อย ๆ แต่จะมีข้อสังเกตก็คือ ไม่สามารถใช้รับสายแล้วคุยโทรศัพท์ได้ (กดตัดสายได้อย่างเดียว) รวมถึงไม่สามารถตอบกล้บข้อความผ่าน HUAWEI Watch GT ได้ ซึ่งเอาเข้าจริง จากประสบการณ์ใช้งาน Apple Watch มา ผมรับสายผ่าน Apple Watch นับครั้งได้เลยครับ เพราะถ้าใช้นาฬิการับสายในที่สาธารณะ สายสนทนาก็ไม่มีความเป็นส่วนตัว ไหนจะเรื่องเสียงรบกวนอีก สุดท้ายแล้วแค่แจ้งเตือนแล้วกดรับจากโทรศัพท์ก็เพียงพอแล้ว
เรื่องการเชื่อมต่อ และการทำงานร่วมกันกับ HUAWEI P30 Pro โดยรวมผมค่อนข้างประทับใจ เริ่มจากการเชื่อมต่อที่ง่ายมาก เพียงเปิดแอปพลิเคชัน Health ที่มีอยู่ในสมาร์ทโฟน HUAWEI ทุกเครื่องแต่แรกแล้ว ที่เหลือก็ทำตามที่แอปพลิเคชันแนะนำ ใช้เวลาไม่นานก็เชื่อมต่อ Watch GT กับ P30 Pro พร้อมใช้งานทันที
ในแง่ของการเป็นอุปกรณ์สวมใส่สำหรับการดูแลสุขภาพ HUAWEI Watch GT ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่หลากหลายในด้านการออกกำลังกาย รองรับการออกกำลังกายหลายรูปแบบ ตั้งแต่เดิน, วิ่ง ไปจนถึงไตรกีฬา นั่นหมายความว่า HUAWEI Watch GT สามารถใส่ว่ายน้ำได้ด้วย ในขณะที่ออกกำลังกายก็จะเก็บระยะทาง อัตราการเต้นหัวใจได้ รวมถึงการคำนวณแคลอรี่ที่ใช้ในแต่ละวัน แจ้งเตือนนั่งนาน และที่ผมชอบที่สุดก็คือฟีเจอร์ HUAWEI TrueSleep ที่สามารถตรวจจับการนอน แล้วบอกได้ว่าการนอนในแต่ละคืนมีประสิทธิภาพดีมากน้อยเพียงใด นอนเยอะแต่ไม่ Deep Sleep หรือ Awake บ่อยก็ตื่นมาไม่สดชื่นได้ เมื่อได้ข้อมูลส่วนนี้มาแล้วก็นำไปปรับใช้กับการนอนได้ดีขึ้นครับ
อันที่จริงฟีเจอร์ตรวจจับการนอนแบบ HUAWEI TrueSleep 2.0 ก็พบใน Smartwatch แบรนด์อื่นได้ หรืออย่าง Apple Watch ที่ผมใช้ประจำก็สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติมเพื่อตรวจจับการนอนได้ แต่ปัญหาคือแบตเตอรี่ของ Apple Watch ไม่ว่าจะ Series ไหนก็ตาม ถ้าจะให้ชัวร์ก็ต้องชาร์จไฟทุกวัน ทีนี้พอต้องชาร์จไฟทุกวัน การใส่เพื่อจะให้ตรวจจับเวลานอนจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบาก เพราะถ้าใส่ตรวจจับตอนนอน แบตเตอรี่ก็อาจไม่พอที่จะใช้ได้จนหมดวัน แต่ไม่ใช่กับ HUAWEI Watch GT เพราะรุ่นนี้มีระยะการใช้งานที่ยาวนานมาก ตั้งแต่ผมได้ Watch GT เครื่องรีวิวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากชาร์จไฟจนเต็ม จนถึงวันที่เขียนบทความนี้ก็ราว 1 สัปดาห์ แบตเตอรี่ยังเหลือประมาณ 38% ได้ครับ
HUAWEI FreeLace หูฟังไร้สายที่มาพร้อม HUAWEI HiPair
ถ้าใช้ HUAWEI FreeLace กับสมาร์ทโฟน Android ยี่ห้ออื่น หรือ iPhone, iPad มันก็จะเป็นหูฟังบลูทูธธรรมดา มีจุดเด่นเรื่องการสวมใส่ที่สบาย เสียงที่ถือว่าโอเคในราคา 2,490 บาท ตัวหูฟังเป็น In-Ear แบบคล้องคอ การเก็บเสียงทำได้ดีตามสไตล์หูฟัง In-Ear แล้วก็มีจุดเด่นอีกอย่างเรื่องตัว Neckband ที่เป็นวัสดุแบบ Memory Metal ไม่ทำให้สายพันกัน หยิบใช้ได้สะดวก และแม่เหล็กที่ตัวหูฟังมาพร้อมฟีเจอร์ในการ Disconnect/ Sleep ทันทีเมื่อหูฟังดูดติดกัน ทำให้ประหยัดพลังงานขณะที่ไม่ได้ใช้งาน รวมถึงง่ายต่อการพกพา
