Infinix NOTE 40 Pro+ 5G สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากทาง Infinix ที่เปิดตัวมาได้น่าสนใจอย่างมาก เพราะเป็นสมาร์ทโฟนราคาหมื่นต้นตัวแรกในตลาดที่รองรับการชาร์จไร้สาย อีกทั้งยังได้ชาร์จเร็ว 100W พ่วงมาด้วย สมกับสโลแกน “All Round FastCharge ชาร์จเร็วรอบด้านที่เหนือกว่า” แถมสเปคที่ให้มาก็เรียกได้ว่าจัดเต็มไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งตัวเครื่องและการใช้งานจะเป็นอย่างไรเราไปดูกันดีกว่า
สเปคของ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G
- หน้าจอ : Flexible AMOLED (LTPS), ขนาด 6.78 นิ้ว, ความละเอียด 2436 x 1080 พิกเซล (FHD+), Refresh Rate 120Hz, Touch Sampling Rate 1500Hz, PWM Dimming 2160Hz, DCI-P3, ความสว่างสูงสุด 1300 นิต
- ชิปประมวลผล : MediaTek Dimensity 7020 5G (6nm)
- แรม : 12GB LPDDR4x + Virtual RAM สูงสุด 12GB
- หน่อยความจำ : 256GB UFS 2.2
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1 : 108MP, f/1.8, OIS (wide)
- ตัวที่ 2 : 2MP, f/2.4 (macro)
- ตัวที่ 3 : 2MP, f/2.4 (bokeh)
- กล้องหน้า : 32MP, f/2.2 (wide)
- แบตเตอรี่ : 4600mAh ชาร์จเร็ว 100W All Round FastCharge 2.0 และ 20W Wireless MagCharge
- ระบบปฏิบัติการ : XOS14 บนพื้นฐาน Android 14
- การเชื่อมต่อ :
- 5G
- Wi-Fi 5
- Bluetooth 5.3
- GPS, A-GPS
- NFC
- IR Blaster
- ช่องหูฟัง 3.5 มม.
- USB Type-C 2.0
- เซ็นเซอร์ :
- Fingerprint Sensor
- Accelerometer
- Gyro
- Proximity
- Compass
- มาตราฐานกันน้ำ-กันฝุ่น : IP53
- ขนาด : 164.28 x 74.5 x 8.09 มม.
- น้ำหนัก : 196, 109 กรัม
- สี : Obsidian Black, Vintage Green
- ราคา : 11,999 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
มาดูกันที่ตัวเครื่องก่อนเลย โดย Infinix NOTE 40 Pro+ 5G เครื่องนี้จะมาพร้อมหน้าจอโค้งแบบ 3D พาแนล AMOLED ที่มีขนาดหน้าจอแสดงผลอยู่ที่ 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ รองรับอัตรารีเฟรชที่ 120Hz และเพื่อถนอมสายตาเลยมี PWM Dimming สูง 2160Hz ด้วยครับ นอกจากนี้ตัวหน้าจอยังมีความสว่างสูงสุดถึง 1300 นิต ซึ่งมากพอที่จะเอาไปใช้งานกลางแดดได้เลย สำหรับการปกป้องหน้าจอนั้นใช้เป็นกระจก Gorilla Glass 5 ที่มีความแข็งแรง ทนทาน มาช่วยปกป้องหน้าจอ ซึ่งเรื่องสเปคจออาจจะดูไม่ค่อยมีอะไรเด่นมากนัก เพราะจุดเด่นของหน้าจอนี้คือฟีเจอร์ Magic Ring ที่อยู่บนหน้าจอบริเวณกล้องหน้า โดยฟีเจอร์นี้จะทำหน้าที่แสดงทุกการแจ้งเตือนให้เห็นแบบชัดๆ เลย สามารถแจ้งได้ทั้งสถานะการชาร์จ การโทร และอื่นๆ (ใครที่นึกภาพไม่ออกก็ฟีลคล้ายๆ Dynamic Island บน iPhone แค่ราคาเครื่องถูกกว่ามาก)
สำหรับด้านหลังตัวเครื่องนั้นในเรื่องการดีไซน์ทาง Infinix ระบุเอาไว้ว่าได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองที่เราอาศัยอยู่ทุกวันด้วยการออกแบบที่เพียวบางและทันสมันให้เข้าได้กับผู้ใช้งานทุกคนเพื่อสอดรับกับชีวิตสมัยใหม่ ซึ่งตัวเครื่อง NOTE 40 Pro+ 5G รุ่นนี้จะมีมาให้เลือกอยู่ 2 สีคือสีดำ Obsidian Black และสีเขียว Vintage Green โดยเครื่องที่ทางทีมงาน Specphone ได้มาจะเป็นสีเขียว Vintage Green ซึ่งความน่าสนใจของสีเขียว Vintage Green ก็คือฝาหลังที่เป็นหนังวีแกนตัดด้วยข้อความและโมดูลสีทอง ทำให้ดูมีความหรูหราเหนือระดับอย่างมาก
