หลังจากเปิดตัวรุ่นบนไปแล้ว ก็ถึงคราวของรุ่นเก่ง ในช่วงราคาถนัดอย่าง realme 7 Pro กันบ้าง แน่นอนว่าครั้งนี้ก็จับเทคโนโลยีที่เคยอยู่ในรุ่นเรือธงมาใส่ให้เหมือนเช่นเคย กับระบบชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ที่จ่ายไฟเต็ม 100% ในเวลาเพียง 34 นาที และยังเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกในโลกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสำหรับโทรศัพท์มือถือจาก TÜV Rheinland ว่าแต่ระบบชาร์จเร็วจะเป็นยังไง ประสิทธิภาพโดยรวมดีแค่ไหน เลื่อนลงไปอ่านรีวิว realme 7 Pro กันได้เลยครับ
สเปค realme 7 Pro
- ชิปประมวลผล Snapdragon 720G Kyro 465 octa-core 8nm ความเร็วสูงสุด 2.3 GHz (Cortex-A76 + Cortex-A55)
- GPU Adreno 618
- RAM 8GB LPDDR4x dual-channel
- พื้นที่เก็บข้อมูล 128GB UFS 2.1
- รองรับการเพิ่มความจุด้วย microSD Card 256GB
- หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว 20:9 ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080) อัตราส่วนพื้นที่หน้าจอ 90.8%
- หน้าจอแสดงความสว่างได้สูงสุด 600nits และช่วงสี 98% NTSC
- ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบด้วย realme UI
- กล้องหลัง 4 ตัว รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K/ 30fps
- กล้องหลัก 64MP f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX682 ขนาดใหญ่ถึง 1/1.73 นิ้ว
- กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP f/2.3 มุมกว้าง 119 องศา
- กล้องมาโคร 2MP f/2.4 ระยะโฟกัสใกล้ที่สุด 4cm.
- กล้อง B&W Portrait 2MP f/2.4
- กล้องหน้าใต้หน้าจอ 32MP f/2.5 มุมกว้าง 85 องศา รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุด 1080p/ 30fps
- ระบบเสียง Dolby Atmos และลำโพงคู่แบบ Stereo
- ใส่ได้ 2 นาโนซิม 4G + 4G Dual standby ถาดซิมแบบ 3-Card Slot
- แบตเตอรี่ 4500 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ผ่านช่อง USB-C
- ชาร์จไฟจาก 0 – 100% เต็มใน 34 นาที และสามารถชาร์จไป เล่นไปได้
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ Goodix พร้อมปลดล็อกด้วยใบหน้า
- รองรับ Wi-Fi 5 (802.11a/b/g/n/ac)
- Bluetooth 5.0
- สเปคเต็ม ๆ realme 7 Pro
- ราคาเปิดตัว 10,990 บาท
สเปคโดยรวมของ realme 7 Pro เมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนในช่วงราคาใกล้เคียงกัน แม้จะไม่ได้โดดเด่นกว่าในเรื่องของการประมวลผล แต่ถ้าเป็นเรื่องการชาร์จเร็วนี่จัดว่ายืนหนึ่ง เพราะรุ่นนี้ใส่เทคโนโลยีการชาร์จระดับสูงที่เคยพบได้แค่ในสมาร์ตโฟนเรือธง ด้วยตัวอะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟได้ 65W SuperDart Charge ชาร์จไฟจาก 0 – 100% เต็มใน 34 นาที อีกทั้งเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของรุ่นนี้ก็เป็นแบบ Dual 3C Cells ที่แบ่งแบตเตอรี่ออกเป็น 2 ก้อน เพื่อให้รองรับการชาร์จเร็วอีกด้วย