แต่เมื่อใช้งาน FreeLace ร่วมกับ HUAWEI P30 Pro ที่มาพร้อม EMUI 9.1 จะสามารถใช้ฟีเจอร์ HUAWEI HiPair ทำให้การใช้งานง่ายแบบไร้รอยต่อ เหมาะกับคนที่มีอุปกรณ์หลายอย่าง เช่น เวลาทำงานผมจะใส่ HUAWEI FreeLace แล้วเปิดเพลง หรือตรวจงานวีดีโอ Youtube ผ่าน Notebook ทีนี้พอจะกลับบ้าน ต้องการฟังเพลงผ่านโทรศัพท์ ก็เพียงแค่เสียบขั้วต่อ USB-C ของ FreeLace เข้ากับ P30 Pro ก็จะขึ้น Pop-up จากนั้นกด OK ตัวหูฟัง FreeLace ก็จะย้ายมาเชื่อมต่อกับ P30 Pro ทันที ไม่ต้องไปกด Unpair ในคอมพิวเตอร์ แล้วกด Pair ใหม่บนโทรศัพท์
นอกจากนี้ HUAWEI FreeLace ยังมาพร้อมกับอัลกอริธึมแบบพิเศษที่ช่วยลดเสียงรบกวนขณะสนทนาโทรศัพท์ และยังกันน้ำที่มาตรฐาน IPX5 นั่นหมายความว่าสามารถใส่ออกกำลังกายได้สบาย ๆ ครับ ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ของ FreeLace ถือว่าเป็นหูฟังบลูทูธที่แบตอึดมาก ฟังเพลงต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง แล้วก็ยังชาร์จผ่านสมาร์ทโฟน HUAWEI ได้โดยตรงอีกด้วย (ชาร์จไฟ 5 นาที ใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมง)
สรุป HUAWEI Ecosystem เซ็ตนี้ ในตอนนี้เป็นอย่างไร?
หลังจากที่ได้ใช้งานอุปกรณ์ทั้งเซ็ตมาเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับชุดเดิมที่ผมใช้งานอยู่ (iPhone XR + Apple Watch Series 4 + AirPods) ส่วนตัวผมว่าเซ็ต Ecosystem ของ HUAWEI ให้ประสบการณ์ใช้งานร่วมกันได้ดีไม่ต่างกันเลยครับ แถมยังได้เรื่องระยะการใช้งานที่แบตอึดทั้ง HUAWEI P30 Pro, Watch GT และ FreeLace ทั้งสามอย่างนี้หากสังเกตดี ๆ คือไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟทุกวัน หรือถ้าต้องชาร์จไฟ ก็จะมาพร้อมฟีเจอร์ชาร์จเร็ว ใช้เวลาชาร์จไม่นานก็สามารถใช้งานต่อได้ทันที
ความน่าสนใจอีกอย่างของ HUAWEI Smart Gadget ก็คือเรื่องราคา อย่างนาฬิกา Watch GT ก็เพียง 5,990 บาท มองว่าซื้อนาฬิกาสวย ๆ สักเรือน แถมฟีเจอร์เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนก็คุ้มแล้ว หรือแม้แต่ HUAWEI FreeLace ที่เปิดราคามาเพียง 2,490 บาท ได้หูฟังไร้สาย ใส่ออกกำลังกายได้เพราะเป็น IPX5 ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน HUAWEI ได้อย่างไร้รอยต่ออีกต่างหาก เมื่อเทียบอุปกรณ์ในลักษณะ Ecosystem แบรนด์อื่น ราคาของเซ็ต HUAWEI จะเข้าถึงได้ง่ายกว่ามากเลยครับ
ช่วงนี้ HUAWEI เองก็มีโปรโมชัน HUAWEI Grand Sale 2019 Week 5 จับคู่ FreeLace + Watch GT ในราคาเพียง 7,990 บาท (จากปกติ 8,480 บาท) เฉพาะวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคมนี้ เฉพาะที่ HUAWEI Shop เท่านั้น
ส่วนตัวผมมองว่า Ecosystem เซ็ตนี้ของ HUAWEI เป็นแค่น้ำจิ้มด้วยซ้ำไป เชื่อว่าในอนาคตน่าจะมีอีกหลาย ๆ อุปกรณ์ที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อออกมาให้เลือกใช้งานมากกว่านี้อีกครับ