HUAWEI Freebuds Pro 3 หูฟังไร้สายระดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดของ HUAWEI ที่เปิดตัวมาเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ถึงแม้หน้าตาจะยังคงคล้ายเดิมแต่ครั้งนี้มีการอัปเกรดในหลายๆ จุด หรือจะบอกว่าเป็นการเอา Freebuds Pro 2 มาพัฒนาให้กลายเป็นร่างสมบูรณ์ ต่อยอดสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสียง, ระบบตัดเสียง, ไมโครโฟน รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ภายในตัวหูฟัง ซึ่งในการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันได้เลยครับ
สเปคของ HUAWEI Freebuds Pro 3
- สี : สีเขียว (Green), สีขาว (Ceramic White), สีเทา (Silver Frost)
- ขนาด
- เคส : 65.9 × 46.9 × 24.5 มม.
- หูฟังแต่ละข้าง : 29.1 × 21.8 × 23.7 มม.
- น้ำหนัก
- เคส : 45.5 กรัม
- หูฟังแต่ละข้าง : 5.8 กรัม
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.2, พอร์ต USB-C
- รูปแบบเสียงที่รองรับ : SBC, AAC, LDAC, L2HC 2.0
- ไดรเวอร์ : ไดนามิก 11 มม. + ตัวขับไดอะแฟรมระนาบ
- ช่วงตอบสนองความถี่ : 14 Hz–48 kHz
- ไมโครโฟน : 3 ตัว + ไมโครโฟน Bone Conduction 1 ตัว
- เทคโนโลยีเสียง : Digital cross-over / Triple Adaptive EQ / Active noise cancellation / Call noise cancellation / Transparency Mode
- ระบบตัดเสียงรบกวน : Intelligent Dynamic ANC 3.0 + Pure Voice 2.0
- เซนเซอร์ : Accelerometer / Infrared sensor / Hall sensor / Press sensor / Touch sensor / Bone sensor
- ความจุแบตเตอรี่
- เคส : 510 mAh
- หูฟังแต่ละข้าง : 55 mAh
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่
- เปิด ANC : 4.5 ชั่วโมงหลังจากชาร์จเต็ม และ 22 ชั่วโมงเมื่อใช้กับกล่องชาร์จ
- ปิด ANC : 6.5 ชั่วโมงหลังจากชาร์จเต็ม และ 31 ชั่วโมงเมื่อใช้กับกล่องชาร์จ
- เวลาในการชาร์จ :
- ประมาณ 40 นาที สำหรับหูฟังเอียร์บัด (ในกล่องชาร์จ)
- ประมาณ 1 ชั่วโมง สำหรับกล่องชาร์จที่ไม่มีหูฟัง (แบบมีสาย)
- ประมาณ 150 นาที สำหรับกล่องชาร์จที่ไม่มีหูฟัง (ไร้สาย)
- มาตราฐานกันน้ำ-กันฝุ่น : IP54
ดีไซน์
เปิดมาด้วยการที่ดูตัวกล่องกันก่อน โดยตัวกล่องนั้นจะมาด้วยดีไซน์เรียบๆ ที่โชว์แค่รูปหูฟัง ชื่อรุ่น โลโก้แบรนด์ และโลโก้ Hi-Res จาก HWA และ Hi-Res Wireless Dual HD Audio เท่านั้น แต่กิมมิคของกล่องก็คือจะสามารถรู้สีของตัวหูฟังได้ทันทีโดยไม่ต้องพลิกไปดูรายละเอียดด้านหลังเลย เนื่องจากรูปหูฟังที่อยู่บนหน้ากล่องจะมีสีเดียวกับสีของตัวหูฟังจริงๆ ซึ่งสีของตัวหูฟังจะมีทั้งหมด 3 สีคือสีเขียว (Green), สีขาว (Ceramic White) และ สีเทา (Silver Frost) ส่วนที่ทางทีมงาน SPecphone นั้นได้มาจะเป็นสีขาว (Ceramic White) นั่นเอง
สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในกล่องนั้นนอกจากตัวหูฟังแล้วจะมีสายชาร์จแบบ USB-A to USB-C จุกหูฟังสำหรับเปลี่ยน และหนังสือคู่มือ
แต่จุดที่น่าสนใจของจุกหูฟังที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ก็คือในครั้งนี้จะมีขนาด XS เพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งทาง HUAWEI ให้แจ้งว่า เพื่อแก้ปัญหาของผู้ใช้งานหูฟังแบบ In-Ear ที่ใส่แล้วไม่พอดี เนื่องจากคนไทยนั้นมีคนช่องหูเล็กเยอะ ทาง HUAWEI คาดว่านั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้ยอดขายไม่ค่อยดี HUAWEI เลยได้เพิ่มจุกหูฟังขนาด XS มาเพื่อให้เหล่าคนไทยได้เลือกใช้กันนั่นเอง (ผู้เขียนเองก็ใช้จุกขนาด XS นี่เช่นกัน)
สำหรับตัวเคสนั้นครั้งนี้ทาง HUAWEI ได้มีการปรับขนาดของตัวเคสให้เล็กลงจากรุ่นก่อนอย่าง HUAWEI Freebuds Pro 2 ราวๆ 4.5% และทำให้น้ำหนักเบาลงกว่าเดิม 14.51% ด้วย ทำให้รู้สึกว่าาเบาลงไปพอสมควรเวลาพกพา ในส่วนของดีไซน์นั้นด้านหน้ายังคงใช้ดีไซน์แบบเดิมที่เรียบๆ มีแค่หลอดไฟ LED บอกสถานะแค่ดวงเดียวอยู่ตรงกลาง
ที่ด้านหลังของตัวเคสจะมีโลโก้ HUAWEI วางอยู่ตรงกลางบนพื้นผิวกระจกเงา ช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับตัวเคสได้อีกระดับหนึ่งเลย แต่ทว่าด้วยการที่เป็นกระจกก็เลยทำให้เห็นรอยนิ้วมือได้อย่างชัดเจนหากนิ้วไปโดน
ที่ขอบด้านข้างฝั่งขวงาจะมีปุ่มอยู่ 1 ปุ่มสำหรับใช้ตอนที่จะเชื่อมต่ออุปกรณ์ตั้งแต่ชิ้นที่ 2 เป็นต้นไป หรือไม่ก็เอาไว้ใช้รีเซ็ตหูฟังครับ
ที่ด้านล่างจะมีพอร์ตชาร์จแบบ USB-C และลำโพงอยู่ 1 ตัว
ขอย้อนกลับมาที่บ้านฝาพับกันเล็กน้อย โดยในรุ่นนนี้ทาง HUAWEI ได้มีการออกแบบบานฝาพับใหม่ซึ่งจะเป็นการดันฝาไปข้างหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการยิบหูฟังให้มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ (ของเดิมตอนกางฝาจะอยู่ด้านบนของขอบ ซึ่งจะกินพื้นที่ด้านบนไปเล็กน้อยและทำให้หยิบหูฟังได้ยากขึ้นด้วย) และตัวบานพับก็ยังสามารถทนทานต่อการเปิดปิดได้มากกว่า 100,000 ครั้งอีกด้วย เรียกไ้ดว่าออกแบบใหม่ให้ใช้งานสะดวกขึ้นและทนทานขึ้นนั่นเอง
มาที่ตัวหูฟังกันบ้าง โดยตัวหูฟังจะมาในรูปแบบของ In-Ear พร้อมด้วยก้านทรงเหลี่ยมที่มีความยาวไม่มากนัก และบนตัวหูฟังจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่กับรูไมโครโฟนอยู่บนนั้นด้วย