Design – การออกแบบตัวเครื่อง
ดีไซน์ตัวเครื่อง realme 7 Pro บริเวณด้านหน้ามีจุดเด่นตรงที่เป็นหน้าจอแบบเกือบเต็ม กล้องหน้าถูกวางไว้ตรงตำแหน่งมุมซ้ายบนของหน้าจอ ส่วนลำโพง และเซ็นเซอร์อื่น ๆ จัดวางไว้บริเวณขอบด้านบนได้อย่างแนบเนียน ด้านล่างก็มีคางนิดหน่อย อัตราส่วนหน้าจอต่อพื้นที่ทั้งหมดคิดเป็น 90.8% กระจกหน้าจอ Gorilla Glass รวมถึงหน้าจอก็ติดตั้งฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่แรก
หน้าจอ Super AMOLED ของ realme 7 Pro มีขนาดหน้าจอ 6.4 นิ้ว Full HD+ ก็ให้สีสันที่สวยงาม ภาพสว่างสู้แสงกลางแจ้งได้ (เร่งสุดได้ถึง 600nits) เหมาะกับการรับชมคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ คลิปวิดีโอ หรือภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ส่วนการแสดงผล หน้าจอรุ่นนี้รองรับการแสดงขอบเขตสี 98% มาตรฐาน NTSC
ฝาหลังมีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ Mirror Silver และ Mirror Blue (สีเครื่องรีวิว realme 7 Pro ในบทความ) ทั้งสองสีได้รับแรงบันดาลใจจากแสงสะท้อนในธรรมชาติรอบตัว ผ่านกรรมวิธีผลิตด้วยเทคโนโลยี AG เพิ่มความพรีเมียม และที่สำคัญคือดูแลรักษาง่าย เนื่องจากเป็นฝาหลังแบบด้าน ไม่เก็บรอยนิ้วมือ ตัวฝาหลังดีไซน์ให้มีความโค้งมน จับถือตัวเครื่องได้สะดวก
ฝั่งด้านล่างของเครื่องก็จะมีพอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ ประกอบไปด้วย ช่องรับเสียงของไมค์สนทนา ช่อง USB-C ช่องลำโพง และพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ส่วนฝั่งซ้ายก็จะมีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ 3 Card Slots สำหรับ 2 ซิมการ์ด กับอีก 1 microSD Card (ความจุสูงสุด 256GB) ส่วนฝั่งขวาก็มีเพียงปุ่ม Power
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็จะมีเข็มจิ้มถาดซิม เอกสารคู่มือ เคส TPU อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ 65W SuperDart Charge และสายชาร์จแบบ USB-C ที่อีกปลายเป็น USB-A จุดสังเกตตรงด้านในขั้วต่อจะเป็นสีเหลืองครับ
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ แม้ตัวเครื่องจะไม่ได้ระบุว่าผ่านมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP Rated แต่ก็มาพร้อมกับความสามารถในการป้องกันละอองน้ำถึง 3 ชั้น ประกอบไปด้วย กาวกันน้ำ, ซิลิโคนเจลกันน้ำบริเวณช่องหูฟัง กับพอร์ต USB Type-C และกรอบกันน้ำ เพื่อป้องกันน้ำเข้าสู่ตัวเครื่องผ่านช่องว่างเล็ก ๆ เช่น ถาดใส่ซิม ข้อต่อต่าง ๆ
Software – ระบบปฏิบัติการ
เครื่องรีวิว realme 7 Pro ตอนที่ผมได้เครื่องมานั้น มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบมาด้วย realme UI ที่ทำออกมาให้ใช้งานได้ง่าย ส่วนแอปติดเครื่องมาก็มีให้มาพอสมควร ทั้ง Facebook, Lazada และก็แอปของทาง realme อีกนิดหน่อย โดยพื้นที่เก็บข้อมูลของตัวเครื่องที่ให้มาตามสเปค 128GB นั้นใช้งานสบาย ๆ
