สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ของทาง OPPO ในรุ่น OPPO Reno4 กับสโลแกน “Cleary the best you” เป็นอีกรุ่นที่น่าจับตามองในช่วงราคาหมื่นต้น ๆ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูป เนื่องจากรุ่นนี้มาพร้อมกับนวัตกรรมเด็ด ๆ เพื่อการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายกลางคืน รวมถึงภาพพอร์ตเทรตหรือการถ่ายภาพบุคคล ว่าแต่จะเด็ดอย่างไรนั้น เลื่อนลงไปอ่านรีวิว OPPO Reno4 ได้เลยครับ
สเปค OPPO Reno4
- หน้าจอ Dual Punch-Hole AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด Full HD+
- ชิปเซ็ต Snapdragon 720G
- RAM 8GB (LPDDR4x)
- ROM 128GB
- กล้องหลัง 4 ตัว
- กล้องหลัก 48MP IMX586 f/1.7
- Ultra Wide-angle 8MP f/2.2
- Macro 2MP f/2.4
- Mono 2MP
- กล้อง 32MP IMX616 + AI- enhanced Smart Sensor
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Hidden Fingerprint Unlock 3.0
- แบตเตอรี่ 4,015 มิลลิแอมป์ รองรับชาร์จไว 30W VOOC 4.0
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 7.2 บนพื้นฐาน Android 10
- ราคาเปิดตัว 11,990 บาท
- สเปคเต็ม ๆ OPPO Reno4
รีวิว OPPO Reno4 – ดีไซน์ การออกแบบตัวเครื่อง
เครื่องรีวิว OPPO Reno4 ที่ทีมงาน SpecPhone.com ได้รับมานั้น เป็นสี Galactic Blue ที่มาพร้อมกับฝาหลังดีไซน์แบบ Reno Glow ให้สัมผัสที่แตกต่างไปจากเดิม อีกทั้งยังทำให้ตัวเครื่องจับถือสะดวก เนื่องจากเป็นพื้นผิวแบบด้าน เมื่อรวมกับการออกแบบตัวเครื่องที่มีความบาง และเบา ยิ่งทำให้การใช้งานสมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
- อ่านเพิ่มเติม: พรีวิว OPPO Reno4
ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 165 กรัม เมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนหลายรุ่นในท้องตลาด ถือว่ามีความเบากว่ามากพอสมควร ต่อให้ใส่เคสด้วยก็ยังถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่มีน้ำหนักเบาอยู่ดีครับ ส่วนเรื่องความบางนั้นอยู่ที่ 7.7 มิลลิเมตร เมื่อรวมกับเข้าหน้าจอแบบ Dual Punch-hole ขนาด 6.4 นิ้ว ที่จอเต็มพื้นที่ด้านหน้า จึงส่งผลให้ขนาดตัวเครื่องโดยรวมไม่ใหญ่จนเกินไป
สำหรับหน้าจอ AMOLED มีความละเอียดที่ระดับ Full HD+ และด้วยความที่เป็นหน้าจอประเภท AMOLED จึงแสดงสีสันได้สดกว่าหน้าจอปกติทั่วไป ยังไม่รวมถึงโหมดปรับแต่งสีหน้าจอที่มีให้เลือกทั้งปกติ และโหมดสีสด ที่ทำให้การรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ด้วยสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ได้อรรถรสเพิ่มขึ้นไปอีก
สัดส่วนของหน้าจอสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ เมื่อเทียบกับพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด คิดเป็น 90.7% เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีพื้นที่อื่น ๆ เลยนอกจากหน้าจอ บรรดาเซ็นเซอร์ด้านหน้าถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบ Dual Punch-Hole ที่ฝังกล้องความละเอียด 32MP กับ AI -enhanced Smart Sensor ที่ออกแบบมาเพื่อการควบคุมแบบไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ
