ช่วงปีสองปีนี้ สินค้าไอทีที่จัดว่ามาแรง และเป็นเทรนด์ที่เราได้เห็นหลายแบรนด์ส่งผลิตภัณฑ์ออกมา ก็คือพวกสายรัดข้อมือ สมาร์ทแบนด์ สมาร์ทวอทช์ ซึ่งแต่ละตัวก็จะมาพร้อมฟีเจอร์และจุดเด่นที่แตกต่างกันไป บางตัวก็เน้นดีไซน์ บางตัวก็เน้นการเป็นฟิตเนสแทร็กกิ้ง บางตัวก็มีจอ บางตัวก็เป็นแค่สายรัดเฉยๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคนว่าอยากได้สมาร์ทแบนด์ หรือสมาร์ทวอทช์มาใช้งาน ซึ่งในครั้งนี้เราก็มีอีกรุ่นหนึ่งมารีวิวให้ชมกันครับ นั่นคือ Huawei TalkBand B2 ที่เพิ่งเปิดตัวในไทยไปเมื่อไม่นานนี้เอง บอกเลยว่าดีไซน์ออกมาหรูมากๆ
ก่อนจะชมรีวิว มาชมวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ของ Huawei ก่อนแล้วกัน
เริ่มจากที่กล่องก่อนเลย กล่องของ Huawei TalkBand B2 ก็มาในขนาดพอดีตัว ด้านบนเป็นพลาสติกใส เนื้อหนาแข็งแรง ขนาดของกล่องก็พอๆ กับกล่องนาฬิกา
หน้ากล่องก็เรียกว่าบอกคุณสมบัติคร่าวๆ ไว้ครบถ้วนเลยครับ เช่น
- สามารถใช้เชื่อมต่อซิงค์ข้อมูลกับอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็คกิ้งพวก UP ของ Jawbone ได้ (ผ่านตัวกลางคือสมาร์ทโฟน)
- กันน้ำกันฝุ่นได้ในระดับ IP57
- แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 12 วัน
- จอสัมผัส OLED
- รองรับการใช้งานกับทั้งอุปกรณ์ iOS (iOS 7 ขึ้นไป) และ Android (Android 4.0 ขึ้นไป)
- เชื่อมต่อกับมือถือผ่านทาง Bluetooth 3.0
ส่วนฟีเจอร์หลักและสเปคของ Huawei TalkBand B2 ก็ได้แก่
- ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหว นับก้าวเดิน นับระยะทาง คำนวณแคลอรี่ที่ใช้ไปได้
- ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบต่างๆ และวัดคุณภาพการนอนหลับแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องมากดเปลี่ยนโหมดให้วุ่นวาย
- ใช้เป็นหูฟัง Bluetooth ได้
- ใช้ปลดล็อคหน้าจอมือถือได้ (ใช้ได้กับ Huawei P8 และ P8max เท่านั้น)
- แสดงการแจ้งเตือนได้บางส่วน เช่น อีเมลเข้า ข้อความเข้า
- ใช้ค้นหามือถือเวลาหาเครื่องไม่เจอได้ แต่ได้ในเฉพาะระยะ Bluetooth นะ ซึ่งเมื่อกดค้นหาแล้ว จะมีเพลงและเสียงเรียกดังขึ้นมาจากมือถือที่เราหาอยู่
- ใช้เป็นชัตเตอร์ถ่ายรูปให้กล้องมือถือได้ (ใช้ได้กับมือถือ Huawei ที่ใช้ EMUI 2.3 ขึ้นไปเท่านั้น)
- ใช้จอสัมผัส OLED ขนาด 0.73 นิ้ว ความละเอียด 128 x 88 พิกเซล
- มีไมค์ในตัว
- แบตเตอรี่ความจุ 95 mAh ใช้งานได้จริง 6 วัน (14 วันเมื่อปิด Bluetooth) ชาร์จแบตผ่านทาง Micro USB