นอกจากนี้ realme UI ยังมาพร้อมกับ Dark Mode ที่เปลี่ยนโทนสีหน้าจอให้เข้มขึ้น รวมถึงเปลี่ยนหน้าการตั้งค่าให้เป็นพื้นหลังสีดำ ตัวหนังสือสีขาว เหมาะกับการใช้งานตอนกลางคืน เพราะคุมให้แสงหน้าจอไม่จ้าจนเกินไป
ส่วนการจัดการภาพถ่าย ซอฟต์แวร์ realme UI มีการจัดหมวดหมู่รูปภาพและวิดิโออัจฉริยะ สามารถจดจำ และจัดหมวดหมู่ไฟล์โดยอัตโนมัติ มากกว่า 84 หมวดหมู่ เพื่อจัดกลุ่มให้เป็นระเบียบ ง่ายต่อการค้นหา เพิ่มความรวดเร็วในการใช้งาน รวมถึงฟีเจอร์อย่างการเลือก Templates เฉพาะตัว เพื่อเพิ่มความสนุกและเพลิดเพลินในการแต่งภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ realme UI ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น
- Dual Mode Music Share – สามารถเชื่อมต่อหูฟ้งไร้สายได้พร้อมกัน 2 เครื่อง
- 3-Finger Selected Screenshot – ใช้ 3 นิ้วแตะค้างไว้ที่หน้าจอ เพื่อแคปหน้าจอ
- Personal Information Protection – ระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัว
- การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ได้แก่
- การประมวลผล – ระยะเวลา App Booting ลงลด 25% ความลื่นไหลเพิ่มขึ้น 20%
- แบตเตอรี่ – อายุการใช้งานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น 10%; ลดการใช้พลังงานเมื่อเปิดสแตนด์บายข้ามคืน 35%
- ประสิทธิภาพการทำงาน – ลดความดีเลย์ระบบสัมผัส 35% ประสิทธิภาพการเล่นเกมเพิ่มขึ้น 20%
Feature – ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
เริ่มจากการปลดล็อกตัวเครื่อง รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอจาก Goodix พร้อมตัวกรองแสง ที่ช่วยเปลี่ยนจากแสงสีเขียว เป็นแสงสีขาว เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และความปลอดภัยในการสแกนลายนิ้วมือ หรือถ้าใครไม่ถนัด จะใช้การสแกนใบหน้าในการปลดล็อกก็ได้เช่นกัน
ในส่วนของระบบเสียง มาพร้อมกับระบบลำโพงคู่แบบ Stereo รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ Hi-Res Sound Quality เวลารับชมคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ Youtube หรือรับชม NetFlix ก็จะให้อรรถรสที่สมจริงมากกว่า จากการที่ใช้ลำโพงคู่ ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงก็ถือว่าทำได้ดีครับ และมีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรให้ใช้งานอีกด้วย
ประสิทธิภาพและการเล่นเกมบน realme 7 Pro
ด้วยชิปประมวลผลอย่าง Qualcomm Snapdragon 720G ทำความเร็วได้สูงสุดที่ 2.3 GHz กับ RAM 8GB LPDDR4x ส่งผลให้ภาพรวมในการใช้งาน รวมถึงการเล่นเกมทำออกมาได้ดีเยี่ยม สามารถเล่นเกมบน Play Store ได้ทุกเกม แต่ก็ต้องอาศัยการปรับตั้งค่าที่เหมาะสมในบางเกมด้วย
