ถ้าใครได้ติดตามหน้าแฟนเพจ SpecPhone บน Facebook จะเห็นว่าเมื่อวานนี้ผมได้โพสรูปมือถือรุ่นหนึ่ง ที่ตัดสินใจซื้อมารีวิวด้วยตัวเอง ตามที่ได้ถามเพื่อนๆ ในเพจว่าอยากอ่านรีวิวมือถือรุ่นไหน ระหว่าง Samsung Galaxy S7 กับ Xiaomi Mi5 และแน่นอนว่าทุกคนแทบจะพร้อมใจบอกเลยว่าอยากอ่านรีวิว Xiaomi Mi5 เพราะฉะนั้นก็จัดไปครับ Xiaomi Mi5 รุ่น Ram 3 GB และความจุ 64 GB
ความแตกต่างระหว่าง Xiaomi Mi5 รุ่นที่ผมซื้อมารีวิว กับรุ่นความจุ 32 GB นอกจากจะมีความจุแตกต่างกันแล้ว สเปคของรุ่นที่ผมซื้อมารีวิวจะเหนือกว่าด้วยครับ เพราะ CPU Snapdragon 820 ที่ใช้จะมีความเร็วอยู่ที่ 2.15 GHz (Xiaomi Mi5 ความจุ 32 GB ซีพียูความเร็ว 1.8 GHz) และ GPU ก็เป็นรุ่นที่ดีกว่า เอาง่ายๆ เลยคือมันเป็นรุ่นรองท็อปครับ ส่วนรุ่นท็อปก็คือ Xiaomi Mi5 Ram 4 GB ความจุ 128 GB ฝาหลัง 3D เซรามิค (หาซื้อยากมาก) แต่ความแรงระหว่างตัวรองท็อปกับตัวท็อปผมว่าห่างกันไม่มาก
ส่วนราคาของ Xiaomi Mi5 รุ่น Ram 3 GB ผมได้มาที่ราคา 18,000 บาทครับ แพงกว่าราคาที่จีนพอสมควร แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
สเปค Xiaomi Mi5
- ระบบปฏิบัติการ MIUI 7 (Android 6.0 Marshmallow)
- หน้าจอ IPS ขนาก 5.15 นิ้ว ความละเอียด Full HD
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820
- GPU Adreno 530
- Ram 3 GB
- ความจุ 64 GB ไม่รองรับ Micro SD Card
- รองรับ 4G LTE และรองรับ 2 ซิม
- กล้องหน้าความละเอียด 4 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 2 ไมครอน
- กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล PDAF
- ฝาหลังเป็นแบบ 3D Glass
- มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- แบตเตอรี่ 3000 mAh
- สเปคเต็มๆ Xiaomi Mi5
กล่องของ Xiaomi Mi5 หน้าตาประมาณนี้ครับ เป็นกล่องสีข่าว ด้านหน้ามีรูปตัวเครื่อง Xiaomi Mi5 ทุกสีที่มีขาย ได้แก่ สีขาว, สีชมพู, สีทอง และสีดำ โดยเครื่องรีวิว Xiaomi Mi5 ที่ผมซื้อมาเป็นตัวเครื่องสีขาว
ด้านหลังกล่องบอกสเปคคร่าวๆ ไว้ ข้อสังเกตของกล่อง Xiaomi Mi5 คือมันมีแรงดูดสูงมาก เวลาแกะกล่องให้ระวังเครื่องหล่นด้วยนะครับ อารมณ์เดียวกับกล่องของ iPhone 6 เลย
อุปกรณ์ในกล่องให้มาเท่าที่เห็น ได้แก่ ตัวเครื่อง, คู่มือภาษาจีน, อแดปเตอร์ (จ่ายไฟได้แรงสุด 2.5A) และสาย USB Type C (อีกด้านเป็น USB Type A ปกติ) ไม่มีหูฟังแถมมาให้ ตามสไตล์มือถือ Xiaomi เพราะพี่แกขายหูฟังแยกนั่นเอง
