เข้าสู่ยุค 5G อย่างเป็นทางการของ OPPO ด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟนพร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ OPPO Find X2 Pro 5G สีใหม่ Green Vegan Leather Edition, OPPO Reno4 Z 5G และรุ่นที่อยู่ในรีวิว OPPO Reno4 Pro 5G สมาร์ตโฟน 5G ที่ถ่ายวิดีโอได้ดีที่สุด พร้อมดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Reno Glow อันเป็นเอกลักษณ์ กับค่าตัว 24,990 บาท จะเป็นอย่างไร เลื่อนลงไปอ่านรีวิวได้เลยครับ
สเปค OPPO Reno4 Pro 5G
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว HDR 10+ ความละเอียด Full HD+ รีเฟรชเรท 90Hz
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G 7nm
- GPU Adreno 620
- RAM 12GB LPDDR4x
- ROM 256GB แบบ UFS 2.1 ไม่รองรับ microSD Card
- กล้องหลัง 3 ตัว
- กล้องหลัก 48MP f/1.7, OIS เซ็นเซอร์ Sony IMX586
- Ultra Night Wide-angle Video 12MP f/2.43 มุมกว้าง 120 องศา เซ็นเซอร์ Sony IMX708
- Telephoto 13MP f/2.4 รองรับการซูม 5x Optical Zoom
- กล้องหน้าความละเอียด 32MP f/2.4
- ระบบเสียงลำโพงคู่สเตอริโอ, Dolby Atmos
- ปลดล็อกตัวเครื่องด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้า + สแกนใบหน้า
- การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.1, Wi-Fi 2.4 + 5GHz
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับชาร์จไว 65W SuperVOOC 2.0
- ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบด้วย ColorOS 7.2
- ราคา 24,990 บาท
สเปคโดยรวมของ OPPO Reno4 Pro 5G หากพูดกันตรง ๆ ก็เหมือนการยกชุดกล้องหลังของรุ่นเรือธง OPPO Find X2 5G มาใส่ในสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลัก 48MP IMX586 + กล้องมุมกว้าง Ultra Night 12MP IMX708 และเลนส์ Telephoto 13MP แต่รุ่นนี้จะใช้ชิป Snapdragon 765G + RAM 12GB ที่เป็นชิปรุ่นรองแทนครับ
รีวิว OPPO Reno4 Pro 5G – กล้องถ่ายรูประดับโปร พร้อมเลนส์ Ultra Night Wide-angle Video
เรื่องแรกที่ต้องพูดถึงก่อนเลยก็คือชุดกล้องหลักของ OPPO Reno4 Pro 5G ที่มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว แต่ที่ดูจะเป็นไฮไลต์ที่สุดคือการมาพร้อมกับเลนส์ Ultra Night Wide-angle Video 12MP หรือเป็นเลนส์มุมกว้าง Ultra wide-angle นี่ล่ะครับ แต่ต้องอธิบายก่อนว่า ปกติแล้วเลนส์มุมกว้างในสมาร์ตโฟนทั่วไป มักจะมีข้อดีแค่ในเรื่องการถ่ายได้มุมกว้างกว่าปกติ ส่วนเรื่องคุณภาพของรูปถ่ายนั้น บางรุ่นถ่ายกลางคืนออกมาภาพเป็นวุ้น ๆ ไม่คมชัด เทียบกับเลนส์หลักไม่ได้เลย
แต่เลนส์ Ultra Night Wide-angle Video 12MP นั้นแตกต่างออกไป เพราะเลือกใช้เซ็นเซอร์ที่คุณภาพสูงอย่าง Sony IMX708 ที่มีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ถึง 1/ 2.43 นิ้ว และขนาดพิกเซล 2.8 ไมครอน (ด้วยเทคโนโลยี Pixel Binning) และเป็นมุมมองอัตราส่วน 16:9 (FOV 120 องศา) ตรงนี้เลยทำให้เหมาะกับการถ่ายวิดีโอเป็นอย่างมาก เพราะได้อัตราส่วนของวิดีโอ 16:9 แบบไม่ต้องครอปภาพ
