HUAWEI WATCH FIT 3 สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก HUAWEI ที่มาพร้อมดีไซน์สี่เหลี่ยม พร้อมด้วยความเบาบาง ครอบคลุมทุกฟีเจอร์ด้านสุขภาพแบบจัดเต็ม สามารถใช้งานได้นานสุดถึง 10 วัน และยังรองรับทั้ง Android และ iOS ด้วย เรียกได้ว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบันสุดๆ มาถึงจุดนี้น่าจะสงสัยกันแล้วว่า HUAWEI WATCH FIT 3 นั้นมีดีอะไรบ้าง งั้นเราไปชมกันดีกว่าครับ
สเปคของ HUAWEI WATCH FIT 3
- วัสดุ :
- ตัวเรือน : อะลูมิเนียมอัลลอย
- สาย : หนัง, ไนลอน, ยาง
- สี : ขาว, เทา, ขาว, เขียว, ชมพู, ดํา
- ขนาด : 43.2 × 36.3 × 9.9 มิลลิมเตร
- ความยาวสาย :
- สีขาว (หนัง)และสีชมพู : 120-190 มม
- สีเทา, สีเขียว, สีขาว, สีดํา : 130-210 มม
- น้ำหนัก : 26 กรัม
- หน้าจอ : AMOLED 1.82″, 480 × 408 พิกเซล, 347PPI, พื้นที่หน้าจอ 77.4%, Refresh Rate 60 Hz, ความสว่าง 1,500 nits
- การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 2.4GHz, Bluetooth 5.0 (LE), NFC (มีเฉพาะปุ่มแดง-บอดี้สีเทา เท่านั้น)
- ระบบปฏิบัติการที่รองรับ : Android 8.0 หรือใหม่กว่า | iOS 13.0 หรือใหม่กว่า
- ระบบตรวจจับ :
- เซนเซอร์ IMU แบบ 9 แกน (เซนเซอร์มาตรความเร่ง, เซนเซอร์ไจโรสโคป, เซนเซอร์ Magnetometer)
- เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบออปติคัล
- เซนเซอร์แสงโดยรอบ
- ระดับการกันน้ำ : 5ATM
- แบตเตอรี่ : สูงสุด 10 วัน, 4 วัน เมื่อเปิด AOD
- การชาร์จ : พอร์ตการชาร์จแบบแม่เหล็ก
- ปุ่ม : ปุ่มมงกุฎ, ปุ่มฟังก์ชัน
- ระบบเสียง : มีลำโพงและไมโครโฟนสามารถคุยสายได้
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- HUAWEI WATCH FIT 3
- สายชาร์จ
- คู่มือผู้ใช้ ข้อมูลความปลอดภัย และใบรับประกัน
ดีไซน์ของ HUAWEI WATCH FIT 3
ในเรื่องของดีไซน์นั้น HUAWEI ได้นิยามดีไซน์เอาไว้ว่า Fashion Square ด้วยการดีไซน์ตัวเรือนเป็นสี่เหลี่ยม (ดูคล้ายๆ สักแบรนด์เนอะ) ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนแล้วจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น หน้าจอกว้างขึ้น แต่ก็ยังคงความเบา บาง เอาไว้ได้เช่นกัน โดยในส่วนของวัสดุนั้นตัวเรือนใช้เป็นอะลูมิเนียมอัลลอยที่มีความแข็งแรงทนทาน ดูแล้วมีความแพงในตัวเอง
หน้าจอจะเป็นหน้าจอ AMOLED ที่มีขนาดหน้าจอแสดงผล 1.82 นิ้ว ซึ่งกินพื้นที่ไป 77.4% ของพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด แถมยังได้ขอบเป็นขอบโค้ง 2.5D อีกด้วย แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ WATCH FIT 3 นี้มีความสว่างหน้าจอสูงสุดถึง 1,500 nits ซึ่งสามารถสู้แดดเมืองไทยได้อย่างสบายเลยครับ
สำหรับด้านข้างตัวเรือนนั้นฝั่งซ้านจะมาพร้อมกับลำโพงตัวเครื่อง
ฝัั่งขวาจะมี Huawei Digital Crown (ขอเรียกสั้นๆ ว่าเม็ดมะยมนะ), ปุ่มฟังก์ชัน และรูไมโครโฟน
ข้างใต้จะมีเซ็นเซอร์สำหรับใช้วัดค่าต่างๆ และขั้วชาร์จแบบแม่เหล็ก
ตัวสายนั้นสามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายๆ เพียงแค่กดแล้วเปลี่ยนได้เลย ซึ่งทาง HUAWEI เรียกว่า HUAWEI QuickLink Stap Connector ซึ่งตัวสายจะมีให้เลือก 3 แบบคือ สายหนัง, สายไนลอน และสายยางครับ
การสวมใส่