- มีให้เลือกทั้งรุ่นสายพลาสติก (สีดำและสีเงิน) และสายหนัง (สีทองเท่านั้น)
ดูจากฟีเจอร์และสเปครวมๆ ของ Huawei TalkBand B2 ก็จัดว่าค่อนข้างโอเคเลยครับ ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหว ทั้งยังมีจอสำหรับแสดงเวลาและใช้สั่งงานได้โดยไม่ต้องสั่งผ่านแอพมือถืออย่างเดียวเหมือนหลายๆ ตัวในตลาด และที่สำคัญคือ มันยังใช้เป็นหูฟัง Bluetooth สำหรับฟังเพลง คุยโทรศัพท์ได้ในตัว เรียกว่าพกสายรัดข้อมือออกไปเส้นเดียว ก็ได้อุปกรณ์หลายอย่างรวมมาในตัวเลยก็ว่าได้
สำหรับ Huawei TalkBand B2 ที่ทางเรารีวิวในครั้งนี้ ก็เป็นรุ่นสีทองสายหนังครับ ซึ่งให้ความหรูหราดู luxury มากๆ จัดว่าเป็นอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กกิ้งที่หน้าตาดูพรีเมียมจริงๆ
ตัวเรือนหลักจะเป็นสีทอง แต่ไม่ได้แบบเหลืองทองไปเลยนะ จะออกเป็นสีเงินผสมอยู่นิดๆ ด้านบนสุดเป็นกระจกหน้าจอโค้ง ภายในมีจอ OLED เล็กๆ อยู่ ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้งานมา มันสามารถใช้ในที่ร่มได้สบายมาก แต่พอออกไปกลางแจ้งเจอแดดจัดๆ หน่อย กลายเป็นว่าผมมองจอแทบไม่เห็นเลย ต้องใช้มือป้องให้มืดลง ถึงจะมองเห็น ซึ่งส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะตัวของกระจกจอมันสะท้อนแสงพอสมควรด้วยแหละครับ อันนี้ก็จัดว่าเป็นจุดที่ทำให้ใช้งานไม่สะดวกเต็มที่นัก
สำหรับตัวเรือนโดยรอบก็จะมีปุ่มสั่งงานเพียงปุ่มเดียว หน้าที่หลักของมันคือเป็นปุ่มเปิดจอให้ติดขึ้นมา ซึ่งถ้ากดค้างไว้ ก็จะเป็นการเข้าเมนูที่มีเมนูให้เลือกได้แก่ เมนูเปิดการเชื่อมต่อ Bluetooth, เมนูสั่งค้นหามือถือที่แพร์กับ TalkBand อยู่ และสุดท้ายคือเมนูสั่งเป็นชัตเตอร์ให้กล้องมือถือเครื่องที่แพร์อยู่ ซึ่งก็มีข้อจำกัดเล็กน้อยตามที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น นั่นคือสามารถใช้ได้กับมือถือ Huawei ที่ใช้ EMUI เวอร์ชัน 2.3 ขึ้นไปเท่านั้น นอกจากนี้โดยรอบตัวเรือนก็จะมีช่องรับเสียงของไมโครโฟนอีกสองช่องด้วย ช่องนึงเป็นช่องรับเสียงปกติ อีกช่องเป็นช่องรับเสียงไว้สำหรับช่วยตัดเสียงรบกวนเวลาสนทนา
ส่วนของเบ้าตัวเรือนนั้น ก็เป็นอลูมิเนียมที่สีไม่เหมือนกับตัวเรือนหลักซะทีเดียวครับ ออกเป็นสีน้ำตาลแดงนิดๆ เนื้อดี มีการบรัชเป็นลายทางให้ด้วย รวมๆ แล้วมันหรูจริงๆ ด้านของสายนั้น ถ้าเป็นรุ่นสีทองก็จะให้มาเป็นสายหนังสีน้ำตาลความกว้าง 22 มิลลิเมตรเท่านั้น ถ้าใส่กับข้อมือผู้หญิงก็ดูลงตัวมากๆ แต่ถ้าใส่กับข้อมือผู้ชายจะรู้สึกได้เลยว่ามันเล็กไปนิด ตัวรัดสายก็รัดได้แน่นพอสมควรนะ ไม่ถึงกับดึงออกยากมากนัก