ด้านการถ่ายวิดีโอ รุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์กันสั่น Ultra Steady Video 3.0 ที่ให้ความนิ่งแม้จะถ่ายด้วยมือเปล่า โดยมีระดับของการกันสั่นดังนี้
- Ultra Steady Video Pro: เป็นการกันสั่นที่นิ่งที่สุด ถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง Ultra Night Wide-angle IMX708 ให้อัตราส่วนวิดีโอ 16:9 แบบ Native
- Ultra Steady Video: เป็นการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลัก 48MP IMX586 ที่มีกันสั่น OIS + EIS ให้ความนิ่งในระดับเดินถ่ายสบาย ๆ ไม่ต้องเกร็งมือ และยังได้ความคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน
- Front Steady Video: ไม่เพียงถ่ายวิดีโอได้นิ่งในกล้องหลัง แต่กล้องหน้า 32MP ของ OPPO Reno4 Pro 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์กันสั่น ที่ใช้งานร่วมกับวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือวิดีโอที่เปิด AI Beauty ได้ทั้งความละเอียด HD 720p และ Full HD 1080p ที่ 30fps
ตัวอย่างวิดีโอกล้องหน้าในโหมด Front Steady Video
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Live HDR ที่สามารถถ่ายวิดีโอแบบ HDR ได้อีกด้วย ส่วนความคมชัดของวิดีโอกล้องหลัง รุ่นนี้ถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps และถ่ายวิดีโอกล้องหน้าได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD 30fps
สำหรับคนที่ต้องการถ่ายวิดีโอในอัตราส่วน 21:9 แบบ Cinematic สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ก็มาพร้อมกับโหมดเฉพาะทางอย่าง Movie หรือโหมดภาพยนตร์ ที่จะบันทึกวิดีโออัตราส่วนเริ่มต้น 21:9 และสามารถปรับตั้งค่าต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น White Balance, EV, ISO, Speed Shutter ไปจนถึงโหมดโฟกัสแบบ Manual
ส่วนใครที่ถ่ายวิดีโอไว้เยอะ ๆ แล้วเลือกไม่ถูกว่าจะอัพวิดีโอไหนลงโซเชียล OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับตัวช่วยอย่างแอปพลิเคชั่น SoLoop แอปตัดต่อวิดีโออัจฉริยะ ที่มาพร้อมกับลูกเล่น Movie Filter, One-Tap Beat Making และ Smart Editing ที่ใช้ AI ในการเลือกภาพและวิดีโอ จากนั้นตัดต่อ พร้อมใส่เพลงให้เรียบร้อย
ชุดกล้องหลัง Triple LDAF Camera ความละเอียดสูงสุด 48MP พร้อมเลนส์ครบช่วง
พูดถึงการถ่ายวิดีโอไปแล้ว มาต่อกันที่การถ่ายภาพนิ่ง เริ่มที่เซ็นเซอร์หลัก 48MP IMX586 นี่ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก ด้วยชื่อชั้นเซ็นเซอร์ระดับเรือธง ให้ทั้งความคมชัด และคุณภาพรูปถ่ายที่ดีมาก ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยส่วนตัวหากถ่ายตอนกลางคืนที่ไม่ได้มืดมาก ผมว่าไม่ต้องเปิดโหมดกลางคืน Ultra Night Mode ก็ยังได้ครับ
จากที่ได้ลองเล่นเครื่องรีวิว OPPO Reno4 Pro 5G ผมว่ารุ่นนี้เป็นสมาร์ตโฟนที่ถ่ายภาพกลางคืนด้วยเลนส์มุมกว้างได้ดีรุ่นหนึ่ง ไม่เจอปัญหาภาพไม่คม เป็นวุ้น ๆ และที่สำคัญ ผมว่าคุณภาพของเลนส์มุมกว้าง Ultra Night Wide-angle นี่ถ่ายกลางคืนได้คุณภาพคมชัดพอ ๆ กับเลนส์หลัก 48MP เลยล่ะ เรื่องความบิดเบี้ยวตามขอบภาพก็มีการแก้ไขให้เรียบร้อย ถูกใจสาย Landscape แน่นอน
