เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนต้องเคยประสบปัญหาถ่ายรูปด้วยกล้องมือถือตอนกลางคืนแล้วภาพที่ได้ออกมามืด, Noise ฟุ้ง และอีกหลายๆ ปัญหา อันเกิดจากข้อจำกัดของตัวกล้องมือถือ ไอ้ครั้นจะเปิดแฟลชกล้องมือถือก็จะทำร้ายหน้าคนถูกถ่ายจนเกินไป หรือบางทีก็ทำให้ฉากหลังหายวับไปกับตา เนื่องจากแฟลชของกล้องมือถือจะเป็นการยิงแสงไฟ LED เข้าไปตรงๆ และเป็นแสงที่ค่อนข้างแข็ง ทำให้หลายคนค่อนข้างจะเลี่ยงไม่เปิดแฟลชจะดีกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับภาพถ่ายกลางคืนที่ไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าไหร่นัก
จึงได้มีผู้คิดค้นแฟลชแยกสำหรับมือถือขึ้นมา โดยมีชื่อว่า iBlazr ที่ตอนแรกเป็นโปรเจคระดมทุนใน Kick Starter ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ครั้งแรกที่เริ่มระดมทุนบน Kick Starter ก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จากที่ต้องการระดมทุนจำนวน 58,000 ดอลลาห์ (1.8 ล้านบาท) กลายเป็นได้รับเงินทุนถึง 156,789 ดอลลาห์ (5 ล้านบาท) เรียกว่าได้เพิ่มเกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว?หลังจากที่นำไประดมทุนผ่าน Kick Starter วันนี้ iBlazr มีวางจำหน่ายแล้วมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
และตอนนี้ iBlazr ก็อยู่ในมือทีมงาน SpecPhone เป็นที่เรียบร้อยครับ และเราก็จะมารีวิว iBlazr กัน ว่าสรุปแล้วมันดีหรือไม่ แล้วคุ้มค่ามากแค่ไหนที่จะซื้อมาใช้งาน เริ่มจากตัวแพคเกจของ iBlazr จะอยู่ในกล่องกระดาษหน้าตาประมาณนี้ อ้อ!! ลืมบอกไปว่าแฟลช iBlazr จะมีด้วยกัน 2 รุ่น ครับ คือรุ่นปกติ และรุ่น Premium โดยความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นจะต่างกันที่วัสดุภายนอกเท่านั้น (รุ่นปกติจะเป็นพลาสติก รุ่น Premium จะเป็นโลหะ) ส่วนข้างใน และอุปกรณ์ในกล่องนั้นเหมือนกันหมดครับ สำหรับ iBlazr ที่เรานำมารีวิวนั้นจะเป็นรุ่นปกติ สีขาวครับ
อุปกรณ์ในกล่องจะมีดังนี้ครับ
- แฟลช iBlazr
- สายชาร์จ (ชาร์จผ่าน USB)
- ขาตั้งขนาดเล็ก สำหรับใช้งานกับกล้อง DSLR, Mirrorless
- ซิลิโคนสำหรับกรองแสง
- ถุงผ้า
- คู่มือภาษาอังกฤษ
หน้าตา iBlazr
โดยตัวแฟลช iBlazr จะมีคอนเน็คเตอร์เป็นแจ๊คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร น้ำหนักเบามาก (10 กรัม) หน้าตาก็จะเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีไฟ LED ทั้งหมด 4 ดวงครับ ?โดย iBlazr มีค่าอุณหภูมิแสงอยู่ที่ 5600K ให้แสงมาตรฐานเช่นเดียวกับแฟลชสำหรับกล้องใหญ่?และมีมุมกว้างของแสงที่ 60 องศา ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะใช้งานจริงก็ไม่ได้ไกลมากครับ แต่ถ้าใช้ถ่ายคนก็สบายๆ
ด้านบนของ iBlazr จะมีปุ่ม Power ครับ ปุ่มดังกล่าวนอกจากจะเป็นปุ่มเปิด-ปิด iBlazr แล้ว ยังเป็นปุ่มปรับระดับความแรงของแสงแฟลชได้อีกด้วย โดย iBlazr สามารถปรับแสงสว่างในการถ่ายรูปได้ผ่าน App หรือ ปรับผ่านปุ่มได้ถึง 3 ระดับที่ความแรง 20%, 50% และ 100% (ทางผู้ผลิตเคลมว่า iBlazr ให้แสงสว่างมากกว่าแฟลช iPhone 10 เท่า)