ซึ่งตัวโมดูลสีทองด้านหลังเครื่องเป็นจุดที่ทำให้ตัวเครื่องค่อนข้างเด่นเลยทีเดียว เนื่องจากตัวโมดูลนั้นมีขนาดใหญ่ในระดับที่ใช้พื้นที่ด้านหลังส่วนบนเกือบทั้งหมด และภายในยังมีวงกลมขนาดใหญ่ 4 วงที่ประกอบไปด้วยเลนส์ 3 วง และไฟแฟลชอีก 1 วง ซึ่งตัวไฟแฟลชนี้เป็นหนึ่งในจุดเด่นของรุ่นนี้เลย โดยไฟแฟลชนี้มีชื่อว่า Active Halo ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นไฟแฟลชแล้วยังทำหน้าที่เป็นไฟแจ้งเตือนอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นสายสนทนา, การแจ้งเตือนต่างๆ, การชาร์จ, เกมส์, เพลง หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ แต่ก็ใช่ว่าตัวไฟจะทำงานกับทุกอย่างเลย
โดยในปัจจุบันนี้ทาง Infinix ได้ระบุเอาไว้ว่าไฟ Active Halo นี้จะทำงานเมื่อมีการแจ้งเตือนจาก Facebook / Messenger / Chrome / IG / Gmail / เกม Free Fire / เพลง Youtube Music (ตอนที่ลองเล่นแอปฯ Spotify ไฟก็ติดด้วยนะ)
สำหรับรอบข้างตัวเครื่องนั้นเนื่องจากตัวเครื่องมีดีไซน์ขอบโค้งทั้งหน้าและหลัง ทำให้ขอบเครื่องด้านซ้ายและขวามีความบางมากๆ สำหรับปุ่มทั้งหมดจะรวมกันอยู่ที่ฝั่งขวาซึ่งจะประกอบไปด้วยปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิด-ปิด ที่ขอบด้านบนจะมีลำโพง, IR, ไมโครโฟนตัดเสียง และข้อความที่เขียนว่า “Sound by JBL” อยู่ ส่วนที่ขอบด้านล่างจะมีลำโพง, ไมโครโฟนรับเสียง, พอร์ต USB-C และช่องใส่ซิมอยู่ โดยตัวถาดใส่ซิมจะเป็นแบบ Dual-Slot
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการของ NOTE 40 Pro+ 5G นั้นจะเป็น XOS 14 ที่มีพื้นฐานมาจาก Android 14 ซึ่งทาง Infinix ได้ออกแบบ UI ให้มีความเรียบง่าย สามารถใช้งานได้ง่ายโดยไม่ต้องเรียบรู้เยอะ นอกจากนี้ยังมี AI อัจฉริยะที่สามารถช่วยเหลือเราได้หลายอย่าง แต่ที่พิเศษคือฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน XOS 14 ก็คือฟีเจอร์สร้างวอลเปเปอร์ด้วย AI ซึ่งนี่จะทำให้เราได้วอลเปเปอร์ที่ไม่เหมือนใคร ช่วยสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้เครื่องได้อย่างมากเลย
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
ในเรื่องของการใช้งานนั้น ขอพูดถึงเรื่องการจับถือก่อน โดยตัวเครื่องจะเป็นแบบขอบโค้งทำให้มีขอบเครื่องที่ค่อนข้างบาง ดูแล้วหรูหรา เพียงแต่พอใส่เคสที่ให้มากับตัวเครื่องแล้วมันจะรู้สึกขัดๆ ที่มือเล็กน้อย เนื่องจากตัวเครื่องไม่ได้มีการป้องกันที่ขอบเครื่อง เป็นผลให้ขอบเคสมาโดนที่มือ สำหรับบางคนอาจจะมีรำคาญบ้าง
ในด้านการใช้งานเพื่อความบันเทิงทั้งการเล่นโซเชียลหรือดูหนังก็ทำได้ดี หน้าจอมีความลื่นไหลติดนิ้ว แถมสีสันยังสวยสดอย่างมากด้วย ความรู้สึกคล้ายๆ หน้าจอบนสมาร์ทโฟน Samsung เลย นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับลำโพงคู่ที่ได้รับการปรับแต่งจากทาง JBL ที่ให้เสียงได้ดีเกินกว่าราคาเครื่องพอสมควร
