ในปัจจุบันเราเข้าสู่ยุค 5G มาได้สักพักแล้ว มาดูกันว่ายุค 5G นั้นต่างจากยุคก่อนๆ อย่างไรและมันจำเป็นแล้วหรือไม่ที่คนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ จะต้องตื่นตัวเปลี่ยนมาใช้งานกัน
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เครือข่ายโทรคมนาคมทั่วโลกทำให้ 5G กลายเป็นปาฏิหาริย์ทางเทคโนโลยี ความเร็วที่รวดเร็วมากจะทำให้สามารถดำเนินการผ่าตัดจากระยะไกล, การใช้งานภาคสนามสำหรับความเป็นจริงเสมือน(AR และ VR) และอื่นๆ อีกมากมายเกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทยเรานั้นเครือข่าย 5G เริ่มมีมาให้ใช้งานสักพักได้แล้ว โดยนอกจากจะสังเกตได้จากการที่ผู้ให้บริการเครือข่ายเริ่มโฆษณาเรื่องของเครือข่าย 5G ออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกไปจากนั้นแล้วสมาร์ทโฟนที่วางจำหน่ายในตลาดก็เริ่มที่จะมีการวางจำหน่ายเครื่องที่รองรับเครือข่าย 5G มากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่เราก็ยังเห็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ได้เฉพาะเครือข่ายสูงสุด 4G LTE วางจำหน่ายอยู่มากเช่นเดียวกัน
จากการวิเคราะห์ตลาดทั้งรูปแบบของแพคเกจจากผู้ให้บริการที่เริ่มเน้นเครือข่าย 5G และสมาร์ทโฟนที่วางจำหน่ายในปัจจุบันรองรับเครือข่าย 5G แล้วมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่เครือข่าย 5G อย่างเป็นทางการ มาดูกันดีกว่าว่าเครือข่าย 5G ต่างจากเครือข่ายเก่าที่มีผ่านมาอย่างไรบ้างและดูกันอีกว่ามีความจำเป็นหรือยังที่ผู้ใช้งานอย่างเราๆ ท่านๆ จะต้องเปลี่ยนแนวตามเพื่อปรับตัวเข้าสู่เครือข่าย 5G ในวันนี้ทาง SpecPhone จะมาไขข้อข้องใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับ 5G ให้ทุกท่านกัน หากพร้อมแล้วก็ไปติดตามกันได้เลย
5G คืออะไร
5G ถูกสร้างขึ้นจากความก้าวหน้าที่มีคุณค่าในช่วงครึ่งศตวรรษย้อนหลังไปถึงการโทรด้วยโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในปี 1973 ซึ่งระบบแอนะล็อกได้เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลหรือ 2G(ที่หลายๆ คนอาจจะจำได้ถึงยุค GPRS หรือ EDGE) เป็นยุคที่ทำให้เราๆ ท่านๆ สามารถที่จะเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตผ่านทางมือถือได้ทุกที่ที่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ไปถึง โทรศัพท์ของคุณจะต้องฟังและพูดคุยกับไซต์มือถือ(หรือเสาสัญญาณ) ในพื้นที่ที่จัดการการสนทนาที่คล้ายกันกับอุปกรณ์ซึ่งผู้ใช้รายอื่นๆ ก็ใช้งานพร้อมกันกับคุณ ไซต์เซลล์(เสาสัญญาณ) นั้นอาจเป็นหนึ่งในชุดของโหนดเขตหรือภูมิภาคที่จัดการบทบาทการจัดการการจราจรทางด้านการใช้ช่วงสัญญาณอินเทอร์เน็ตต่างๆ และส่งต่อการดำเนินการไปยังจุดถัดไปจนไปถึงจุดที่สิ้นสุดเสาสัญญาณแบบคลื่นความถี่ที่ไร้สายในส่วนของผู้ให้บริการแล้วเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตอีกทีผ่านเครือข่ายแบบมีสายซึ่งจะอยู่ที่ตู้สายของผู้ให้บริการเครือข่ายนั้นๆ