ที่ก้านดีไซน์สี่เหลี่ยมนั้นจะมีการใส่กรอบสีเงินซึ่งนั่นทำให้ตัวหูฟังดูมีระดับยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังมีโลโก้ HUAWEI ตัวโตๆ อยู่บนก้านอีกต่างหาก นอกจากนี้ตรงส่วนโค้งที่เป็นช่วงรอยต่อระหว่างตัวหูฟังและก้านก็จะมีรูไมโครโฟนอยู่ตรงนั้นด้วยครับ
มาที่ด้านล่างกันบ้าง แน่นอนว่าด้วยรูปแบบการใส่เคสแนวตั้งเลยทำให้จุดชาร์จแบตเตอรี่อยู่ด้านล่างด้วยเช่นกัน เพียงแต่ส่วนหน้าสัมผัสที่เป็นโลหะนั้นจะมีการแยกฝั่ง ซึ่งนอกจากจะทำให้ดูบาลานส์แล้วยังช่วยให้ไม่ต้องใช้หน้าสัมผัสขนาดใหญ่ที่ดูราคาถูกอีกด้วย และรูที่อยู่ระหว่างจุดชาร์จไฟก็คือรูไมโครโฟนจุดที่ 3 ซึ่งจะเอาไว้ใช้รับเสียงนั่นเอง
มาที่ด้านข้างของตัวก้านกันหน่อย โดยจุดนี้เป็นจุดที่ทาง HUAWEI ตอบรับข้อเรียกร้องจากแฟนๆ แล้วเอามาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในรุ่นก่อนนั้นตัวก้านจะเป็นแบบเรียบตรงไม่มีจุดสังเกตุใดๆ เวลาจะใช้คำสั่งต่างๆ ต้องใช้นิ้วสัมผัสไปๆ มาๆ กว่าจะได้ คราวนี้ทาง HUAWEI เลยทำการเว้าพื้นที่เอาไว้เลย เป็นการบอกให้รู้โดยไม่ต้องเห็นว่าจุดนี้นี่แหละคือจุดสำหรับใช้กดปุ่มคำสั่งเพื่อสั่งการหูฟัง
ฟีเจอร์ต่างๆ
เชื่อมต่อได้ง่าย
ในเรื่องของการเชื่อมต่อให้ง่ายนั้นก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องมีในหูฟังไร้สายยุคนี้ ซึ่ง HUAWEI Freebuds Pro 3 นั้นก็มีฟีเจอร์ Pop-up Pairing ที่เมื่อเปิดฝาเคสขึ้นก็จะเด้งป๊อปอัพขึ้นมาถามว่าจะเชื่อมต่อไหมบนสมาร์ทโฟนทันที เพียงแต่ฟีเจอร์นี้จะใช้ได้บนสมาร์ทโนฟ HUAWEI เท่านั้นนะ
เสียงระดับพรีเมี่ยม
เรื่องคุณภาพเสียงเป็นหนึ่งในเรืองที่ทาง HUAWEI นำเสนอให้กับ HUAWEI Freebuds Pro 3 ตัวนี้ค่อนข้างมาก เนื่องจากในปัจจุบันนี้ทาง HUAWEI ได้สูญเสียความร่วมมือกับทาง Devailet ไปเป็นที่เรียบร้อย ทว่าทาง HUAWEI ก็ยังคงความมั่นใจในเรื่องคุณภาพเสียงแก่ผู้ใช้งานด้วยการรับรองจาก HWA (HI-RES WIRELESS AUDIO) และ Hi-Res Audio Wireless พร้อมรองรับ codecs LDAC และ L2HC 2.0 ด้วยอัตราการถ่ายทอดเสียงที่ระดับ 990 kbps เลยทีเดียว
อนึ่ง codecs L2HC 2.0 นั้นเป็น codecs ที่จะสามารถใช้ได้บนสมาร์ทโฟน HUAWEI เท่านั้น และต้องเป็น EMUI 13 ขึ้นไปด้วยนะ
PureVoice 2.0
PureVoice 2.0 คือฟีเจอร์ที่ทาง HUAWEI ออกแบบมาเพื่อป้องกันเสียงรบกวนทุกสิ่ง เพื่อให้การพูดคุยมีความชัดเจน โดยตัว PureVoice 2.0 นั้นจะทำงานผ่านเซ็นเซอร์ Bone Conduction VPU ร่วมกับอัลกอริทึมพิเศษ Deep Neural Network (DNN) และไมโครโฟนทั้ง 3 ตัว ร่วมด้วยช่วยกันตรวจจับและแยกแยะเสียงต่างๆ ตามช่วงความถี่ และยังช่วยตัดเสียงลมออกไปได้มากถึง 80% ทั้งหมดนี่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสกับการพูดคุยได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