เปรียบเทียบระหว่างมุมปกติ และถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง
ด้านการซูมภาพ ด้วยเลนส์ Telephoto 13MP มาพร้อมระยะการซูมแบบ 5x Optical Zoom และซูมได้ไกลสุด 20x Digital Zoom โดยรวมถือว่าให้ระยะมาครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ทั้งการถ่ายระยะปกติ, ถ่ายกว้างด้วยเลนส์ Ultra wide และถ่ายซูมด้วยเลนส์ Telephoto ไปจนถึงการถ่ายใกล้สุด ๆ ด้วย Macro Mode
ถ่ายด้วยเลนส์ซูม 5x Optical และระยะ 2x Zoom
ส่วนจุดดำข้าง ๆ กล้อง เป็นตำแหน่งของเซ็นเซอร์ LDAF หรือเลเซอร์ช่วยโฟกัส ที่ทำให้กล้องของ OPPO Reno4 Pro 5G โฟกัสได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว แม้จะเป็นการถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็ตาม
โหมด Auto ซ้าย | Ultra Dark Mode ขวา
สำหรับโหมดถ่ายรูปที่น่าสนใจของรุ่นนี้ คงหนีไม่พ้นโหมดกลางคืนแบบพิเศษ Ultra Night Mode ที่นอกจากจะถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้คมชัด และสว่างมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องแล้ว ยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายในที่แสงน้อย Ultra Dark Mode ที่ต่อให้มืดระดับตามองไม่เห็น แต่ OPPO Reno4 Pro 5G ก็สามารถถ่ายออกมาให้พอเห็นรายละเอียดในภาพถ่ายได้ครับ อย่างไรก็ตาม การถ่าย Ultra Dark Mode ผู้ใช้จะไม่สามารถกำหนดเองได้ แต่ตัวกล้องจะทำการวิเคราะห์สภาพแสงรอบข้าง ถ้าเป็นที่มืดจริง ๆ ถึงจะเปิดใช้โหมดดังกล่าว
กล้องหน้า 32MP พร้อม AI Portrait
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 32MP โหมด AI Beauty, AI Portrait สามารถถ่ายเซลฟี่แบบโบเก้ได้ และยังมาพร้อมกับอัลกอริธึม Ultra Steady Video ถ่ายวิดีโอแบบนิ่ง ๆ ด้วยกล้องหน้าได้อีกด้วย
ฟิลเตอร์กล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่าย
ภาพถ่ายด้วยโหมด AI Portrait
Battery – แบตเตอรี่และการจัดการพลังงาน
อีกหนึ่งจุดเด่นของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ก็คือเรื่องระบบชาร์จไฟ ที่เล่นใหญ่ในระดับ 65W SuperVOOC 2.0 ระบบชาร์จเดียวกับรุ่นเรือธง ใช้เวลาเพียง 15 นาที สามารถชาร์จไฟได้ถึง 60% และใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในเวลาเพียง 36 นาทีเท่านั้น โดยเทคโนโลยีชาร์จดังกล่าวมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้แรงดันไฟฟ้าต่ำ อีกทั้งมีเทคโนโลยีในการป้องกันอันตรายจากการชาร์จไฟในทุกขั้นตอน รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิขณะทำการชาร์จไฟให้ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไป สามารถเล่นไปชาร์จไปได้
ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ เห็นเป็นสมาร์ตโฟนดีไซน์บาง ๆ แบบนี้ แต่ให้แบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4,000 mAh ในการใช้งาน จากที่ได้ทดสอบกับเครื่องรีวิว OPPO Reno4 Pro 5G พบว่ารุ่นนี้สามารถใช้งานหมดวันได้สบาย ๆ โดยที่ไม่ต้องพกแบตเตอรี่สำรอง หรือถ้ามีการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน การชาร์จไฟระหว่างวันแค่ 10 นาที ก็ได้แบตเตอรี่กลับมาถึง 48% เลยทีเดียว