สำหรับเรื่องแบตเตอรี่นั้นตัวเครื่องให้แบตเตอรี่มาที่ 4600mAh ซึ่งจากที่ลองใช้มานั้นสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน สำหรับระยะเวลาในการชาร์จนั้นเราได้ทดลองชาร์จ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ในสภาพแบตหมด (เครื่องบังคับปิด) ด้วยอะแดปเตอร์ชาร์จ 100W ที่มาในกล่อง และชาร์จในโหมด Smart ผลคือใน 10 นาทีแรกนั้นแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 36% และถึง 50% ภายในระยะเวลาแค่ 17 นาทีเท่านั้น ส่วนระยะเวลารวมในการชาร์จจนเครื่องเต็มใช้เวลาไปทั้งสิ้น 46 นาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว แต่ถ้าชาร์จด้วยโหมด Hyper จะเร็วยิ่งว่านี้อีก โดยทาง Infinix เคลมเลยว่าสามารถชาร์จ 50% ได้ภายในเวลาแค่ 8 นาทีเท่านั้น
แต่ที่พิเศษกว่าเครื่องในเรทราคาเดียวกันก็คือรุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายขนาด 20W ด้วย ทว่าในกล่องก็มีการให้แท่นชาร์จแบบแม่เหล็กขนาด 15W มาครับ แต่ๆ ก่อนจะชาร์จไร้สายต้องใส่เคสก่อนนะ เพราะตัว Magnetic นั้นจะอยู่บนเคสครับ ซึ่งจากที่ลองชาร์จดูนั้น 50% ใช้เวลาไปถึง 2 ชั่วโมง 32 นาทีเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะใช้เวลาชาร์จที่ค่อนข้างนานแล้วยังมีเรื่องความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นมาเยอะพอสมควรด้วย
แต่ก็ไม่ต้องห่วงว่าเครื่องจะพังเนื่องจากใน NOTE 40 Pro+ 5G เครื่องนี้มีชิป INFINIX Cheetah X1 มาช่วยจัดการพลังงาน นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีโหมดในการชาร์จถึง 3 รูปแบบเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ด้วยคือ Hyper Mode สำหรับคนที่ต้องการชาร์จเร็ว, Smart Mode สำหรับคนที่อยากได้ชาร์จเร็วแต่ก็อยากถนอมแบตเตอรี่ไปในตัว และ Temp Mode สำหรับคนที่ชาร์จหลังจากเอาไปใช้งานหนักๆ มา แล้วอยากให้เครื่องเย็นลงระหว่างชาร์จ ซึ่งจากที่ลองใช้มานั้นบอกเลยว่าแค่ Smart Mode ก็เพียงพอแล้วจริงๆ
การเล่นเกม
ในเรื่องของการเล่นเกมตัว NOTE 40 Pro+ 5G เครื่องนี้ที่มาพร้อมชิปประมวลผล Dimensity 7020 5G นั้นบอกเลยว่าสามารถเล่นได้ทุกเกม ถึงแม้บางเกมจะไม่สามารถปรับกราฟิกสูงๆ ได้ก็ตาม โดยเกมที่เราลองเล่นจะมี RoV, PUBG mobile และ Genshin Imapct ซึ่งทุกเกมสามารถเล่นได้อย่างสบายๆ เพียงแต่ Genshin Imapct นั้นไม่แนะนำให้ปรับกราฟิกสูง เนื่องจากตัวเครื่องรับไม่ไหว แนะนำเปิดได้มากสุดแค่ระดับต่ำเท่านั้น ทว่าสิ่งที่ประหลาดที่สุดคือเกม RoV ที่สามารถเปิดได้แค่ 45fps เท่านั้น ไม่สามารถเปิด 60fps ได้ โดยคาดว่าน่าจะเป็นการที่ตัวเกมยังไม่ได้ทำการปรับแต่งให้เข้ากับตัวชิป Dimensity 7020 นั่นเอง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างชอบเลยก็คือฟีเจอร์ X-Boost ที่นอกจากจะช่วยรีดประสิทธิภาพตัวเครื่องออกมาแล้ว ยังมีฟีเจอร์ Bypass Charging ที่ช่วยให้สามารถเล่นเกมระหว่างชาร์จได้โดยไม่ต้องกลับแบตระเบิด เพราะตัวเครื่องจะดึงพลังงานมาจากสายโดยตรงไม่ผ่านแบตเตอรี่ และเมื่อใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จแม่เหล็กที่แถมมาให้ก็ทำให้สามารถถือเล่นได้โดยไม่เกะกะมืออีกต่างหาก
การถ่ายภาพ