มาดูตัวเครื่อง Xiaomi Mi5 กันบ้าง สัมผัสแรกที่ผมได้จับตัวเครื่องก็คือมันเบามาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ iPhone 6s Plus ที่ใช้ประจำ และตัวเครื่องยังมีขนาดเล็กกว่า ทั้งๆ ที่หน้าจอก็มีขนาดต่างกันไม่มาก เนื่องจากขอบจอของ Xiaomi Mi5 เรียกว่าบางจนเกือบจะไร้ขอบเลยทีเดียว
ปุ่มโฮมตรงกลางของ Xiaomi Mi5 ติดเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ การปลดล็อกทำได้รวดเร็วมาก ตัวปุ่มโฮมจะเป็นแบบปุ่มกด 2 สเต็ป แบบแรกคือการแตะ แบบที่สองคือการกด ซึ่งทั้งสองแบบมีค่าเท่ากัน ยกเว้นการปลดล็อกตัวเครื่องขณะที่หน้าจอปิดอยู่ อันนี้ต้องใช้การกดในการปลดล็อกเท่านั้น (เหมือนกับ iPhone) ด้านข้างปุ่มโฮมทางขวามือเป็นปุ่มย้อนกลับ ส่วนทางซ้ายมือเป็นปุ่ม Recent App แต่เราสามารถตั้งค่าให้เป็นปุ่มเมนูก็ได้เช่นกัน โดยปุ่มกดทั้งสองจะมีไฟ LED คอยบอกตำแหน่ง
ด้านบนหน้าจอก็เหมือนมือถือรุ่นอื่นๆ ทั่วไป คือประกอบไปด้วยลำโพงสำหรับสนทนาโทรศัพท์, กล้องหน้าความละเอียด 4 ล้านพิกเซล
ด้านข้างของ Xiaomi Mi5 ใช้วัสดุเป็นโลหะ ให้สัมผัสใกล้เคียงกับ Samsung Galaxy S7 แล้วก็มีอินฟาเรดสำหรับใช้งานเป็นรีโมทคอนโทรล เพราะว่า Xiaomi เองก็เป็นผู้ผลิตโทรทัศน์ด้วย
หนึ่งไฮไลท์ในส่วนของการออกแบบ Xiaomi Mi5 อยู่ที่ฝาหลังกระจกโค้ง 3D Glass ครับ ความโค้งนี่ช่วยให้เราจับถือมือถือได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ด้านหลังก็จะเรียบๆ มีกล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล OIS 4 แกน แล้วก็แฟลช LED แบบ Dual Tone
ตัวเครื่องด้านหลังแบบเต็มๆ ก็ตามนี้ครับ แล้วก็ใครที่กังวลเรื่องปัญหาความร้อน บอกเลยว่าร้อนในระดับหนึ่งเวลาที่รันหนักๆ เช่น เปิดกล้อง, เล่นเกม และชาร์จไฟ โดยความร้อนสูงสุดจะอยู่ที่ 41 องศา แต่ก็มีการระบายความร้อนที่รวดเร็วใช้ได้
ด้านระบบปฏิบัติการ Xiaomi Mi5 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ MIUI 7.0 ที่มีพื้นฐานมาจาก Android 6.0 Marshmallow เท่าที่ได้ใช้งานมาเป็นเวลาประมาณ 1 วันก็พบบั๊กบ้างประปราย แต่ที่หนักสุดคือเครื่องสั่นไม่หยุดตอนใส่ซิมครั้งแรกนี่แหละครับ แต่ปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ก็หายนะ ส่วนกล้องถ่ายรูปทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ผมทดสอบไปแค่การถ่ายรูปในที่แสงน้อยก็ทำออกมาได้น่าพอใจทีเดียว ติดแค่ปัญหาเรื่อง White balance ยังเพี้ยนๆ บ้าง โหมดกล้องมีให้เลือกเล่นเยอะพอสมควร
รายละเอียดเต็มๆ ของ Xiaomi Mi5 ทั้งการทดสอบด้านประสิทธิภาพ, ตัวอย่างภาพถ่าย และการใช้งานอื่นๆ ไว้รออ่านได้จากบทความรีวิว Xiaomi Mi5 ทางหน้าเว็บไซต์เราได้ครับ แต่ขอเวลาผมลองเล่นเครื่องก่อนนะ คาดว่าไม่เกินอาทิตย์หน้าได้อ่านแบบเต็มๆ แน่นอน