ในกรณีฉุกเฉินที่แบตเตอรี่ใกล้หมด ก็ยังมีฟีเจอร์ Super Power Saving Mode ที่จะปรับรูปแบบการใช้งานเป็นหน้าจอพื้นหลังสีดำ ลดความเร็วของ CPU เพื่อให้ประหยัดพลังงานมากที่สุด โดยในโหมดดังกล่าว ต่อให้แบตเตอรี่เหลือเพียง 5% ก็สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 60 นาที
Performance – ประสิทธิภาพและการประมวลผล
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G ที่รองรับการใช้งาน 5G Dual-mode ทั้งแบบ 5G SA (Standalone) และ 5G NSA (Non Standalone) มีเสาอากาศรอบทิศทาง 360 องศา การจับสัญญาณ 5G ในเมืองทำได้ดี เช่นเดียวกับความเร็วในการเชื่อมต่อ ทดสอบด้วย Speed Test ก็ให้ความเร็วระดับ 300 Mbps ขึ้นไป ส่วนการใช้งานทั่วไปก็เห็นผลชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่า ping ที่ต่ำเมื่อเล่นเกม หรือจะเป็นการรับชมวิดีโอสตรีมมิ่ง Youtube, NetFlix ที่แทบจะไม่ต้องรอ Buffer
ด้านการเล่นเกม ด้วยชิปเซ็ตรุ่นนี้ กับ RAM 12GB ทำให้ OPPO Reno4 Pro 5G สามารถเล่นเกมได้แทบทุกเกมที่มีให้โหลดบน Google Play Store แต่ในส่วนของการปรับตั้งค่า จะมีบางเกมที่ถูกล็อกเฟรมเรต (เช่น PUBG Mobile ปรับเฟรมเรตได้แค่ Ultra = 40fps) ด้วยข้อจำกัดของชิปเซ็ต แต่ก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการหน่วงให้เห็น ส่วนเกมอื่น ๆ ก็เล่นได้ 60fps
เกมที่ผมทดสอบกับเครื่องรีวิว OPPO Reno4 Pro 5G ประกอบไปด้วย RoV, PUBG Mobile, Call of Duty Mobile และเกมใหม่ล่าสุดอย่าง LoL Wild Rift ก็สามารถเล่นได้ทุกเกมแบบปรับตั้งค่าระดับสูง ส่วนการตอบสนองหน้าจอทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราการตอบสนองหน้าจอแบบ 180Hz Touch Sampling Rate
การเชื่อมต่อของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ นอกเหนือจากการรองรับ 5G ในประเทศไทยทันทีตั้งแต่แกะกล่องแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 5 (2.4 GHz + 5 GHz) และ Bluetooth 5.0 อีกด้วย
Entertainment – ความบันเทิง
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอ E3 AMOLED แบบโค้ง 3D ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ อัตรารีเฟรชหน้าจอ 90Hz ให้ความลื่นไหลในการทัชสกรีน มีอัตราความไวในการสัมผัสหน้าจอ หรือ Touch Sampling Rate สูงถึง 180Hz ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และหน้าจอยังได้รับการรับรองจาก TUV Rheinland ว่าปล่อยแสงสีฟ้าในระดับต่ำ ไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา
ด้านความสว่างหน้าจอของรุ่นนี้ สามารถเร่งแสงหน้าจอได้สูงสุดถึง 1,100 nits สามารถใช้งานกลางแจ้งได้สบาย ๆ และได้รับการรับรอง HDR 10+ ทำให้สามารถรับชม Youtube แบบ HDR, รับชม NetFlix ได้ที่ความละเอียด Full HD
ลำโพงของรุ่นนี้เป็นแบบ Stereo หรือลำโพงคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ให้อรรถรสทั้งในการฟังเพลง, รับชมภาพยนตร์ ไปจนถึงการเล่นเกม
Design – การออกแบบตัวเครื่อง