ในแต่ละระดับของกระบวนการ มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ถูกทำซ้ำมาหลายชั่วอายุคน โปรโตคอลรุ่นที่สองมีต้นกำเนิดในยุค 3G หลังจากนั้นก็มีการเข้าสู่ยุค 4 และ 5G ตามลำดังซึ่งตัวมาตรฐานสร้างขึ้นจากกลุ่มเทคโนโลยีและมาตรฐานที่ห่อหุ้มอยู่ภายในยุคนั้นๆ เช่นยุค 4G จะมีชื่อเรียกว่า LTE (วิวัฒนาการระยะยาวหรือ Long Term Evolution) และนำไปใช้กับคลื่นวิทยุที่ขยายออกไปจากเดิม(คลื่นความถี่สูงมากขึ้นจากยุคก่อนๆ) ผลลัพธ์ที่ได้(ควร) เป็นความจุเครือข่ายที่มากขึ้น ณ ไซต์เซลล์(เสาปล่อยคลื่นสัญญาณ) ใดไซต์หนึ่ง, ความเร็วที่เร็วขึ้นและเวลาแฝงที่ลดลงในทุกพื้นที่พร้อมประสิทธิภาพขั้นสูงสุดสำหรับเครือข่ายที่สามารถเชื่อมต่อกับสเปกตรัมระดับไฮเอนด์ได้ แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวนี้นั้นก็จะเกิดขึ้นกับยุค 5G, 6G และอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
ทำความเข้าใจคลื่นเครือข่าย 5G
การเชื่อมต่อไร้สายระหว่างโทรศัพท์ของคุณกับเสาส่งคลืนสัญญาณโทรศัพท์จะมีลักษณะที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ แต่สิ่งที่ใหญ่ที่เป็นตัวกำหนดมากที่สุดนั้นก็คือย่านความถี่ใดที่เอื้ออำนวย ณ ตำแหน่งที่คุณใช้งานนั้นคุณจะได้รับบริการตามคลื่นความถี่ที่เหมาะสมมากที่สุดในการใช้งานในสถานที่ต่างๆ แตกต่างกันไป อย่างไรก็ดีจากกราฟทางด้านบนนั้นจะเห็นได้ว่าความถี่ที่สูงกว่ามีข้อได้เปรียบด้านความเร็ว ในขณะที่ความถี่ที่ต่ำกว่าสามารถแพร่กระจายในระยะทางที่ไกลกว่าและแม้แต่ผ่านสิ่งกีดขวางได้ดีกว่าเช่นกำแพงหรือตึกใหญ่ๆ เป็นต้น
มีสองสิ่งหลักๆ เกี่ยวคลื่นสัญญาณเครือข่าย 5G ที่เราควรรู้ดังต่อไปนี้
Millimeter wave
ชื่อ “คลื่นมิลลิเมตร” หรือ mmWave หมายถึงความยาวคลื่นในช่วงนี้โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1 มม.
ย่านความถี่ที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อเหล่านี้สร้างความเร็วหลายกิกะบิตในการทดสอบที่ดำเนินการโดยโทรคมนาคม(ในห้องปฎิบัติการ) แม้ว่าคุณจะมีแนวโน้มที่จะเห็นความเร็วสูงสุดของสัญญาณเครือข่าย 5G สูงมากถึง 1Gbps แต่มันก็จะถูกจำกัดให้สามารถใช้งานได้บางพื้นที่เท่านั้นเช่นย่านศูนย์กลางธุรกิจ, สถานบันเทิงและสถานที่อื่นๆ ที่มีผู้ใช้จำนวนมากเป็นต้น
โครงการความร่วมมือรุ่นที่ 3 (3GPP) ซึ่งเป็นคณะกรรมการพัฒนามาตรฐานสำหรับการค้าไร้สายทั้งหมด ได้กำหนดคลื่นความถี่ 7 คลื่นเพื่อใช้สาธารณะในพื้นที่ mmWave ถูกกำหนดด้วยหมายเลขแบนด์ n257 ถึง n263 และทำงานได้ทุกที่ตั้งแต่ 24GHz ไปจนถึง 71GHz คุณจะพบการสนับสนุนระดับสากลสำหรับแบนด์ n257 และ n258 หากคุณมีอุปกรณ์ที่ปลดล็อคแล้ว(เครือข่ายในสหรัฐฯ เป็นเพียงเครือข่ายเดียวที่ทำงานบน n260, n261 และ n262)
Sub-6GHz
คำที่เข้าใจได้ทั้งหมดนี้หมายถึงน่านฟ้าที่มีอยู่เกือบทั้งหมดที่เครือข่ายไร้สายใช้จนถึงขณะนี้ คลื่นความถี่นี้ส่วนใหญ่ต้องได้รับการ “จัดการให้เข้าที่เข้าทางในรูปแบบใหม่” ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องกับการปิดระบบ 2G, 3G และแม้แต่บริการ 4G บางอย่าง รวมถึงการกำหนดค่าอุปกรณ์ให้ทำงานบนส่วนย่อยต่างๆ ของคลื่นความถี่เพื่อใช้บริการ 5G