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของหน้าจอ TalkBand B2 ตอนใช้งานกลางแจ้งครับ จะเห็นว่ามองจอได้ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ถ้าอยู่ในที่มีแสงจ้า จากหน้าจอก็จะเห็นอินเตอร์เฟสหลักครับ มุมซ้ายบนเป็นสัญลักษณ์ Bluetooth ถ้าไม่มีการเชื่อมต่อกับมือถือ ก็จะมีขีดฆ่าทับสัญลักษณ์ Bluetooth เอาไว้ มุมขวาบนเป็นสัญลักษณ์แสดงปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ ซึ่งถ้าจะดปริมาณแบตเป็นเลขเปอร์เซ็นต์ ต้องดูจากในแอพเท่านั้นนะ ต่อมาก็เป็นเวลา เดือน วันที่และวันตามลำดับ สำหรับการดูข้อมูลอื่นๆ ก็จะใช้เป็นการเลื่อนหน้าจอขึ้นหรือลง
ถ้าสังเกตดีๆ ตรงด้านล่างสุดของตัวเรือน จะมีหมุดอยู่สองด้าน ซึ่งหมุดคู่นี้ใช้สำหรับปลดล็อคและแกะตัวเรือนออกมาจากเบ้า เพื่อใช้เป็นหูฟัง Bluetooth ซึ่งช่อง Micro USB ก็จะซ่อนอยู่ด้านในด้วยครับ ทำให้เวลาจะชาร์จไฟก็ต้องแกะตัวเรือนออกมาจากเบ้าทุกครั้ง
หนึ่งในความสามารถของ Huawei TalkBand B2 ก็คือความสะดวกในการเรียกดูเวลาครับ เนื่องจากมันมีเซ็นเซอร์วัดความเร่งการเคลื่อนไหวในตัว ทำให้มันสามารถตรวจจับการขยับแขนของผู้ใช้งาน ซึ่งถ้าเราวางแขนในแนวแนบลำตัวตามปกติ เช่นปล่อยแขนลงไป หรือแกว่งแขนเวลาเดินไปเรื่อย แล้วเรายกแขนขึ้นมาในมุมแบบเหมือนดูนาฬิกาข้อมือทั่วไป (องศาแขนประมาณในภาพข้างบน) หน้าจอของ TalkBand B2 ก็จะติดขึ้นมาเป็นหน้าแสดงเวลาโดยอัตโนมัติ แล้วติดอยู่ประมาณ 3 วินาที ทำให้เราไม่ต้องมากดปุ่ม แตะ หรือเคาะหน้าจอเพื่อดูเวลาให้ยุ่งยาก เท่าที่ผมใช้งานมา มันก็ทำได้ค่อนข้างดีนะ แต่ถ้าแบบยกแขนขึ้นมาถี่ๆ ก็จะมีติดบ้างไม่ติดบ้าง (แต่ปกติเราก็คงไม่ยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกากันถี่ๆ เท่าไหร่อยู่ละ)
อันนี้คือหน้าตาของเบ้า Huawei TalkBand B2 เมื่อถอดตัวเรือนหลักที่เป็นหูฟัง Bluetooth ในตัวออกมาแล้วนะครับ สำหรับเดือยสีเหลืองทองที่เห็นนั้น เป็นแค่เดือยล็อคตัวเรือนให้ติดกับเบ้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นพอร์ตเชื่อมต่อข้อมูลอะไร ซึ่งสามารถล็อกได้แน่นหนาดี ไม่ต้องกลัวว่าเหวี่ยงๆ ไปแล้วจะหลุดออกมาแต่อย่างใด สำหรับเรื่องงานประกอบ กลไก วัสดุโดยรวมของ TalkBand B2 นั้นทำได้ดีมากๆ เรียกว่าทั้งหน้าตาก็พรีเมียม เนื้องานก็ยอดเยี่ยมด้วย ทำให้นอกจากจะเป็นอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กกิ้งแล้ว ยังเป็นเครื่องประดับติดตัวได้อย่างสบายๆ แถมดูหรูเกินหน้าเกินตาอุปกรณ์ประเภทเดียวกันตัวอื่นๆ ไปเลย ส่วนตัวผมว่ามันเหมาะกับผู้หญิงดีนะ ส่วนผู้ชาย ผมแนะนำว่าซื้อรุ่นที่เป็นสีดำหรือสีเงินน่าจะเข้าทีกว่า