Intelligent Dynamic ANC 3.0
นอกจากการลดเสียงรบกวนระหว่างโทรแล้วก็ต้องลดเสียงรบกวนระหว่างฟังเพลงได้ด้วย Intelligent Dynamic ANC 3.0 โดยจะเป็นการใช้อัลกอริทึมการลดเสียงรบกวนแบบปรับได้ด้วย AI ที่ได้รับการปรับปรุงที่ดีขึ้น ทํางานควบคู่กับระบบลดเสียงรบกวนแบบไฮบริด Tri-mic เพื่อระบุและคํานวณเสียงรบกวนภายในและภายนอกหูได้อย่างแม่นยําแบบเรียลไทม์ โดยสามารถปรับแต่งเอฟเฟ็กต์การลดเสียงรบกวนให้เหมาะสมกับสภาวะแบบเรียลไทม์ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อเาียบกับรุ่นก่อนแล้วระบบ ANC นั้นดีขึ้นมากถึง 50% เลยทีเดียว
ลำโพงที่ตัวเคสชาร์จ
หนึ่งในสิ่งที่น่าจะแปลกใจของใครหลายๆ คนคือตรงรู 3 รูที่เคส ซึ่งตัวรูพวกนี้จะเป็นลำโพงของตัวเคสนั่นเอง ซึ่งจะมีเอาไว้ใช้งานคู่กับฟีเจอร์ Find My Device จากสมาร์ทโฟน HUAWEI เอาไว้ใช้ตามหาเวลาเผลอทำหายนั่นเอง
แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 31 ชม.
ในตอนเปิดตัว HUAWEI Freebuds Pro 3 นั้นทาง HUAWEI ได้มีการเคลมเรื่องแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานสูงสุดถึง 31 ชั่วโมง (เมื่อเปิด ANC จะอยู่ได้ 22 ชั่วโมง) โดยตัวหูฟังชาร์จครั้งหนึ่งสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดที่ 6.5 ชั่วโมง (เมื่อเปิด ANC จะอยู่ได้ 4.5 ชั่วโมง) ซึ่งจากระยะเวลาที่ทาง HUAWEI เคลมเอาไว้ก็นับว่านานใช้ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าไม่ต้องห่วงเลยว่าแบตเตอตรี่จะหมดระหว่างวัน
กันน้ำ-กันฝุ่นมาตราฐาน IP54
หนึ่งในสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับหุฟังไร้สายในปัจจุบันนี้เลยก็คือความทนทาน โดย HUAWEI Freebuds Pro 3 นั้นได้รับมาตราบานกันน้ำ-กันฝุ่นในระดับ IP54 (เหมือนรุ่นก่อนๆ) ทำให้สามารถเอาไปใสตอนออกกำลังกายที่มีเหงื่อเยอะๆ ก็ได้ หรือจะใส่ลุยฝนปรอยๆ ก็ยังได้ แต่ไม่แนะนำให้เอาไปใส่ลุยตอนฝนตกหนักหรือเอาไปลงน้ำ เพราะจากมาตราฐานที่ได้รับมั่นใจได้เลยว่าซีลที่ใส่มานั้นไม่สามารถกันน้ำปริมาณมากๆ ได้แน่นอน ถ้าฝืนรับรองพังแน่
การเชื่อมต่อ