ในเรื่องของการสวมใส่นั้นบอกเลยว่าน่าทึ่ง เพราะตัวเรือนที่เบาเพีนยง 26 กรัม ทำให้เวลาใส่แล้วไม่รู้สึกถึงน้ำหนักถ่วงข้อมือเลยสักนิด อีกทั้งถึงแม้หน้าจอจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ยังอยู่ในขนาดที่ไม่ได้ใหญ่จนเทอะทะ สามารถสวมใส่ได้ทั้งหญิงและชาย เพียงแต่ตัวสายสีขาวและสายสีชมพูนั้นจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีแขนใหญ่เท่าไร แต่ถามว่าใส่ได้ไหม ก็ขอตอบว่าพอใส่ได้ เพียงแต่จะต้องไปใช้ช่องท้ายสุดหรือเกือบท้ายสุดเลย เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนตัวใหญ่ ทำให้ตอนใส่สายหนังที่ให้มานั้นต้องใช้ช่องนอกสุดเลย)
สำหรับตัวหน้าปัดนั้นทาง HUAWEI มีให้เลือกเปลี่ยนมากกว่า 200 แบบ ซึ่งจะมีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน แต่ๆ แบบฟรีสวยๆ ก็มีเยอะ แถมตัวหน้าปัดที่เป็นของ HUAWEI เองก็สามารถเปลี่ยนสีหน้าปัดตามที่ชอบได้ด้วย จะเน้นเปลี่ยนตามมูดในแต่ละวันหรือเปลี่ยนให้เข้ากับสีชุดก็ยังได้
การเชื่อมต่อ
ในเรื่องการเชื่อมต่อนั้นตัว WATCH FIT 3 เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 ซึ่งสามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Android และ iOS โดยมีเงื่อนไขแค่ว่าถ้าเป็น Android ต้องเป็น Android 8.0 ขึ้นไปเท่านั้น (ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ไม่ 12 ก็ 13 กันหมดแล้ว) ส่วนถ้าเป็น iOS ต้องเป็น iOS 13 ขึ้นไปเท่านั้นครับ
สำหรับการจะใช้งาน HUAWEI WATCH FIT 3 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต้องมีการเชื่อมต่อผ่านแอปฯ HUAWEI Health ด้วยเช่นกัน โดยหลังจากที่เข้าแอปฯ ไปแล้วให้เข้าไปที่หน้าอุปกณ์เพื่อทำการเชื่อมต่อตัวสมาร์ทวอทช์เข้ากับสมาร์ทโฟน (จะให้แอปฯ สแกนหาเองหรือจะใช้วิธีสแกน QR Code ก็ได้) ซึ่งเมื่อทำการเชื่อมต่อและอัปเดตต่างๆ เรียบร้อยแล้วเราจะสามารถตั้งค่าต่างๆ และใช้งาน WATCH FIT 3 ได้ทุกฟีเจอร์เลยครับ
การใช้งาน
ในด้านการใช้งานนั้นความน่าสนใจของสมาร์ทวอทช์ HUAWEI ที่มีปุ่มเม็ดมะยมก็คือเมื่อกดเข้าไปจะเป็นการเรียกหน้ารวมฟีเจอรืต่างๆ ทั้งหมดขึ้นมา แล้วเราสามารถหมุนเม็นมะยมเพื่อย่อหรือขยายไอคอนแอปฯ ได้ด้วย เป็นอะไรที่สมาร์ทวอทช์แบรนด์อื่นๆ ให้ไม่ได้
สำหรับการรับการแจ้งเตือนต่างๆ นั้น WATCH FIT 3 รองรับการแจ้งเตือนด้วยภาษาไทย ซึ่งด้วยหน้าจอขนดา 1.82 นิ้วนี้ ทำให้สามารถมองเห็นข้อความได้อย่างชัดเจน แถมยังสามารถตอบกลับด้วยข้อความด่วนที่ตั้งไว้ล่วงหน้าก็ได้ หรือจะตอบกลับเป็นอีโมจิก็ได้ด้วยเช่นกัน
หนึ่งในสิ่งที่ HUAWEI WATCH FIT 3 ทำได้และเรียกได้ว่าช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้นก็คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้สามารถคุยโทรศัทพ์ผ่าน WATCH FIT 3 ได้เลย ไม่ต้องยกสมาร์ทโฟนขึ้นมา เนื่องจากบนตัว WATCH FIT 3 นั้นมีทั้งไมโครโฟนและลำโพงนั่นเอง โดยเราสามารถรับสาย, ปฎิเสธสาย หรือจะตอบกลับเป็นข้อความก็ทำได้เช่นกัน
สำหรับฟีเจอร์ด้านการฟังเพลงนั้นบอกเลยว่าช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้นเยอะเช่นกัน เพราะนอกจากจะสามารถควบคุมการเล่นผ่านสมาร์ทวอทช์ได้แล้วยังสามารถปรับระดับเสียงได้ง่ายๆ ด้วยการหมุนเม็ดมะยมไปมา ซึ่งหากเป็นแบรนด์อื่นๆ หรือรุ่นอื่นๆ ที่ไม่มีเม็ดมะยมนี้เวลาปรับระดับเสียงต้องไปสัมผัสที่หน้าจอแทน
นอกจากนี้สำหรับคนที่ใส่ใช้งานในชีวิตประจำวันหรือใส่ออกกำลังกายก็ไม่ต้องกลัวว่าโดนน้ำแล้วจะพังเพราะ WATCH FIT 3 สามารถกันน้ำได้ที่ระดับ 5ATM ทำให้สามารถใส่ลุยน้ำได้สบายเลย
ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ
หนึ่งในสิ่งที่เป็นจุดเด่นของ WATCH FIT 3 ก็คือฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่ให้มาแบบจัดเต็มทั้งในแบบของผู้หญิงและผู้ชายเลย สามารถช่วยดูแลทั้งการออกกำลังกาย, การใช้ชีวิตประจำวัน และการนอนหลับได้เป็นอย่างดี แถมที่พิเศษกว่าใครเลยก็คือสามารถติดตามรอบเดือนและบันทึกตัวบ่งชี้ทางกายภาพต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบผ่านมุมมองปฏิทินรายเดือนที่ใช้งานง่ายอีกด้วย
ฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, การวัดระดับความเครียดและระดับออกซิเจนเองก็มีเหมือนเดิม แต่คราวนี้มาเป็น TruSeen 2.5 ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ซึ่งจะมีความเที่ยงตรงแม่นย่ำกว่าเดิม
เรื่องการนอนเองก็ไม่ธรรมดาด้วย TruSleep 4.0 เวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งสามารถติดตามอัตราการหายใจระหว่างนอนหลับได้ พร้อมใทั้งยังสามารถประเมินระดับการนอนได้ดีไหมอีกด้วย ซึ่งนี้สามารถช่วยให้เราควบคุมการนอนให้มีคุณภาพขึ้นได้
หนึ่งในสิ่งที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบเลยก็คือฟีเจอร์ Stay Fit ที่จะช่วยคำนวนและติดตามแคลอรีและวิเคราะห์โภชนาการของเรา พร้อมทั้งยังสามารถให้แนะนำที่เหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนักได้ด้วยว่าต้องกินเท่าไร หรือต้องออกกำลังกายประมาณไหน เพื่อให้สามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
ฟีเจอร์ออกกำลังกายที่ครอบคลุมกว่า 100 แบบ ซึ่ง WATCH FIT 3 นั้นสามารถช่วยแนะนำการออกกำลังกายให้เราได้เสมือนกับมีเทรนเนอร์ประจำตัวมาอยู่ข้างกาย นอกจากนี้ตัว WATCH FIT 3 ยังมีการติดตั้ง GPS ความแม่นยำสูงเอาไว้ในตัวด้วย ทำให้ช่วยตรวจจับ, กำหนดเส้นทางการวิ่ง รวมถึงปรับเทียบระยะทางในการวิ่งในแต่ละรอบด้วย
และสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ทาง HUAWEI ก็ยังมีคอร์สออกกำลังกายฟรีกว่า 200 รายการ ซึ่งจะมีตั้งแต่ขั้นตอนวอร์มอัพร่างกายไปจนถึงการฝึกระดับแอดวานซ์เลยทีเดียว อีกทั้งยังมี Activity 3-ring 2.0 มาเป็นเป้าหมายประจำวันอีกด้วย โดยหากทำได้ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ก็จะได้หรียญรางวัลมาสะสมด้วยครับ ซึ่งจะได้ทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์เลย
แบตเตอรี่
สำหรับตัวแบตเตอรี่นั้นทาง HUAWEI ไม่ได้มีการระบุเอาไว้ว่ามีปริมาณแบตเตอรี่อยู่เท่าไร แต่บอกเอาไว้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 10 วัน แต่ถ้ามีการเปิด Always On Display เอาไว้ก็จะสามารถใช้งานได้ 4 วัน ซึ่งจากที่ได้ลองมาบอกเลยว่าตรงเดะ HUAWEI บอกไว้เท่าไร ก็ใช้งานได้เท่านั้นจริงๆ แถมยังใช้เวลาไม่นานในการชาร์จไฟกลับอีกด้วย
สรุปการรีวิว HUAWEI WATCH FIT 3
หลังจากที่ได้สัมผัสและลองใช้มาบอกเลยว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก เนื่องจากขนาดตัวนั้นใหญ่กว่า WATCH FIT รุ่นก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีการยัดฟีเจอร์มาแบบจัดเต็มจนแทนจะไม่ต่างจากสมาร์ทวอทช์ที่มีราคาแพงกว่านี้เลย ใครที่กำลังหาสมาร์ทวอทช์ฟีเจอร์เยอะๆ ดูหรูหราแต่ราคาไม่แพง HUAWEI WATCH FIT 3 เองก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
สำหรับผู้ที่สนใจ HUAWEI WATCH FIT 3 นั้นจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 3,990 บาท สำหรับรุ่นปกติ และ 4,990 บาทสำหรับรุ่นที่มี NFC โดยจะพร้อมจำหน่ายในวันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป พิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 – 30 มิถุนายน รับฟรี!! HUAWEI FreeBuds SE 2 มูลค่า 1,499 บาทไปด้วยเลย