การใช้งาน iBlazr
วิธีการใช้งาน iBlazr กับมือถือก็แค่เสียบ iBlazr เข้ากับช่องเสียบหูฟังครับ แล้วก็กดปุ่ม Power ที่ตัวแฟลช iBlazr โดยการกดปุ่มครั้งแรกจะเป็นการปลุกให้ iBlazr ตืน กดครั้งที่ 2 จะเป็นแสงที่ความแรง 20% กดอีกครั้งก็จะเพิ่มความแรงเป็น 50% , 100% ตามลำดับ และกดครั้งสุดท้ายจะเป็นการปิด iBlazr ครับ
ไฟแฟลชระดับที่ 1
ไฟแฟลชระดับที่ 2
ไฟแฟลชระดับที่ 3 (แรงสุด)
ส่วนตอนที่เราใส่ซิลิโคน ความแรงของไฟก็จะประมาณนี้ครับ ตัวจริงนี่ไฟแรงมาก ผมนี่แสบตาเลย รูปแรกคือไม่ได้เปิด iBlazr
รูปที่สอง เปิดไฟระดับที่ 1 (กดครั้งแรก)
ไฟระดับที่ 2 (กดครั้งที่สอง)
ไฟระดับแรงสุด (กดครั้งที่ 3)
ถ้าเราใช้แอปพลิเคชันกล้องของมือถือก็จะทำได้แค่การให้แสงเหมือนไฟฉายทั่วไป แต่ถ้าจะใช้งานฟังก์ชัน Flash แบบเต็มๆ ต้องโหลดแอปพลิเคชัน iblazr แล้วถ่ายรูปผ่านแอป iblazr ครับ
โดยในแอปพลิเคชัน iblazr เราสามารถควบคุมแฟลช iBlazr ได้เหมือนกับแฟลชกล้องมือถือเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการยิงแสงกระพริบแบบแฟลช หรือจะเปิดไฟค้างไว้ รวมถึงปรับระดับความแรงของแสงไฟได้อีกด้วย
อันดับแรกต้องเสียบ iBlazr กับมือถือก่อนครับ ไม่อย่างนั้นใช้ไม่ได้นะ
โหมดในแอปพลิเคชัน iBlazr จะมีด้วยกัน 3 โหมดครับ เรียงจากซ้ายไปขวาก็ ยิงแบบกระพริบ, เปิดไฟค้างไว้ และโหมดถ่ายวีดีโอ
แต่เท่าที่ผมลองใช้งานกับ iPhone 6 Plus ที่มีช่องเสียบหูฟังอยู่ทางด้านล่าง (ตรงข้ามกับกล้อง) การใช้งานค่อนข้างตะกุกตะกัก และไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ครับ เหมือนแสงไฟยิงไม่ค่อยตรงจุด ผมก็เลยไม่ใช่แอปพลิเคชัน iBlazr แต่เปลี่ยนไปใช้แอปพลิเคชันกล้อง iPhone (แอป Camera ที่ติดมากับ iOS 8 นั่นแหละ) รวมถึงเปลี่ยนวิธีการใช้แฟลชเป็นถือแยก แล้วยิงแฟลชเข้าด้านข้างตัวแบบที่ 45 องศาแทน ผลออกมาค่อนข้างประทับใจมากครับ ได้ภาพที่รายละเอียดครบทั้งตัวแบบและฉากหลัง, แสงค่อนข้างนุ่มนวล, ไม่มีปัญหาตาแดงแน่นอน
อย่างรูปนี้คือถ่ายมืดๆ ก่อน
จากนั้นก็ลองเปลี่ยนเป็นการฉายแฟลชในมุม 45 องศา
แต่ถ้ายิงไฟตรงๆ ก็ประมาณนี้ครับ
หรือจะเซลฟี่ในที่มืด ถ้ามือถือไม่ได้มีแฟลชติดกล้องหน้ามาให้ เราก็แค่หมุน iBlazr มาด้านหน้าเท่านั้นเอง คุณภาพของรูปถ่ายก็ต้องบอกว่าดีกว่าถ่ายแบบมืดๆ แหละครับ แต่ก็ยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นะ
คุณภาพของรูปถ่ายผมว่ายังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นะ
นอกจากใช้งานกับกล้องมือถือแล้ว iBlazr ยังออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับกล้อง DSLR, กล้อง Mirrorless หรือกล้องอะไรก็ได้ที่มีเมาท์แฟลชครับ เนื่องจากในแพคเกจของ iBlazr จะให้ขาตั้งขนาดเล็กมาด้วย วิธีการใช้งานร่วมกับกล้องก็แค่เสียบ iBlazr เข้ากับขาตั้ง แล้วก็เสียบขาตั้งเข้ากับเมาท์แฟลชเป็นอันใช้ได้
โดยการใช้งาน iBlazr กับกล้อง DSLR จะใช้ได้แค่ฟีเจอร์การเปิดไฟแบบปกตินะครับ ไม่สามารถควบคุมให้ยิงเป็นแสงแฟลชแบบกระพริบได้ แต่ก็ถือว่าให้คุณภาพที่ดีกว่าแฟลชติดกล้องแน่นอน เพราะ iBlazr จะให้แสงที่นุ่มนวลกว่านั่นเอง เอาเป็นว่าถ้าอยากได้รูปถ่ายตอนกลางคืนที่สว่างทั้งตัวแบบ และยังอยากเก็บฉากหลังไว้ด้วย แนะนำ iBlazr เลยครับ