มาถึงขั้นตอนการใช้งานบ้าง โดยก่อนอื่นเราต้องมาเชื่อมต่อตัวหูฟังกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณืที่ต้องการจะใช้ก่อน ซึ่งในการเชื่อมต่อนั้นจะต้องเชื่อมต่อผ่านแอปฯ ที่มีชื่อว่า HUAWEI AI Life ซึ่งบน Apple จะมีให้โหลดใน AppStore ได้เลย แต่หากเป็นฝั่ง Android นอกเหนือจากเครื่องของทาง HUAWEI เองแล้วก็ต้องไปโหลดไฟล์แบ APK มาติดตั้งเพิ่มเองต่างหาก หากต้องการจะดาวน์โหลดก็กด ที่นี่ ได้เลย
หากเข้ามาครั้งแรกสิ่งที่ต้องทำก่อนเลยก็คือการล็อคอิน HUAWEI ID ก่อน จะด้วยวิธีไหนก็ได้ เสร็จแล้วเราก็มาทำการเชื่อมต่อเครื่องกับตัวหุฟังกัน โดยในการจะเชื่อมต่อให้กดไปที่เครนื่องหมาย “+” ที่มุมบนได้เลย แแล้วมันจะเด้งไปหาค้นหาให้อัตโนมัติ
หลังจากที่กดเครื่องหมาย “+” เข้ามาแล้ว ตัวแอปฯ จะทำการค้นหาตัวหูฟังทันที ในขั้นตอนนี้ให้เราเปิดฝาเคสทิ้งไว้ก่อน ใช้เวลาแปปเดียวก็เจอแล้ว แต่หากไม่ใช่การเชื่อมต่อครั้งแรก (หมายถึงการเชื่อมต่อคัร้งอรกของตัวหูฟัง) ให้กดที่ปุ่มด้านข้างบนเคสค้างไว้แปปหนึ่งจนกว่าไฟ LED บนเคสจะกะพริบ หลังจากนั้นแปปเดียวรายชื่อก็จะขึ้นมาบนหน้าแอปฯ แล้ว
หลังจากกดเลือกอุปกรณืที่จะเชื่อมต่อแล้วก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ โดยในระหว่างนั้นจะมีป๊อปอัพเด้งขึ้นมาเป็นคำขอจับคู่ด้วยบลูธูท ก็แค่กดยอมรับไป แล้วรอแปปเดียวก็จะเชื่อมต่อเสร็จแล้ว
หลังจากเชื่อมต่อสำเสร็จตัวแอปฯ จะพามาหน้าตั้งชื่ออุปกรณ์ ซึ่งจะใช้ไปทั้งๆ แบบนั้นเลยก็ได้ หลังจากกด “DONE” หรือ “เสร็จสิ้น” ไปแล้วตัวแอปฯ จะกลับมาหน้าแรกพร้อมกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่จะแสดงชื่ออุปกรณ์และแบตเตอรี่ที่มีอยู่ ซึ่งหากต้องการตั้งค่าก็แค่กดเข้าไปในกล่องนั้น
เมื่อเข้ามาจะมีการโชว์หัวหูฟังและระดับแบตเตอรี่แบบแยกต่างหากให้เห็นทั้งแบตเตอรี่ของตัวหูฟังและแบตเตอรี่ของตัวเคส
สำหรับการตั้งค่าโหมดตัดเสียงรบกวนนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบคือโหมดปิด, โหมดตัดเสียงรบกวน และโหมดรับเสียงจากภายนอก โดยโหมดตัดเสียงนั้นจะสามารถเลือกระดับการตัดเสียงได้ แต่ใน HUAWEI Freebuds Pro 3 นั้นจะแตกต่าวจากรุ่นก่อนตรงที่มีหัวข้อ Dymanic เพิ่มเข้ามาให้เลือกด้วยครับ
ถัดจากการตั้งค่าโหมดตัดเสียงลงมาเล็กน้อยก็จะเป็นการตั้งค่า EQ โดนจากค่าเริ่มต้นที่มีมานั้นจะมีค่าเริ่มต้นที่เป็นในแบบของ HUAWEI แล้วก็จะมีแบบเน้นเบส, เน้นเสียงแหลม, เน้นเสียงร้อง, เน้นเสียงเครื่องดนตรี หรือเน้นคุณภาพเสียง แต่หากไมพอใจ EQ ที่ทางแอปฯ ให้มาก็สามารถปรับแต่งเองได้ด้วย