ในเรื่องของการถ่ายภาพนั้นตัวเครื่องมาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวที่ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 108MP กล้องมาโคร 2MP และกล้องบุคคล 2MP ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียด 32MP โดยตัวกล้องหลังที่เราจะได้ใช้งานจริงๆ จะมีแค่ 2 ตัวเท่านั้น แต่ภาพที่ได้ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเรื่องความคมชัด แสงสี ท้องฟ้า ก็ทำออกมาได้ดี แต่สิ่งที่น่าสนใจคือฟีเจอร์ที่ใส่มาให้ ไม่ว่าจะโหมด FILM หรือโหมด SKY SHOP ก็ทำให้การถ่ายภาพออกมาน่าสนใจไม่น้อย โดยโหมด FILM จะมี Template มาให้เราเลือกประเภทของคลิปที่เราจะถ่าย ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้พอสมควร ส่วนโหมด SKY SHOP นั้นเป็นอะไรที่ผมค่อนข้างชอบ เพราะตัว AI จะสร้างท้องฟ้าขึ้นมาแทนที่ท้องฟ้าเดิมๆ หากตอนที่ถ่ายท้องฟ้ามันเรียบๆ หรือโล่งๆ เราสามารถใช้โหมดนี้เพิ่มความสวยงามให้ท้องฟ้าในภาพได้เลย เพียงแต่โหมดนี้จะค่อนข้างมีปัญหาเวลาถ่ายภาพตอนกลางคืนเนื่องจากตัว AI มักจะหาท้องฟ้าไม่เจอ
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว Infinix NOTE 40 Pro+ 5G
สรุปการรีวิวจากการที่ได้เอาไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นบอกเลยว่า Infinix NOTE 40 Pro+ 5G นั้นเป็นสมาร์โฟนมากความสามารถที่ไม่เหมือนใคร จะดูหนัง เล่นเกม หรือถ่ายรูปก็ทำได้หมด แถมฟีเจอร์บางตัวยังเป็นฟีเจอร์ที่ปกติจะพบได้ในรุ่นระดับเรือธงเท่านั้นด้วย เหมาะสุดๆ เลยสำหรับวัยรุ่น นักศึกษา พนักงานบริษัท หรือ ฟรีแลนซ์ ที่งบไม่เยอะ อยากใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งด้วยค่าตัวเพียง 11,999 บาท กับสเปคที่ให้มา บอกเลยคุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว
สำหรับ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G นั้นจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน เป็นต้นไปทาง Shopee, Lazada, Tiktok Shop, BaNANA, Jaymart, IT City, TG Fone รับฟรี!! ของแถมจำนวนจำกัดมูลค่ารวม 3,198 บาท ที่ประกอบไปด้วย แก้วเก็บความเย็นและลำโพงบลูธูท มูลค่า 1,599 บาทและ MagCase กับ MagCharge มูลค่า 1,599 บาทไปเลย
จุดเด่น
- จ่ายครั้งเดียวได้ทุกอย่างมาครบทั้ง ฟิล์ม, เคส, และแท่นชาร์จไร้สาย
- สเปคที่ให้มาเหนือราคามาก
- ราคาหมื่นต้นแต่ได้หน้าจอโค้งและชาร์จไร้สาย
- ชิป Dimensity 7020 สามารถใช้เล่นเกมได้ทุกเกม แถมควมคุมความร้อนได้ค่อนข้างดี
- ได้ชาร์จเร็วถึง 100W ที่สามารถชาร์จ 50% ได้ภายในเวลาเร็วสุดแค่ 8 นาทีเท่านั้น
- กล้องถ่ายภาพสามารถใช้ถ่ายภาพได้ทุกสภาพแสง
- AI สามารถเสกท้องฟ้าสวยๆ ให้ได้ทันที
ข้อสังเกต
- MagCharge จะไม่สามารถใช้ได้หากปราศจากเคสที่ให้มากับเครื่อง
- ชิป Dimensity 7020 ไม่สามารถปรับกราฟิกสูงได้ในหลายๆ เกม
- การชาร์จไร้สายจะทำให้เกิดความร้อนสะสมสูงและเร็วมาก
- ฟีเจอร์เสกท้องฟ้า หากถ่ายตอนกลางคืน AI จะแยกท้องฟ้ากับตึกไม่ค่อยได้
นอกจากนี้หากใครที่งบไม่เยอะแต่ยังอยากได้สเปคแบบเดียวกันทาง Infinix ยังมี Infinix NOTE 40 Pro 4G เป็นตัวเลือกให้อีกรุ่น ซึ่งสนนราคาค่าตัวเริ่มต้นเพียง 8,999 บาท โดยในรุ่นนี้จะมาพร้อม All Round FastCharge 70W และ 20W Wireless MagCharge เช่นกัน แถมยังได้หน้าจอ 3D Curved AMOLED 120Hz ด้วย บอกเลยคุ้มจัด สำหรับ Infinix NOTE 40 Pro 4G นั้นจะวางจำหน่ายในวันที่ 30 เมษายน ทาง Shopee, Lazada และ Tiktok Shop