พอลองถอด TalkBand B2 มาเป็นหูฟัง Bluetooth ก็ได้เป็นตามภาพครับ ขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่สะดุดตามากๆ ตรงที่เป็นสีทองสะท้อนแสงนี่แหละ ตัวหูฟังจัดว่าเบา สามารถใส่นานๆ ได้โดยไม่รู้สึกหนักหรือถ่วงใบหูเท่าไหร่ จะติดก็ตรงที่จุกซิลิโคนหูฟังครับ ซึ่งจากเท่าที่ลองใช้งานดู ผมว่ามันใส่ลำบาก แล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนมันพร้อมจะหลุดจากหูได้ตลอดเวลา (แต่มันก็ไม่เคยหลุดมาเองนะ) เวลาใส่ก็ให้ห่วงซิลิโคนมันฝังเข้าไปในร่องใบหูนะครับ จะได้ใส่ได้แบบแน่นหนายิ่งขึ้น โดยตัวของซิลิโคนจุกหูฟังนั้น จะติดตั้งแบบขนาดกลางมาให้ และมีขนาดเล็กกับขนาดใหญ่แถมมาในกล่อง สำหรับเปลี่ยนให้พอดีกับหูของผู้ใช้งานแต่ละท่านด้วย
ข้างบนนี้ก็เป็นแกลเลอรี่รวมๆ ภาพฟีเจอร์และการทำงานของจอ Huawei TalkBand B2 ครับ ตามนี้เลย
- 1: แสดงจำนวนก้าวที่เดินไปแล้ว
- 2: แสดงปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญไป
- 3: แสดงระยะเวลาที่ปั่นจักรยาน (แต่ถ้าไม่ได้ปั่น ก็จะไม่มีหน้านี้ขึ้นมา)
- 4: แสดงระยะเวลาที่นอนหลับทั้งหมด
- 5: เป็นหน้าจอสำหรับเริ่มจับเวลาในการวิ่ง วิธีใช้ก็ให้กดที่ปุ่มรูปสามเหลี่ยมค้างไว้ 3 วินาที นาฬิกาจับเวลาก็จะเริ่มทำงาน
- 6: หน้าจอแสดง missed call ซึ่งถ้าเราเมมชื่อไว้ในมือถือ ก็จะแสดงขื่อขึ้นมาแทนเบอร์
- 7: เมื่อกดหน้าจอ missed call ก็จะมีตัวเลือกนี้ขึ้นมา ว่าจะย้อนกลับไปหน้าแรก หรือโทรกลับเบอร์นั้น
- 8: ถ้ากดโทรกลับ แล้วตัวหูฟังยังติดกับสายอยู่ ก็จะมีหน้านี้ขึ้นมาบอกให้เราถอดหูฟังออกมา
- 9: หน้าจอการโทรออก
ทีนี้มาดูฝั่งของแอพพลิเคชันกันบ้าง สำหรับแอพที่ใช้คู่กับ Huawei TalkBand B2 ก็คือ Huawei Wear นะครับ สามารถดาวน์โหลดได้จากทั้ง App Store บน iOS และ Play Store ใน Android เลย ซึ่งผมว่าตัวแอพทำออกมาได้ดีเลยนะ หน้าตาก็ดูเข้ากับธีมโดยรวมของทั้ง iOS และ Android ดี ไม่ค่อยเจอบั๊กในการใช้งานด้วย จัดว่า Huawei เตรียมพร้อมทางฝั่งซอฟต์แวร์ได้ดีเหมือนกัน