ในสหรัฐอเมริกา ผู้ให้บริการรายใหญ่สามรายได้แก่ AT&T, T-Mobile และ Verizon ได้ปิดไซต์ 2G และ 3G ของตนทั้งหมด ณ สิ้นปี 2565 การปรับปรุงเสาสัญญาณใหม่ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการในสหราชอาณาจักร แต่มีพื้นที่เพียงพอที่จะเคลียร์ให้เปิดบริการ 5G ที่คลื่นความถี่ต่ำกว่า 6GHz ในประเทศสหรัฐฯ ได้แล้ว Vodafone จะปิด 3G ในปี 2566
หมายเลขแบนด์เริ่มตั้งแต่ n1 ถึง n105 แม้ว่าจะมีการใช้งานเพียงเล็กน้อยในประเทศใดก็ตาม โดยมีความถี่ตั้งแต่ 600MHz (ที่ความถี่นี้จะสร้างความยาวคลื่นประมาณ 50 ซม.) ไปจนถึงมากกว่า 6GHz ย่านความถี่ส่วนใหญ่ใช้ชื่อย่านความถี่แบบตัวเลขเหมือนกัน และช่วงความถี่ทั่วไปที่มีสำหรับมาตรฐาน 4G LTE ทั้งหมดที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับ 5G ด้วยคำนำหน้า “n” ใหม่ของแต่ละแบนด์ ผู้ให้บริการส่วนใหญ่เรียกบริการนี้ว่า “5G” อย่างชัดเจน แม้ว่าจะใช้ชื่อทางการตลาดไม่เหมือนกันเช่นในสหรัฐฯ oyho0t,u 5G UC ของ T-Mobile, 5G UW ของ Verizon และ 5G+ ของ AT&T ซึ่งจะเห็นได้ว่าแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการ
ในสหรัฐอเมริกา AT&T ใช้ n5 และ n77 สำหรับ Sub-6GHz 5G Verizon ทำงาน n2, n5, n77 และ n66 ในขณะที่ T-Mobile ใช้ n41 และ n71 หากคุณไม่แน่ใจว่าโทรศัพท์ของคุณรองรับ 5G หรือไม่ ให้ตรวจสอบเพื่อดูว่ารองรับแถบคีย์เหล่านั้นหรือไม่ แต่สมาร์ทโฟนรุ่น Global มักจะรองรับคลื่นสัญญาณได้เกือบทุกคลื่นสัญญาณอยู่แล้ว
ความเร็วในการดาวน์โหลดจะแตกต่างกันอย่างกว้างขวางมากขึ้นในช่วงสเปกตรัมย่อย 6 แต่คุณจะพบว่าศักยภาพสูงสุดนั้นมีความสัมพันธ์กับความถี่ คุณสามารถคาดหวังได้ทุกที่ว่าความเร็วในการดาวน์โหลดต่ำสุดของเครือข่าย 5G จะอยู่ที่ราวๆ 30-70Mbps บนการเชื่อมต่อที่คลื่นความถี่ 600MHz ไปจนถึง 100-500Mbps ที่คลื่นความถี่ 2.5GHz
เรื่องราวเกี่ยวกับ 5G
บริษัทโทรคมนาคมเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานหลายปีเพื่อนำอุปกรณ์ 5G ใหม่ทั้งหมดไปยังพื้นที่ให้บริการทั่วโลก ซึ่งนั่นหมายความว่าบริษํทโทรคมนาคมจะต้องสามารถส่งมอบเทคโนโลยีแบ็กเอนด์หลักของ 5G ในขณะที่ยังคงใช้อุปกรณ์ไซต์เซลล์สำหรับ 4G หรือ 3GPP ไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการทำธุรกิจโทรคมนาคมที่ทุกผู้ให้บริการจะต้องทำตามสิ่งที่เรียกว่ามาตรฐาน Non Standalone (NSA)
เครือข่าย NSA ช่วยให้เสาส่งคลื่นสัญญาณโทรศัพท์สามารถรับและจัดการการเชื่อมต่อโดยใช้โปรโตคอล 4G ในขณะเดียวกันก็นำกระบวนการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นบางอย่างที่นำมาใช้กับ 5G มาใช้ได้ แนวคิดเช่นการแบ่งปันสเปกตรัมแบบไดนามิกช่วยให้เครือข่ายมือถือที่มีอยู่จัดการกับปริมาณงานที่มาจากและเคลื่อนย้ายไปยังลูกค้าเพียงไม่กี่รายด้วยโทรศัพท์ 5G ใหม่ในยุคใหม่ ในขณะเดียวกันก็รักษาประสิทธิภาพที่สมาชิกรายอื่นคาดหวังจากบริการ 4G ของตน