เครื่องรีวิว OPPO Reno4 Pro 5G ที่ผมได้รับมาเป็นตัวเครื่องสี Galactic Blue ที่มาพร้อมกับดีไซน์แบบ Reno Glow วัสดุด้านหลังตัวเครื่องเป็นแบบผิวด้าน ไม่เก็บรอยนิ้วมือ ดูแลรักษาง่าย การไล่เฉดของสีฝาหลังเป็นการไล่เฉดระหว่างสีฟ้าและสีเงิน พร้อมตัวอักษร Reno Glow ส่วนอีกสีจะเป็นสีดำ Space Black ที่มาพร้อมกับฝาหลังแบบมันวาว และลวดลาย OPPO monogram
ตัวเครื่อง OPPO Reno4 Pro 5G มีความบางเพียง 7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 172 กรัม เมื่อรวมกับฝาหลังที่ออกแบบให้มีความโค้งเล็กน้อย ทำให้การจับถือตัวเครื่อง การใช้งานมีความคล่องตัวสูง และเห็นตัวเครื่องบาง ๆ แบบนี้ นอกจากแบตเตอรี่ใหญ่ 4,000 mAh แล้ว ยังมีแผงระบายความร้อน VC ที่บริเวณด้านหลังอีกด้วย
ข้อสังเกตของรุ่นนี้ บริเวณฝาหลังจะมีกล้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้งาน เพราะหากใส่เคส TPU ที่ให้มาในกล่อง ก็จะมีส่วนที่ป้องกันเลนส์กล้องได้พอดี
พอร์ตเชื่อมต่อของ OPPO Reno4 Pro 5G ใช้พอร์ตแบบ USB Type-C ในการชาร์จไฟและเชื่อมต่อข้อมูล ไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ส่วนถาดใส่ซิมการ์ดรุ่นนี้เป็นแบบ Dual Slot ไม่รองรับ microSD Card แต่ด้วยความจุในตัวเครื่องที่สูงถึง 256GB จึงเพียงพอต่อการใช้งาน โดยที่ไม่ต้องพึ่งการเพิ่มความจุในตัวเครื่องครับ
Software – ระบบปฏิบัติการ
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ ColorOS 7.2 ที่มีพื้นฐานบน Android 10 หากเป็นผู้ที่ใช้งาน OPPO Smartphone อยู่แล้วก็แทบจะไม่ต้องปรับตัวมาก ด้วยหน้า UI ที่ใช้งานแบบเดิม ทุกแอปที่ดาวน์โหลดจะใส่ไว้ในหน้า Home ทั้งหมด แต่ก็มีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ Gravity Wallpapers และ AI App Preloading ที่สามารถคาดการณ์พฤติกรรมผู้ใช้ และเปิดแอปไว้ล่วงหน้า ทำให้การเรียกใช้งานแอปพลิเคชันทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ตัวเลือกในการปลดล็อกหน้าจอของรุ่นนี้ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Optical หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็ว ก็สามารถเลือกใช้การปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสแกนใบหน้าได้เช่นกัน
สรุปภาพรวม รีวิว OPPO Reno4 Pro 5G
ภาพรวมของ OPPO Reno4 Pro 5G กับราคา 24,990 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ที่วางจำหน่ายในราคาใกล้เคียงกัน จุดเด่นของรุ่นนี้จะเหนือกว่าในเรื่องของการถ่ายวิดีโอ ที่สามารถบันทึกวิดีโอได้นิ่งมาก และชุดกล้อง 3 ตัวระดับโปร โดยเฉพาะเลนส์ Ultra Night Wide-angle 12MP ที่เรียกได้ว่าเป็นเลนส์มุมกว้างที่ถ่ายภาพได้ดีที่สุด ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอในช่วงราคาดังกล่าวเลยก็ว่าได้
ด้านสเปคอื่น ๆ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ 90Hz ขนาด 6.5 นิ้ว ระบบชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0 ที่ชาร์จไฟเต็มในเวลาครึ่งชั่วโมงหน่อย ๆ รวมถึงดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Reno Glow ในสี Galactic Blue ที่เป็นเอกลักษณ์สุด ๆ และยังรองรับการใช้งาน 5G ในประเทศไทย ทันทีที่แกะกล่องอีกด้วย