เมื่อจัดการจับคู่ TalkBand B2 กับเครื่องผ่านทางเมนูการตั้งค่า Bluetooth ของ OS แล้ว ก็ค่อยมาเปิดแอพ Huawei Wear เพื่อซิงค์ข้อมูลเข้าแอพกันครับ เริ่มมาก็จะมีให้ตั้งค่าข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ก่อน เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง วันเดือนปีเกิด เสร็จแล้วก็จะมีตัวช่วยสอนการใช้งานเบื้องต้นให้ชมกันด้วย
สำหรับในภาพตัวอย่างข้างต้น ภาพแรกก็คือหน้าแสดงข้อมูลการเคลื่อนไหวโดยรวมของเราในวันปัจจุบันครับ ใหญ่สุดคือจำนวนก้าวเดินและแคลอรี่ที่เผาผลาญไป ซึ่งจะมีข้อความเทียบให้เห็นภาพได้ง่ายด้วยว่าแคลอรี่ที่เราใช้ไปเนี่ย เทียบได้กับอาหารอะไรบ้าง พร้อมทั้งมีบอกระยะเวลา active ในแต่ละกิจกรรมด้วย จากในภาพก็เห็นว่าผมเดินไปเกือบสามชั่วโมง ปั่นจักรยานอีก 5 นาทีด้วยกัน ภาพที่สองและสามก็เป็นกราฟแสดงจำนวนก้าวเดินและปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญได้ตามแต่ละช่วงเวลาในหนึ่งวัน ซึ่งตรงด้านล่างสุดก็มีปุ่มแชร์ให้เราสามารถแชร์ข้อมูลออกไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ด้วย ส่วนภาพที่สี่ก็เป็นหน้าแสดงช่วงเวลาที่มีการเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวเอาไว้ครับ
ส่วนสองภาพขวาสุดนั้นเป็นภาพแสดงข้อมูลคุณภาพการนอนหลับ โดยแบ่งเป็นช่วงที่หลับลึก หลับปกติ และระยะเวลาที่เริ่มหลับว่าใช้เวลานานขนาดไหนนับจากล้มตัวลงนอน ซึ่งข้อดีของ TalkBand B2 ก็คือมันจับข้อมูลการเคลื่อนไหว การนอนหลับทุกอย่างโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมากดเปลี่ยนโหมดให้วุ่นวายครับ แถมข้อมูลก็แม่นยำในระดับหนึ่งเลยนะ เห็นว่าผมเริ่มนอนตั้งแต่ตีสอง ตื่นอีกทีประมาณเก้าโมงเช้า โอเค ใช้ได้อยู่
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าเราสามารถแชร์ข้อมูลได้ ภาพแรกคือหน้าสรุปข้อมูลสำหรับแชร์ครับ ซึ่งก็สามารถแชร์ได้หลายทาง แต่จะเน้นไปที่โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ใช้กันเยอะๆ ในจีนซะมากกว่า มีที่คุ้นๆ ก็แค่ Facebook กับ WeChat เท่านั้น ซึ่งผมลองกดจะแชร์จากแอพบน iOS ผ่าน Facebook ปรากฏว่าติดบั๊กนะ ไม่สามารถแชร์ได้ พร้อมมีข้อความแจ้งเรื่องการขอสิทธิ์ (permission) ไม่ผ่าน ก็หวังว่าน่าจะมีอัพเดตมาแก้ไขตรงจุดนี้เร็วๆ แล้วกันนะ
ส่วนแอพใน Android อันนี้จะมีตัวเลือกให้แชร์เยอะกว่ามาก อิงจากแอพในเครื่องเลย เช่น สามารถแชร์ไปยัง Instagram, Twitter, Facebook Messenger, Gmail ได้ด้วย เนื่องจากมันแชร์เป็นรูปภาพนั่นเองครับ