ผู้ให้บริการยังมีช่องทางที่จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าพวกเขาติดป้ายการเชื่อมต่อมือถือเป็น “4G” หรือ “5G” ในเวลาใดก็ตาม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดนั้นก็คือบนสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 5G และแสดงผล 5G อาจจะมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเครือข่าย 4G เลยก็เป้นได้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนั้นเราๆ ท่านๆ จะถูกบังคับให้ใช้งานเครือข่าย 5G กันมากขึ้นอันเนื่องมาจากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในปัจจุบันที่วางจำหน่ายเริ่มที่จะชูจุดเด่นว่ารองรับเครือข่าย 5G แล้ว แต่ด้วยมาตรฐาน NSA ที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นคุณจึงยังคงไม่ต้องเป็นกังวลมากนักเพราะเรายังคงสามารถที่จะใช้งานสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 4G หรือ 3G ไปได้อยู่อีกสักพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว
ประโยชน์ของเครือข่าย 5G
คุณอาจเคยเห็นแอปพลิเคชั่นนักฆ่าบางตัวที่ยักษ์ใหญ่ด้านการค้าไร้สายอย่าง Qualcomm เคยกล่าวไว้ว่า 5G จะช่วยให้สามารถติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้อย่างง่ายดายแบบไร้กังวล ตัวอย่างเช่นยานพาหนะที่เป็นจะเป็นอิสระมากขึ้นจนสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่คุณขับขี่ไปในพื้นที่ต่างๆ แล้วใช้แอปพลิเคชั่นเหล่านั้นในการนำทางบนทางหลวงสู่ชนบทเป็นต้น นอกไปจากนั้นเครือข่าย 5G จะเปิดช่องทางสำหรับรายละเอียดกราฟิกระดับสูงในขณะที่คุณสวมชุดหูฟัง AR และเช็คอินที่ไซต์ก่อสร้างได้อย่างไรกังวล เรียกได้ว่าหากมี 5G แล้วนั้นไม่ว่าอยู่ที่ไหนคุณก็จะไม่พลาดทุกๆ การทำงานที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามโลกในจินตนาการนี้จำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาในด้านอื่นๆ เพื่อก้าวให้ทันเช่นกัน ที่สำคัญกว่านั้น ธรรมชาติของการเชื่อมต่อไร้สายจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณประโยชน์จะกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่และยังขาดในด้านอื่นๆ และแม้ว่าคุณจะยืนอยู่ใต้ไซต์ mmWave หรือ Sub-6GHz 5G ที่ดีที่สุด คุณอาจจะไม่มีแอปพลิเคชันที่สามารถใช้ความเร็วทั้งหมดของเครือข่าย 5G ได้อย่างสมบูรณ์ก็เป็นได้
ดังนั้นผลประโยชน์ของเครือข่าย 5G ในปัจจุบันนี้่นั้นจึงยังไม่ชัดเจนและจำกัดอยู่เฉพาะในบางพื้นที่ในขณะนี้ ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดที่คุณจะเห็นในตอนนี้คือการปรับปรุงความเร็วเมื่อเทียบกับ 4G แต่ก็แค่นั้นแหละเพราะ 4G เองนั้นก็ยังมีความเร็วที่สูงมากเกินพอในการดู YouTube บนสมาร์ทโฟนแบบต่อเนื่องอยู่แล้ว
5G ในเมืองไทย
หากถามว่าประเทศไทยเรานั้นก้าวเข้าสู่ยุค 5G เต็มตัวแล้วหรือยัง คงต้องบอกว่าเรากำลังมาได้ครึ่งทางแล้ว อย่างที่ทุกๆ ท่านน่าจะพอทราบกันดีว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้นั้นทาง กสทช. ได้มีการเปิดประมูลคลื่นความถี่สำหรับทำเครือข่าย 5G ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในปัจจุบันนี้นั้นเครือข่ายดังทั้ง 3 ก็ได้มีการโฆษณาถึงการใช้งานคลื่นเครือข่าย 5G กันอย่างเต็มรูปแบบ
แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควรคลื่นของเครือข่ายเก่าอย่าง 3G และ 4G LTE จะต้องถูกยกเลิกการใช้งานไปตามกาลเวลา แต่ถ้าถามว่าเราจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวมากไหมนั้นคงต้องบอกว่ายังไม่มีความจำเป็นมากเท่าไรนักเพราะในเมืองไทยเครือข่าย 5G ยังไม่สามารถใช้งานได้ทุกพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบ ส่วนใหญ่แล้วผู้ให้บริการเครือข่ายจะวางเสาสัญญาณเครือข่าย 5G ในบริเวณที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากก่อนอย่างเช่นในตัวเมืองแล้วจึงจะค่อยๆ ขยายออกมาเรื่อยๆ
อีกทั้งในปัจจุบันนี้หากจะพูดไปแล้วเครือข่าย 5G ในบางพื้นที่ยังมีสัญญาณไม่เต็มที่มากนัก หากท่านมีสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 5G แล้วต้องเดินทางออกต่างจังหวัดไปยังพื้นที่ห่างไกลบ่อยๆ จะเห็นได้ว่าในบางพื้นที่สมาร์ทโฟนของท่านจะเปลี่ยนการจับคลื่นสัญญาณจาก 5G เป็น 4G หรืออาจจะแย่กว่านั้นคือถอยกลับไปจับสัญญาณ 3G หรือ 2G แทน
และถึงแม้ว่าสมารฺ์ทโฟนในปัจจุบันจะเริ่มรองรับเครือข่าย 5G แล้วแต่ท่านน่าจะพอสังเกตได้ว่ายังมีสมาร์ทโฟนที่รองรับคลื่นเครือข่ายสูงสุดที่ 4G LTE วางจำหน่ายในตลาดอยู่เต็มไปหมด ดังนั้นหากจะให้สรุปแล้วล่ะก็เมืองไทยเรานั้นกำลังเริ่มเข้าสู่ยุค 5G จริงแต่ยังไม่พร้อมครอบคลุมทั่วประเทศ หากท่านมีงบประมาณจำกัดในการซื้อสมาร์ทโฟนแล้วล่ะก็ สมาร์ทโฟนที่รองรับคลื่นเครือข่ายสูงสุดที่ 4G LTE ซึ่งมีราคาถูกกว่าสมาร์ทโฟนที่รองรับคลื่นเครือข่าย 5G นั้นยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่ท่านสามารถซื้อได้และน่าจะใช้งานได้อีกยาวๆ ไป 5 – 10 ปี ซึ่งเมื่อไปถึงตอนนั้นท่านอาจจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ที่รองรับเครือข่าย 5G หรือประเทศไทยเรามีการก้าวเข้าสู่ยุคเครือข่าย 6G ไปแล้วก็เป็นได้
อีกจุดหนึ่งที่อยากให้พิจารณาก็คือคลื่นเครือข่าย 5G ที่ไม่ได้อยู่ในเขตเมืองนั้น บางพื้นที่ก็มีความเร็วในการให้บริการดาวน์โหลดข้อมูลไม่ต่างอะไรกับคลื่นเครือข่าย 4G แถมความเร็วในการดาวน์โหลดของคลื่นเครือข่าย 4G ก็มากพอแล้วที่จะให้ท่านสามารถที่จะทำการดูคลิปวีดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K ได้อย่างสบายๆ
โดยรวมแล้วหากท่านยังคงพอใจกับสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่รองรับเฉพาะเครือข่าย 4G LTE อยู่ล่ะก็ไม่มีเหตุผลกลใดที่ท่านจำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ที่รองรับเครือข่าย 5G ในตอนนี้ ให้เวลาผู้บริการเครือข่ายจัดการเรื่องความมีเสถียรภาพของเครือข่าย 5G ก่อนอีกสักพักท่านค่อยเปลี่ยนสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 5G ก็ถือว่ายังไม่สายเกินไป
ที่มา : cisco, pocket-lint