ในรีวิว realme 7 Pro ผมทดสอบด้วยการเล่นเกม PUBG Mobile ซึ่งกราฟิกที่ปรับได้สูง เฟรมเรตสูง ทำงานผ่าน Game Space ที่ช่วยจัดสรรทรัพยากรระบบให้สามารถเล่นเกมได้ดีขึ้น ภาพที่ได้ก็ไหลลื่น ไม่มีอาการกระตุกแต่อย่างใด เช่นเดียวกับเกม CoD Mobile และ RoV ที่เล่นได้อย่างลื่นไหลไม่มีกระตุกในโหมดเฟรมเรตสูง 60 fps
ส่วนการใช้งานทั่วไป สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย นอกเหนือจากการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานโซเชียลมีเดีย Facebook, Instagram, Twitter ใช้ในการทำงาน เปิดเอกสาร อ่าน E-Book หรือจะเป็นการรับชมภาพยนตร์ผ่าน NetFlix, HBO Go รวมถึง Youtube ก็รองรับที่ความละเอียดระดับสูง และสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล
แบตเตอรี่ และการชาร์จไฟ
หนึ่งในจุดเด่นของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ กับการมาพร้อมระบบชาร์จไฟ 65W SuperDart Charge (10V / 6.5A) ที่ไม่เพียงชาร์จไฟแบตเตอรี่ 4500 mAh จาก 0 – 100% เต็มใน 34 นาที แต่ยังรองรับการชาร์จไป เล่นไป หากเป็นการเล่นเกมพร้อมกับชาร์จไฟ ที่ CPU ทำงานอย่างหนัก ในเวลา 30 นาที จะสามารถชาร์จไฟได้ถึง 43% รวมถึงความปลอดภัยในการชาร์จไฟ ด้วย 10 เซ็นเซอร์ในการตรวจจับอุณหภูมิ NTC Thermistor เพื่อปรับกำลังชาร์จได้โดยอัตโนมัติ การป้องกัน 5 ขั้นตอนตั้งแต่อะแดปเตอร์ ไปจนถึงตัวเครื่อง ได้แก่
- อะแดปเตอร์ป้องกันการจ่ายไฟเกินกำลัง
- การป้องกันขณะชาร์จเร็ว
- ป้องกันการโอเวอร์โหลดอินเทอร์เฟซ
- ป้องกันกระแสไฟเกินและแรงดันไฟฟ้าเกิน
- การป้องกันขณะรวมแบตเตอรี่
ความลับในการชาร์จเร็วของรุ่นนี้ อยู่ที่การออกแบบแบตเตอรี่ที่ไม่เหมือนสมาร์ตโฟนปกติทั่วไป โดยใช้แบตเตอรี่แบบ Dual 3C Cells ที่เป็นการแบ่งอัตราส่วนของแบตเตอรี่ออกเป็น 2250 mAh จำนวน 2 ก้อน อัดไฟด้วยอะแดปเตอร์ 10V 6.5A ภายใต้การควบคุมของอัลกอริธึมการชาร์จเร็ว มีการใช้วงจรอัดประจุเพื่อลดแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่แต่ละเซลล์ลงครึ่งหนึ่ง เพื่อไม่ให้อุณหภูมิตัวเครื่องสูงมากเกินไปเวลาที่ทำการชาร์จไฟ
ส่วนเรื่องการจัดการพลังงาน ด้วยแบตเตอรี่ความจุสูง 4500 mAh ในการใช้งานจึงสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน แม้จะมีการเล่นเกมค่อนข้างเยอะ อย่างการเล่นเกม PUBG Mobile 3 เกม จะใช้พลังงานไปประมาณ 13% เท่านั้น ถือว่ารุ่นนี้มีทั้งแบตเตอรี่ความจุสูง และยังมีการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยมอีกด้วย
Camera – กล้องถ่ายรูป
กล้องหลัง realme 7 Pro มีด้วยกันทั้งหมด 4 กล้อง ประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์รับภาพความละเอียดสูง 64MP Sony IMX682 พร้อมกับกล้อง Ultra wide-angle 8MP 119 องศา กับกล้องมาโคร 2MP ถ่ายได้ใกล้สุด 4 เซนติเมตร และกล้องตัวสุดท้ายเป็นเลนส์ Portrait 2MP พร้อมฟิลเตอร์ B&W