ที่เหลือก็เป็นส่วนของการตั้งค่าในแอพครับ โดยเราสามารถตั้งค่าให้ TalkBand B2 คอยสั่นเตือนให้เราขยับตัว ในกรณีที่อยู่กับที่นานเกินไปได้ ตั้งเป็นนาฬิกาปลุกได้ กดอัพเดตเฟิร์มแวร์ TalkBand B2 ได้ ส่วนภาพที่สามก็เป็นการตั้งค่าข้อมูลส่วนตัว รวมถึงยังสามารถตั้งเป้าหมายปริมาณแคลอรี่/จำนวนก้าวเดินที่เราตั้งใจจะทำในแต่ละวันได้ ก็จะมีการเทียบให้เห็นง่ายๆ ด้วยว่าถ้าตั้งเป้าขนาดนี้ จะต้องเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยานเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ จึงจะเผาผลาญแคลอรี่ได้ตามที่ต้องการในแต่ละวัน
อีกข้อที่สำคัญคือแอพ Huawei Wear สามารถเชื่อมต่อเพื่อซิงค์ข้อมูลกับ UP ของ Jawbone ได้ด้วย ใครที่ใช้งานอยู่แล้วก็น่าจะชอบใจเลยแหละ
ปิดท้ายด้วยเรื่องระยะเวลาการใช้งาน ตัวผมเองลองใช้งาน Huawei TalkBand B2 แบบเปิดเชื่อมต่อ Bluetooth ตลอดเวลา ไม่ได้ใช้เป็นหูฟังเลย มีบางวันใส่ใช้งาน บางวันก็ไม่ได้ใช้บ้าง ผลคือก็สามารถอยู่ได้เกินสัปดาห์โดยที่แบตไม่หมดนะครับ ถ้าใครที่กะว่าจะใช้งานทุกวัน ผมว่า 1 สัปดาห์ก็เสียบชาร์จซักทีก็โอเคอยู่ แต่ถ้ากะใช้งานเป็นหูฟัง Bluetooth ด้วย ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ก็ลดหลั่นลงมาหน่อยตามปกตินะ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับรีวิวสายรัดข้อมือ+หูฟัง Bluetooth อย่าง Huawei TalkBand B2 ที่จัดว่าเป็นอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กกิ้งที่ค่อนข้างครบเครื่องมากที่สุดตัวหนึ่งในขณะนี้เลย เพราะมันมาพร้อมทั้งความสามารถในการนับก้าวเดิน คำนวณแคลอรี่ ตรวจจับการเคลื่อนไหวได้แบบอัตโนมัติ ตรวจวัดคุณภาพการนอนหลับ (อัตโนมัติเช่นกัน) แสดงการแจ้งเตือน ค้นหามือถือที่เราลืมไว้ รวมถึงมีฟีเจอร์พิเศษสำหรับใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์ของ Huawei เองโดยเฉพาะด้วย ได้แก่การใช้เป็นรีโมทชัตเตอร์ของแอพกล้องให้กับมือถือ Huawei ที่ใช้ EMUI 2.3 ขึ้นไป รวมถึงใช้ปลดล็อกหน้าจอให้กับ Huawei P8 และ P8max ได้เลย
ถ้านับจากฟีเจอร์แล้ว บอกเลยว่าครบถ้วนจริงๆ ครับ แถมด้านของรูปลักษณ์ก็สอบผ่านเลยในเรื่องความพรีเมียม ความสวยงาม ทำให้จะใช้ใส่เป็นอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กกิ้งก็ดี ใช้เป็นเครื่องประดับก็ลงตัว เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจ ก็เก็บเงินกันได้เลยครับ น่าจะได้เห็นวางขายตามช็อป Huawei เร็วๆ นี้ครับ สนนราคาก็ตามนี้เลย
Huawei TalkBand B2 สายซิลิโคน (สีดำและเงิน) ราคา 5,990 บาท
Huawei TalkBand B2 สายหนัง (สีทอง) ราคา 6,990 บาท