Camera – กล้องถ่ายรูป OPPO Reno4
กล้องถ่ายรูปถือเป็นไฮไลต์เด็ดของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ครับ เริ่มจากการใส่ฮาร์ดแวร์คุณภาพสูงในกล้องหลัง 4 ตัว ประกอบไปด้วย
- กล้องหลัก 48MP IMX586 เซ็นเซอร์ขนาด 1/2 นิ้ว f/1.7
- กล้องมุมกว้าง Ultra wide-angle 8MP
- Macro Camera 2MP
- Mono Camera 2MP
เซ็นเซอร์หลัก 48MP ในรุ่นนี้เลือกใช้เป็น IMX586 เซ็นเซอร์ที่เมื่อก่อนถูกใช้ในสมาร์ตโฟนเรือธงหลายรุ่น หนึ่งในนั้นก็คือ OPPO Find X2 ที่ใช้เซ็นเซอร์ตัวนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของคุณภาพของรูปถ่ายถือว่าไว้ใจได้เลยครับ ฮาร์ดแวร์มาดีแล้ว แต่ส่วนตัวผมมองว่าทีเด็ดของรุ่นนี้อยู่ที่ฟีเจอร์ต่าง ๆ ในการถ่ายภาพ ที่มีให้เลือกใช้มากมาย
AI Color Portrait
โหมดแรกที่น่าสนใจในเรื่องการถ่ายภาพด้วย OPPO Reno4 ได้แก่ AI Color Portrait (ฟิลเตอร์ลำดับที่ 8) เมื่อกดใช้จะเป็นการไฮไลต์เฉพาะตัวบุคคลทันที ด้วยการเฟดสีพื้นหลังให้เป็นขาวดำ สามารถแสดงผลได้ทันทีขณะที่เล็งกล้อง รองรับการทำงานทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ แนะนำให้ใช้โหมดนี้กับการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสด ๆ หน่อย จะทำให้ตัวแบบเด่นขึ้นมากทีเดียวครับ
วิธีการใช้งาน AI Color Portrait ให้เข้าไปที่เมนูกล้องถ่ายภาพ > Portrait Mode (รูปคน) > Filter > AI Color Portrait (ฟิลเตอร์ลำดับที่ 8)
Night Flare Portrait
สมาร์ตโฟนในปัจจุบัน หลายรุ่นมาพร้อมกับโหมดกลางคืน แต่ข้อจำกัดหนึ่งของโหมดกลางคืนก็คือ ถ่ายคนออกมาค่อนข้างแย่ แต่ไม่ใช่กับ Night Flare Portrait ที่อยู่ใน OPPO Reno4 ที่เป็นการรวม Portrait Mode เข้ากับ Low Light HDR และอัลกอริทึม Bokeh เห็นกระบวนการเยอะแยะแบบนี้ ในการใช้งานจริง ผู้ใช้แค่เลื่อนไปที่ฟิลเตอร์ลำดับที่ 9 ในโหมด Portrait เท่านี้เป็นอันเรียบร้อย
ในการถ่ายภาพด้วย Night Flare Portrait กล้องของ OPPO Reno4 จะเริ่มจากการปรับพื้นหลังให้มีความโปร่งแสง และเบลอดวงไฟต่าง ๆ ให้เป็นโบเก้อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นทำการเพิ่มสีสันของภาพให้มีความสดมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้ภาพถ่ายบุคคลในที่แสงน้อยมีความคมชัด สว่าง เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลกับแสงไฟบนท้องถนน หรือบริเวณที่มีการจัดไฟเยอะ ๆ
วิธีการใช้งาน Night Flare Portrait ให้เข้าไปที่เมนูกล้องถ่ายภาพ > Portrait Mode (รูปคน) > Filter > Night Flare Portrait (ฟิลเตอร์ลำดับที่ 9)
Ultra Night Selfie Mode
โหมดถ่ายกลางคืนในกล้องหน้า 32MP โดยในโหมดดังกล่าวจะช่วยให้ภาพถ่ายมีความสว่าง และคมชัดมากยิ่งขึ้นทั้งตัวบุคคล รวมถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ มีการใช้ AI เข้ามาช่วยในการประมวลผลภาพถ่าย เหมาะกับการถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยมาก ๆ หรือการเซลฟี่กับแสงไฟนีออน
ข้อสังเกตของโหมดดังกล่าวคือ หากไม่ใช้สภาพแวดล้อมที่แสงน้อยมากจริง ๆ การใช้ Ultra Night Selfie Mode จะทำให้ภาพสว่างจนเกินไปครับ แนะนำว่าให้ใช้แค่โหมดรูปคน หรือโหมดปกติก็ถ่ายออกมาได้สว่างเพียงพอแล้ว เนื่องจากกล้องหน้า OPPO Reno4 ใช้เซ็นเซอร์ IMX616 ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ถึง 1/2.74 นิ้ว