เรื่องกล้องหลักที่ความละเอียดสูงถึง 64MP ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดของไฟล์ภาพนะครับ เพราะว่าถ้าถ่ายด้วยโหมดออโต้ตามปกติ ระบบจะประมวลผลในการรวมพิกเซล (Pixel Binning) แล้วบันทึกภาพลงมาเหลือที่ความละเอียดระดับ 16MP เท่านั้น ซึ่งข้อดีของการรวมพิกเซลแบบนี้ก็คือการรับแสง การเก็บรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ของภาพจะทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม มีขนาดพิกเซลใหญ่ถึง 1.6 μm ส่วนถ้าต้องการถ่ายรูปแบบใช้ความละเอียดเต็ม ๆ 64MP (ในโหมด Pro) ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างภาพซูม 2x ด้วยเซ็นเซอร์ 64MP รุ่นที่ 2 (Sony IMX682)
ถ่ายกลางคืนระยะ 1x
อีกหน้าที่ของกล้อง 64MP นอกจากจะใช้ถ่ายในมุมระยะปกติแล้ว ยังถูกใช้ในการซูมภาพอีกด้วย อย่างการซูม 2x จะเป็น Digital Zoom ที่ผมมองว่าไฟล์ภาพจากการซูมก็คมชัดไม่แพ้พวกเลนส์ซูมออปติคัล สามารถนำภาพซูม 2x ไปใช้งานต่อได้สบาย ๆ แม้จะเป็นการถ่ายภาพซูมตอนกลางคืนก็ตาม
สรุปสั้น ๆ ว่าในการใช้งานทั่วไป ผมมองว่าไฟล์ภาพ 16MP ที่ได้จากการรวมพิกเซลนั้นเพียงพอต่อการใช้งานมากกว่า 90% แล้วครับ ไฟล์ใหญ่พอที่จะอัพลงโซเชียลมีเดีย หรือต่อให้เอาไปล้างรูปผมว่าก็เกินพอ
ภาพเปรียบเทียบระยะระหว่างเซ็นเซอร์หลัก กับกล้องมุมกว้าง
โหมดถ่ายภาพที่น่าสนใจอย่าง Nightscape หรือโหมดกลางคืน โดยปกติโหมดดังกล่าวจะเป็นการถ่ายกลางคืนแบบที่ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ถูกอัพเกรดฟีเจอร์เพิ่มขึ้นมาอย่าง Pro Nightscape ที่สามารถปรับความเร็วชัตเตอร์, WB, ISO ได้เอง รวมถึงฟิลเตอร์กลางคืน 3 ตัว ได้แก่ Modern Gold, Cyberpunk และ Flamingo ก็เป็นลูกเล่นที่ทำให้การถ่ายภาพกลางคืนมีความแตกต่างจากปกติมากขึ้น
ภาพถ่ายด้วยโหมดกลางคืน + ฟิลเตอร์
ฟิลเตอร์กลางคืน Cyberpunk
ฟิลเตอร์กลางคืน Modern Gold
ฟิลเตอร์กลางคืน Flamingo
นอกเหนือจากโหมดกลางคืนที่เพิ่มฟิลเตอร์มาให้ใช้งานแล้ว ยังมาพร้อมกับโหมดใหม่อย่าง Starry Mode ที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายดาวโดยเฉพาะ มีการใช้ AI เข้ามาช่วยในการประมวลผลภาพถ่าย ในการใช้งาน แค่จับตัวเครื่องใส่เข้ากับขาตั้งกล้อง เปิด Starry Mode และหาท้องฟ้าที่มืดไม่มีแสงไฟรบกวน ที่เหลือปล่อยให้ AI เป็นคนจัดการให้ทั้งหมดได้เลย
เปรียบเทียบระหว่างโหมดปกติ (ซ้าย) และโหมดกลางคืน (ขวา)
ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 32MP มาพร้อมกับโหมด HDR, AI Beauty หรือจะเป็น Super Nightscape Selfie ที่ใช้กล้องหน้าถ่ายกลางคืนก็ทำได้เช่นกัน โดยรวมสำหรับภาพกล้องหน้าก็ให้โทนสีผิวที่สมจริง โหมด AI Beauty มีความฉลาด การทำ Bokeh กล้องหน้าถือว่าเนียนทีเดียว