มาถึงเรื่องการตั้งค่าคำสั่งควบคุมบ้างซึ่งเอาจริงๆ การตั้งค่าคำสั่งไม่ได้มีอะไรมากเลย เพราะมีแค่คำสั่งเริ่มต้่นและปิดทิ้งก็เท่านั้น จะมีพิเศษหน่อยก็แค่ตอนตั้งค่าคำสั่งแบบกดค้างที่จะเป็นการสลับโหมดเปิด-ปิดระบบตัดเสียง โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอามาทั้ง 3 รูปแบบหรือจะเอามาแค่เฉพาะที่ต้องการดี ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนเอาโหมดปิดออก เพราะเวลาใช้งานหลักๆ ก็มีแค่เปิดโหมดตัดเสียงเวลาฟังเพลงหรือดูหนังแล้วสลับมาเป็นโหมดรับเสียงจากภายนอกเวลาพูดคุยเท่านั้น
หากเป็นคนที่ชอบเผลอลืมหุฟังหรือชอบทำหูฟังหล่นหาย ในตัวแอปฯ ก็จะมีฟีเจอร์ตามหาหูฟังโดยให้ตัวหูฟังมีการส่งเสียงด้วย ซึ่งตรงนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้หุฟังข้างไหนส่งเสียงร้องเรียก แต่ๆ ตรงนี้มีข้อแนะนำว่าอยากไปกดตอนสวมหูฟังอยู่นะ ไม่งั้นอาจหูดับได้เลย
นอกเหนือจากการตั้งค่าต่างๆ แล้วยังมีการตั้งค่าอีก 2 อย่างที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ด้วยก็คือฟีเจอร์ตรวจจับการส่วมใส่และฟีเจอร์ลดความหน่วงของเสียง ซึ่งตรงนี้เราสามารถเปิดปิดได้ตามใจชอบ แต่ฟีเจอร์ตรวจจับการสวมใส่เปิดเอาไว้ตลอดก็ดี ส่วนฟีเจอร์ลดความหน่วงนั้นถ้าไม่ได้เอาไปเล่นเกมหรือดูหนังบ่อยๆ ให้ปิดเอาไว้ก็ดีเพื่อที่จะได้ฟังเสียงคุณภาพสูงได้
การใช้งานจริง
มาถึงไฮไลท์สำคัญแล้วนั่นก็คือจากที่เอาไปใช้งานมาเป็นอย่างไร ก็จะขอเล่าไปตามลำดับเลย โดยเริ่มแรกสุดคือตอนที่แกะหูฟังออกมาจากกล่อง ตอนแรกเห็นก็คิดว่ามันดูไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้านี้เลยนี่นา แต่พอจับตัวเคสขึ้นมาเท่านั้นก็ชัดเลยว่ามันเบาขึ้นพอสมควร ที่นี่พอเอาหูฟังมาใส่ (จุกเริ่มต้นเป็นไซส์ M) ก็มองว่ามันยังคงขนาดเกินไปนิดหน่อยอยู่ดี เลยตั้งใจจะไปเปลี่ยนจุกหูฟังเป็นขนาดเล็กสุด เพราะได้ข้อมูลมาก่อนแล้วว่าในกล่องจะมีจุกขนาด XS อยู่ด้วย พอได้ลองเปลี่ยนแล้วสวมใหม่ดูก็โป๊ะเชะ ขนาดมันพอดีรูหูเลย เป็นการสวมใส่หูฟังทรง In-Ear ที่สบายหูที่สุดตั้งแต่เคยรีวิวมาเลย
แล้วอีกจุดที่ได้รีบลองเลยก็คือตำแหน่งกดคำสั่งเพราะเห็นทาง HUAWEI บอกว่าได้แก้ปัญหานี้ที่เกิดกับรุ่นก่อนแล้ว พอลองใช้งานดูก็พอว่ามันใช้งานง่ายขึ้นจริงดังที่ HUAWEI เคลมเว้เลย เพราะเมื่อเอามือไปสัมผัสก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าตรงนี้นี่แหละคือบริเวรสำหรับกดคำสั่ง แล้วพอบีบลงไปก็จะมีเสียง “ตึก” ดังขึ้นมาเบาๆ เพื่อให้รู้ว่าเรากดคำสั่งไปแล้วนะ บอกเลยว่าการออกแบบคราวนี้ของ HUAWEI ดีงามสุดๆ