นอกจากโหมดถ่ายกลางคืนด้วยกล้องหน้า Ultra Night Selfie Mode ยังมีตัวเลือกอื่น ๆ อย่างฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกใช้อีกมากมาย รวมถึง Portrait Mode ด้วยกล้องหน้า ที่ปรับใบหน้าให้สวยงาม และทำฉากหลังให้เป็นโบเก้
การถ่ายภาพกลางคืน
การถ่ายภาพในที่แสงน้อย นอกเหนือจากโหมดกลางคืนแล้ว หากเป็นบริเวณที่แสงน้อยมากจริง ๆ (ความสว่างน้อยกว่า 1 lux) Ultra Dark Mode จะทำงานโดยอัตโนมัติ โหมดนี้จะเป็นการเพิ่มความคมชัด และความสว่างของรูปภาพจากที่ตามองไม่เห็น ให้เห็นรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน แต่ก็ต้องแลกมากับปริมาณ Noise ที่สูงกว่าโหมดกลางคืนครับ
เปรียบเทียบระหว่างปิด – เปิด Ultra Dark Mode
Ultra Clear 108MP Image
ถึงแม้เซ็นเซอร์หลักจะมีความละเอียดที่ 48MP แต่ถ้าต้องการถ่ายภาพความละเอียดสูงมาก ๆ เพื่อมาใช้งานต่อ ก็สามารถเลือกใช้โหมด Ultra Clear 108MP Image ที่จะทำให้ได้ภาพถ่ายที่ความคมชัดสูงสุดถึง 108MP ด้วยการใช้อัลกอริทึมแบบพิเศษ ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดในรูปภาพได้มากกว่าโหมดปกติทั่วไป แต่ก็จะมีขนาดไฟล์ที่ค่อนข้างใหญ่ และใช้เวลาในการถ่ายนานพอสมควร
960fps AI Slow-motion
OPPO Reno4 สามารถถ่ายวิดีโอแบบ Slow-motion ได้สูงสุดที่ 960fps ด้วยอัลกอริทึมตรวจจับการเคลื่อนไหวอัจฉริยะ ที่รับรู้ได้ว่ามีวัตถุกำลังเคลื่อนไหว และเลือกทำ Slow-motion ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ยังรองรับการถ่ายวิดีโอสโลโมชั่นที่ 480fps @1080p, 240fps @720p และ 120fps @1080p ในกล้องหลัง ส่วนกล้องหน้าจะรองรับการถ่ายวิดีโอเซลฟี่แบบสโลโมชั่นที่ 240fps @720p และ 120fps @1080p อีกด้วย
AI Color Portrait Video + Monochrome Video
สำหรับ AI Color Portrait Video จะทำงานแบบเดียวกับการถ่ายภาพนิ่ง ก็คือทำการเฟดฉากหลังให้เป็นสีขาวดำ และเน้นไฮไลต์ที่ตัวบุคคลโดยเฉพาะ ในการใช้งานถือว่าแยกสีตัวแบบกับฉากหลังได้เนียนทีเดียวครับ แต่แนะนำว่าให้ตัวแบบพยายามมองกล้องไว้ตลอดการถ่ายวิดีโอ จะช่วยให้การเฟดสีออกมาเนียนมากยิ่งขึ้น
ส่วน Monochrome Video จะคล้าย ๆ กับ AI Color Portrait Video แต่จะแยกเป็นฟิลเตอร์วิดีโอ 3 สี และจะทำการไฮไลต์เฉพาะวัตถุที่มีสีตามฟิลเตอร์ที่เลือก
- Crimson – ไฮไลต์เฉพาะวัตถุสีแดง และผิวของบุคคล
- Forest Green – ไฮไลต์เฉพาะวัตถุสีเขียว
- Sky Blue – ไฮไลต์เฉพาะวัตถุสีฟ้า
ตัวอย่างการใช้งาน Monochrome Video เช่น ตัวแบบใส่กางเกงสีน้ำเงิน ผูกโบว์สีน้ำเงิน ถ่ายวิดีโอริมทะเลด้วยฟิลเตอร์ Sky Blue หรือถ่ายวิดีโอท่ามกลางต้นไม้ด้วยฟิลเตอร์ Forest Green เป็นต้น
Ultra Steady Video 3.0
โหมดกันสั่นวิดีโอใน OPPO Reno4 มีด้วยกันถึง 3 โหมด ได้แก่ Front Steady Video ที่ใช้ระบบกันสั่นแบบ EIS ในกล้องหน้า ทำให้สามารถถ่าย VLOG ได้สบาย ๆ รองรับการทำงานร่วมกับฟิลเตอร์, วิดีโอ Bokeh, AI Beauty และรองรับวิดีโอกล้องหน้าที่ความละเอียดสูงสุด 30fps @1080p