ภาพนี้ใช้แฟลชติดกล้อง Sony A6000 จะเห็นเลยว่าตัวแบบเด่นก็จริง แต่ฉากหลังนี่หายหมดเลย นางแบบเราก็ตาหยีด้วยครับ เพราะแฟลชหัวกล้องจะยิงแบบกระพริบ
ภาพนี้ใช้ iBlazr ติดไว้ที่เมาท์แฟลชครับ ความสว่างอาจจะไม่เท่า แต่ก็สามารถเก็บรายละเอียดภาพได้โดยที่ไม่ต้องเร่ง ISO สูงมาก และยังเก็บฉากหลังได้อีกด้วย
ในบางครั้ง เวลาทีมงานไปงานเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ๆ ที่บรรยากาศในงานจะเน้นแสง สีแปลกๆ เช่นแสงสีม่วง, สีเขียว การถ่ายรูปเพื่อทำ Hands-on มือถือในงานจะเป็นเรื่องที่ยากมากครับ เนื่องจากแสงจากไฟในงานทำให้สีของมือถือนั้นๆ เพี้ยนไป อย่างรูปตัวอย่างข้างล่างเป็นการ Hands-on มือถือ OPPO ในงานเปิดตัว OPPO R5, OPPO N3 ครับ ไฟในงานเป็นแสงสีเขียว แถมแฟลชแยกของกล้อง DSLR ดันงอแงอีกต่างหาก ก็ได้ iBlazr นี่แหละครับช่วยชีวิตไว้
สรุป
สำหรับผม iBlazr ถือเป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในโลกมือถือครับ ปกติเราจะเห็นแต่พวกเลนส์เสริมสำหรับกล้องมือถือ แต่ตอนนี้ก็มีแฟลชแยกสำหรับกล้องมือถือออกมาขายกันแล้ว ถ้าพูดถึงความคุ้ม อันนี้ต้องบอกตามตรงว่า ถ้าไม่ได้เน้นถ่ายกลางคืนหรือถ่ายย้อนแสงบ่อยๆ ผมว่า iBlazr ยังไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ครับ ด้วยข้อจำกัดเรื่องการติดตั้งนี่แหละ อย่างมือถือบางรุ่นที่มีช่องเสียบหูฟังอยู่ด้านล่าง (เช่น iPhone 6, iPhone 5, iPhone 5s เป็นต้น) จะใช้งานได้ไม่เต็มความสามารถ ต้องเปลี่ยนไปใช้ในลักษณะการถือแยกเอา ส่วนแอปพลิเคชัน iblazr เท่าที่ลองใช้งานพบว่ามีอาการรวนบ้าง และใช้ใน Android นี่แอปเด้งกันเลยทีเดียว
แต่ถ้ามองในแง่ของการซื้อแฟลชแยกมาใช้กับหลายๆ อุปกรณ์ อันนี้ก็ถือว่า iBlazr ทำได้ดีในระดับราคาของมันที่ 1,890 บาทครับ เนื่องจากแสงไฟที่ iBlazr ให้นี่ก็ถือว่าเป็นแสงไฟที่มีคุณภาพจริงๆ ไม่มีปัญหาตาแดงแน่นอน แถมยังสว่างในชนิดที่ไม่แพ้ไฟแฟลชกล้องใหญ่เลยหล่ะ ถ้าเทียบ iBlazr กับแฟลชติดกล้อง Sony A6000 ที่ผมใช้ประจำ ผมให้ iBlazr ดีกว่าเยอะครับ แถมยังได้เปรียบกว่าแฟลชแยกของกล้อง DSLR ในเรื่องของน้ำหนัก และขนาดที่พกพาได้สะดวกอีกด้วย
ใครที่สนใจ iBlazr ก็สามารถไปหาซื้อกันได้ครับ ตอนนี้มีวางขายหลายที่พอสมควร แต่ถ้าจะเอาง่ายๆ ก็สามารถสั่งซื้อได้ผ่านทาง iTruemart ที่เป็นการซื้อแบบออนไลน์ครับ สั่งซื้อ จ่ายเงิน จากนั้นก็แค่รอของมาส่ง แปบเดียวก็ได้ iBlazr มาใช้งานกันแล้วหล่ะครับ แถมซื้อกับทาง iTruemart นี่จะเหลือราคาเพียง 1,590 บาทเท่านั้นเอง ถูกกว่าไปซื้อข้างนอกแน่นอนครับ คลิกที่รูปได้เลย
ข้อดี
- ขนาดเล็ก พกพาสะดวก
- ให้แสงไฟที่มีคุณภาพ
- แบตเตอรี่ใช้งานได้นานพอสมควร
ข้อสังเกต
- ราคาค่อนข้างแรง (แต่ถ้าเป็นราคาใน iTruemart ก็น่าสนใจอยู่ครับ)
- แอปพลิเคชัน iblazr ค้างบ่อยมากใน Android
- การใช้งานจริงถือเป็นแฟลชแยกจะให้ผลลัพท์ที่ดีกว่า