สำหรับการถ่ายวิดีโอ จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันระหว่างกล้องหน้ากับกล้องหลัง โดยกล้องหน้าจะรองรับที่ความละเอียดสูงสุด 1080p / 30fps และ 1080p / 120fps Slo-mo มีฟีเจอร์ในการเบลอฉากหลังเมื่อถ่ายวิดีโอ พร้อมกันสั่นแบบ UIS Video
ส่วนวิดีโอกล้องหลังจะบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K / 30 fps และ 1080p / 120fps Slo-mo มีระบบกันสั่นวิดีโอทั้งแบบ UIS และ UIS Max และฟีเจอร์ Real-time Bokeh Effect Video สร้างโบเก้ได้แบบเรียลไทม์ เห็นขณะถ่ายเลยว่าฉากหลังละลายมากน้อยเพียงใด
ในการถ่ายวิดีโอตอนกลางคืน รุ่นนี้มาพร้อมกับ Pro Nightscape Video ที่เพิ่มความคมชัด เพิ่มความสว่างให้กับวิดีโอในที่แสงน้อย แต่จะมีข้อสังเกตเมื่อใช้โหมดดังกล่าว ความสามารถในการกันสั่นภาพจะลดลงจากปกติเล็กน้อย และยังมีโหมด AI Color Portrait Video ที่สามารถดูดสีฉากหลังแยกจากตัวแบบได้อย่างแนบเนียน เป็นอีกลูกเล่นที่ทำให้การถ่ายวิดีโอมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตามในการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลัง ผมแนะนำว่าให้ตั้งค่าความละเอียดไว้ที่ 1080p / 30 fps น่าจะเหมาะสมที่สุดครับ เพราะสามารถใช้งานฟีเจอร์วิดีโอต่าง ๆ ได้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการซูม, การสลับเลนส์ไปใช้ Ultra wide-angle รวมถึงระบบกันสั่นทั้ง Ultra Steady และ Ultra Steady Max
สรุปภาพรวมในรีวิว realme 7 Pro
ภาพรวมของรีวิว realme 7 Pro กับการเป็นสมาร์ตโฟนราคาหมื่นนิด ๆ ผมมองว่ารอบนี้ทำราคาออกมาได้ดีทีเดียว เพราะรุ่นนี้ใส่สเปค และฟีเจอร์ต่าง ๆ มาให้ครบครัน โดยเฉพาะเรื่องการชาร์จไฟที่ต้องบอกว่าสุดจริง ๆ กับระบบชาร์จ 65W SuperDart Charge ชาร์จเต็ม 100% ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงหน่อย ๆ กับแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh เทคโนโลยี Dual 3C Cells ที่ใช้งานได้ยาวนาน
อีกทั้งชิปประมวลผลอย่าง Snapdragon 720G, RAM 8GB LPDDR4x, ROM 128GB UFS 2.1 ก็ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไป รวมถึงการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี วัสดุ งานออกแบบก็ทำได้สวยงาม ส่วนเรื่องกล้อง ตัวเซ็นเซอร์ 64MP รุ่นที่ 2 ให้คุณภาพของรูปถ่ายที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของการซูม และการถ่ายภาพกลางคืน
ข้อสังเกตหลังจากที่ผมพบระหว่างทำการรีวิว realme 7 Pro จะว่าไปเมื่อเทียบกับราคา 10,990 บาท หลาย ๆ อย่างที่มีให้ก็ถือว่าสมราคา บางอย่างเกินราคาด้วยซ้ำไป (โดยเฉพาะเรื่องการชาร์จ) แต่ก็มีจุดเด่นบางอย่างที่หายไปจากรุ่นก่อนหน้า เช่น หน้าจออัตรารีเฟรช 90Hz ที่ถูกทดแทนด้วยพาแนลแบบ Super AMOLED เป็นต้น
สำหรับรายละเอียดเพิ่ม และข้อมูลโปรโมชั่น ราคา realme 7 Pro สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Facebook realme TH และ realme.com/th