Ultra Steady Video โหมดกันสั่นที่ใช้งานบนเซ็นเซอร์หลัก ช่วยให้การถ่ายวิดีโอนิ่งโดยที่ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง หรือการต่อสมาร์ตโฟนเข้ากับกิมบอล เหมาะกับการเดินถ่ายวิดีโอปกติทั่วไป ที่ผู้ถ่ายไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเร็วมาก ๆ
Ultra Steady Video Pro เป็นโหมดกันสั่นวิดีโอที่ทำงานโดยใช้กล้องมุมกว้าง Ultra wide-angle นอกจากจะได้มุมมองที่กว้างกว่าโหมดปกติแล้ว ยังให้ความนิ่งที่มากกว่า เหมาะกับการถ่ายวิดีโอที่ผู้ถ่ายต้องการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เช่น การวิ่ง หรือการเล่นกีฬา แต่จะมีข้อสังเกตในเรื่องคุณภาพของวิดีโอยังไม่เท่าโหมด Ultra Steady Video ที่ถ่ายด้วยเซ็นเซอร์หลัก
SoLoop – แอปตัดต่อวิดีโออัจฉริยะ
ไม่เพียงแค่ถ่ายวิดีโอได้เป็นอย่างดี และมีลูกเล่นแพรวพราวในการถ่ายวิดีโอ แต่ใน ColorOS 7.2 ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชั่นสำหรับการตัดต่อวิดีโอ SoLoop ที่ช่วยให้การตัดต่อวิดีโอ หรือรูปภาพสะดวกมากยิ่งขึ้นด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว มีเอฟเฟ็กต์วิดีโอ รวมถึงสามารถตัดต่อวิดีโอตามทำนองเพลง และมี Template ให้เลือกใช้มากมาย
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยโหมด Auto
AON – AI-enhanced Smart Sensor
กล้องหน้าอีกตัวจะเป็นเซ็นเซอร์ AON (AI-enhanced Smart Sensor) ที่ช่วยในเรื่องการใช้งานให้ผู้ใช้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเซ็นเซอร์ดังกล่าวมีหน้าที่หลัก ๆ ดังนี้
Smart Spying Prevention เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวร่วมกับการสแกนใบหน้า หากสมาร์ตโฟนตรวจจับว่ามีคนอื่นแอบมองขณะใช้งาน จะซ่อนการแจ้งเตือน, ข้อความ รวมถึงการแจ้งเตือนแบบแบนเนอร์ทันที ทำให้คนอื่นไม่สามารถแอบดูแชทได้
การเปิดใช้งาน: Settings > Notifications & status bar > Manage notifications > Anti-peeping
Smart AirControl เป็นการสั่งการสมาร์ตโฟนโดยที่ไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ ผ่านท่าทางต่าง ๆ ในการโบกมือ สามารถรับสาย หรือเลื่อนหน้าจอแอปพลิเคชั่นที่รองรับอย่าง Youtube, Facebook, Instagram และ Tiktok
วิธีเปิดใช้งาน: Settings > Convenient Tools > Gestures & Motions > Air Gestures > Air answer/Air scroll
Smart Rotation เคยเจอปัญหาเวลานอนเล่นมือถือ แล้วหน้าจอหมุนไปเรื่อยไหมครับ ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะเฟีเจอร์ Smart Rotation ที่ใช้ AI-enhanced Smart Sensor และ อัลกอริทึมจดจำท่าทาง โทรศัพท์จะทำการวิเคราะห์ตำแหน่งใบหน้าผู้ใช้กับการวางตัวเครื่อง เพื่อพิจารณาว่าจะทำการหมุนหน้าจอหรือไม่
Smart Always-on หน้าจอจะไม่เข้าสู่โหมดพักหน้าจอในขณะที่ตรวจจับว่าผู้ใช้กำลังใช้งานโทรศัพท์ เช่น เปิดดูรูป หรืออ่านเว็บไซต์ เป็นต้น
รีวิว OPPO Reno4 – ประสิทธิภาพและการจัดการพลังงาน
สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลที่ให้ประสิทธิภาพสูงอย่าง Snapdragon 720G ที่เทคโนโลยีการผลิต 8 นาโนเมตร ให้ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 46% ในส่วนของการประมวลผล Single Core และประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 26% ในส่วนของ Multi-core มาพร้อมกับ RAM 8GB LPDDR4x และความจุในตัวเครื่อง 128GB UFS 2.1