มาที่เรื่องเสียงกันบ้าง โดยแต่เดิมผู้เขียนก็ไม่ได้มีการฟังเพลงแบบ Hi-Res เลย จึงต้องหันมาฟังแบบจริงจังอยู่ 1 วันเต็มๆ กับแอปฯ TIDAL ที่เอาไว้ฟังเพลง Hi-Res บ้าง (ยอมสมัครแอปฯ การนี้เลย) โดยเปรียบเทียบกับหูฟังไร้สายแบบทั่วไปที่ใช้อยู่เป็นประจำ ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าไร เนื่องจากเป็นคนที่แยกเสียงอะไรได้ไม่ค่อยดี แต่พอใช้สลับไปๆ มาๆ บ่อยเข้าก็เริ่มเห็นความแตกต่างเลย ทั้งความคมชัดของเสียง เสียงเครื่องดนตรีชิ้นต่างๆ มันชัดเจนขึ้นแบบเห็นได้ชัด ทั้งเสียงแหลม เสียงเยส และสเียงร้องก็ออกมาดูดีไปหมด แต่เพื่อความชัวร์เลยเอาไปให้เพื่อนที่ฟังเพลงแบบ Hi-Res เป็นประจำเป็นลองใช้ดู ผลปรากฎว่าเจ้าตัวยอมรับว่าเสียงดีจริง แต่เบสเบาไปหน่อย ซึ่งตัวผู้เขียนมองว่าเบสที่ตัว HUAWEI Freebuds Pro 3 ปล่อยออกมานั้นเรียกได้ว่ากำลังดี คือเบสชัดเจน แต่ไม่ได้หนักเกินไปจนทำให้ปวดหัว สำหรับตัวผู้เขียนมองว่าน่าจะเป็นหูฟังที่ฟังเพลงต่อเนื่องได้สบายหูที่สุดในตอนนี้แล้ว
เรื่องเสียงไมค์เองก็ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีอย่างที่เคลมเอาไว้ เพราะตอนที่ได้ใช้งานนั้นทั้งเดินอยู่ในห้างที่คนพลุกพล่าน และเดินอยู่ในงานวันที่คนแน่นสนิท ปลายสายบอกว่าได้ยินเสียงชัดเจนดี ไม่มีเสียงอะไรมากลบเลย ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าอยู่ในจัดนั้นแล้วยังได้ยินเสียงชัดก็เป็นอะไรที่มากเกินพอแล้ว คงไม่มีใครเอาไปใช้แถวๆ คอนเสิร์ตหรือเนอะ เพราะถึงจุดนั้นจะมีระบบตัดเสียยงดีแค่ไหนก็ไม่รอด
ราคาและโปรโมชั่น
HUAWEI FreeBuds Pro 3 มีการเปิดราคาค่าตัวออกมาที่ 6,990 บาท โดยจะมีโปรโมชั่นเมื่อสั่งซื้อตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 66 – 7 มกราคม 67 รับของแถมเป็นกระเป๋าหูฟังมูลค่า 599 บาทไปเลยด้วยเลยฟรีๆ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถจิ้มลิ้งด้านล่างนี้เพื่อเข้าไปสั่งซื้อได้เลย
สรุปการรีวิว HUAWEI Freebuds Pro 3
สรุปการรีวิว HUAWEI Freebuds Pro 3 จากทีไ่ด้เอาไปลองใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นตองยอมรับเลยว่างานนี้ทาง HUAWEI ทำการบ้านมาดีทั้งน้ำหนักที่เบามากช่วยให้พกพาได้ง่าย จุกหูฟังขนาดเล็กมากที่สามารถตอบสนองต่อหูคนไทยได้ และการออกแบบก้านหูฟังใหม่ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังใส่ระบบเสียงมาได้แบบจัดเต็มมาก คุณภาพเสียงไมไ่ด้ด้อยไปจากเดิมเลยถึงแม้จะเสีย Devailet ไปก็ตาม แต่ที่สำคัญที่สุดคือการอัพเกรดที่เพิ่มมาขนาดนี้แต่ราคาค่าตัวกลับเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อนนิดเดียวเท่านั้น บอกเลยว่างานนี้ซื้อไปคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปอย่างแน่นอน