สำหรับการเล่นเกม จากที่ได้ทดสอบกับหลาย ๆ เกมที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น Garena Free Fire, ROV, PUBG Mobile หรือจะเป็นเกมออฟไลน์กินสเปคอย่าง Asphalt 9 ก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล แม้จะปรับตั้งค่าในระดับสูงก็ตาม
ด้านแบตเตอรี่และการจัดการพลังงาน สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4,015 mAh แม้ตัวเครื่องจะมีความบาง และเบามากกว่าสมาร์ตโฟนหลายรุ่นในท้องตลาดก็ตาม สามารถใช้งานได้นานตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องพกแบตเตอรี่สำรอง นอกจากนี้ยังมีโหมดประหยัดพลังงาน Super Power Saving ที่ทำให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานมากขึ้น และยังมีโหมด Super Nighttime Standby ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานตอนนอน แบตเตอรี่จะลดไปเพียง 2% ภายในเวลา 8 ชั่วโมง
ส่วนเรื่องการชาร์จไฟ รุ่นนี้มาพร้อมระบบชาร์จ 30W VOOC 4.0 ที่จ่ายไฟได้แรงสุด 5V/ 6A ชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ภายในเวลา 57 นาที และชาร์จไฟได้ 50% ภายในเวลาเพียง 20 นาที
ระบบปฏิบัติการ ColorOS 7.2
OPPO Reno4 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบด้วย ColorOS 7.2 มีการปรับแต่งให้สมาร์ตโฟนทำงานได้อย่างลื่นไหลขึ้น ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วย AI App Preloading ที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้ใช้จะเลือกเปิดแอปพลิเคชั่นอะไร และทำการเรียกใช้งานล่วงหน้า ส่งผลให้การเรียกแอปทำได้รวดเร็วมากขึ้น หรืออย่าง Anti-Fragmentation Engine ที่ทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่นไหลแม้จะใช้งานมาเป็นเวลานาน
ด้านความบันเทิง รุ่นนี้รองรับการสตรีมภาพยนตร์ NetFlix แบบ 1080p และยังมาพร้อมเอฟเฟ็กต์เสียง Dolby Atmos ที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการรับชมภาพยนตร์ การฟังเพลง หรือการเล่นเกม และยังมีฟีเจอร์ OSIE Ultra Clear Visual Effect ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการแสดงผลในวิดีโอสั้น เช่น Instagram, Tiktok ให้มีสีสันที่สดมากขึ้น ลด Noise และเพิ่มความอิ่มตัวของวิดีโอ
สรุปภาพรวม รีวิว OPPO Reno4
สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ผมบอกเลยว่ารุ่นนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นอนครับ ในช่วงราคาหมื่นต้น ๆ (OPPO Reno4 ราคา 11,990 บาท) ส่วนตัวผมมองว่ารุ่นนี้ถ่ายรูปสนุกมาก ทั้งฮาร์ดแวร์กล้องคุณภาพสูง รวมถึงซอฟต์แวร์และฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ใส่มาให้มากมาย โดยเฉพาะการถ่ายภาพคน หรือภาพบุคคลนี่มีลูกเล่นใหม่ ๆ เพียบ
ส่วนเรื่องสเปค ด้วยชิปประมวลผล Snapdragon 720G + RAM 8GB LPDDR4x และความจุ 128GB แบบ UFS 2.1 ทำให้การใช้งานลื่นไหล เล่นเกมได้สบาย ๆ แม้จะปรับตั้งค่าระดับสูง รวมถึงการจัดการพลังงานที่อยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว อีกทั้งยังรองรับระบบชาร์จเร็ว 30W VOOC 4.0 ที่ชาร์จไฟเต็ม 100% ภายใน 57 นาที