ในช่วงปีที่ผ่านมา เทรนด์การออกแบบสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยม ไปพร้อม ๆ กับเสียงบ่นจากผู้ใช้งานก็คือการออกแบบจอให้มีแถบดำ (notch) หรือที่เรียกกันส่วนใหญ่ว่าเป็นติ่งจอ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งกล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ บนหน้าจอ โดยที่ยังคงเหลือพื้นที่แสดงผลไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็พยายามหาวิธีการลดขนาดของติ่งจอลง บางรุ่นก็เหลือแค่หยดน้ำเท่านั้น และอีกแนวทางที่กำลังได้รับความสนใจก็คือการซ่อนกล้องหน้าไปซะเลย แล้วใช้กลไกการขยับตัวเครื่อง เช่นการสไลด์หน้าจอเพื่อเปิดใช้งานกล้องหน้าแทน อย่างในมือถือที่เรารีวิวในครั้งนี้อย่าง Honor Magic 2
โดย Honor Magic 2 เป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี และฟีเจอร์ที่น่าสนใจด้วยกันหลายอย่าง ที่เห็นชัดสุดก็คือหน้าจอที่ไร้ติ่ง แต่ใช้การซ่อนกล้องหน้าไว้ข้างในตัวเครื่อง ถ้าต้องการใช้งานก็ให้สไลด์จอลงมา ให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับสมัยยุคฟีเจอร์โฟนระดับไฮเอนด์กำลังบูมกันเลยทีเดียว
ก่อนที่จะไปชมรีวิวเต็ม ๆ ว่า Honor Magic 2 มีดีอย่างไรบ้าง มาดูสเปคที่น่าสนใจกันก่อนครับ
สเปค Honor Magic 2 (ในเครื่องทดสอบ)
- ชิปประมวลผล HiSilicon Kirin 980 มี 8 คอร์ ความเร็วสูงสุด 2.6 GHz พร้อมชิปกราฟิก Mali-G76 MP10 และชิปประมวลผล AI
- แรม 8 GB
- หน้าจอ Magic FullView พาเนล AMOLED ขนาด 6.39″ แบบเกือบเต็มเครื่อง ความละเอียด 2340 x 1080 อัตราส่วนจอ 19.5:9 กระจกจอ 2.5D
- หน้าจอเครื่องสามารถสไลด์ลงเพื่อใช้งานกล้องหน้า
- พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB ไม่รองรับ MicroSD
- กล้องหลัง 3 ตัว
- กล้องหลัก (RGB) 16 MP f/1.8
- กล้องขาวดำ 24 MP f/1.8
- กล้องเลนส์ไวด์ 16 MP f/2.2
- กล้องหน้า 3 ตัว โดยมีกล้องหลัก 16 MP ส่วนกล้องอีกสองตัวใช้สำหรับช่วยเก็บระยะ สำหรับประมวลผลด้าน 3D
- เซ็นเซอร์สแกนนิ้วมืออยู่ภายในจอ พร้อมระบบสแกนใบหน้าที่ใช้งานได้ในที่มีแสงน้อย
- แบตเตอรี่ 3500 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบ SuperCharge สูงสุด 40W
- รองรับ 4G VoLTE ได้สองซิมพร้อมกัน
- ยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายในไทย
- ราคาในประเทศจีน
- รุ่นความจุ 6GB/128GB ราคาอยู่ที่ 3,799 RMB (ประมาณ 18,000 บาท)
- รุ่นความจุ 8GB/128GB ราคาอยู่ที่ 4,299 RMB (ประมาณ 20,000 บาท)
- รุ่นความจุ 6GB/128GB ราคาอยู่ที่ 4,799 RMB (ประมาณ 23,000 บาท)
ดีไซน์ หน้าตา Honor Magic 2
ครั้งแรกที่เปิดเครื่องขึ้นมาใช้งาน ความรู้สึกส่วนตัวของผมคือ Honor Magic 2 เป็นมือถือที่จอเด่นมาก ด้วยอัตราส่วนจอต่อตัวเครื่องที่สูงมาก สังเกตจากขอบจอทั้งฝั่งด้านบน ซ้ายและขวาที่บาง ถ้าให้เทียบ จะค่อนข้างใกล้เคียงกับของ iPhone Xr ส่วนขอบด้านล่างจะหนากว่าอีก 3 ด้านเล็กน้อย โดยลำโพงสนทนานั้นถูกนำไปแอบไว้ตรงขอบเครื่องด้านบนสุด เช่นเดียวกับเซ็นเซอร์วัดระยะห่าง ส่วนเซ็นเซอร์วัดแสงจะถูกซ่อนเอาไว้ที่ขอบล่าง ค่อนไปทางขวาของหน้าจอครับ (ตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างไอคอน Chrome กับแอปกล้อง)
ด้วยความที่หน้าจอของ Honor Magic 2 เลือกใช้จอแบบ AMOLED ทำให้สีสันบนหน้าจอมีความสดใส ใช้งานได้ทุกสถานการณ์ มุมมองกว้าง แม้ในด้านของสีสัน อาจจะไม่จัดจ้านเท่ากับมือถือรุ่นไฮเอนด์ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ส่วนบริเวณขอบกระจกก็เป็นแบบ 2.5D ที่มีความโค้งมน ทำให้สัมผัสในการจับถือตัวเครื่องค่อนข้างลงตัว ไม่มีส่วนคมบาดมือแต่อย่างใด
กลไกการสไลด์หน้าจอจะเป็นแบบที่ผู้ใช้สามารถใช้ปลายนิ้วดันหน้าจอลงมาได้แบบไม่ต้องออกแรงมากนัก ตัวเลื่อนไม่ฝืด และก็ไม่ลื่นจนเกินไป โดยจะมีสเต็ปล็อกอยู่สองตำแหน่งคือด้านบนสุด (ปิดกล้องหน้า) และด้านล่างสุด (เปิดกล้องหน้า) ซึ่งถ้าเป็นการปลดล็อกหน้าจอด้วยการสแกนใบหน้า เมื่อผู้ใช้สไลด์จอลงมา ระบบก็จะทำการสแกนใบหน้าทันทีโดยไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เลย
เมื่อสไลด์หน้าจอลงมา ก็จะพบกับกล้องหน้าทั้ง 3 ตัว โดยตัวที่ใหญ่สุดคือกล้องหลัก ขอบบนสุดคือลำโพงสนทนาหลัก ซึ่งถ้าดูจากลักษณะแล้ว ตะแกรงลำโพงที่ขอบจอ น่าจะเป็นแค่ตะแกรงเปล่า ที่ปล่อยให้เสียงจากลำโพงด้านหลังทะลุออกมาได้ซะมากกว่าครับ
อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังในการใช้จอสไลด์ก็คือ ก่อนจะสไลด์หน้าจอกลับไปปิดเหมือนเดิม แนะนำว่าควรเช็ดทำความสะอาดตรงแถบกล้องทั้งหมด เพื่อป้องกันฝุ่นเข้าไปติดค้างภายในด้วย ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งาน และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากฝุ่นที่ติดค้างข้างในได้
ด้านของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่ใต้จอนั้น จะถูกซ่อนอยู่ตรงตำแหน่งกึ่งกลางค่อนไปทางด้านบนระหว่างไอคอน Phone Manager และ Settings ตามในภาพด้านบนครับ โดยในระหว่างการใช้งานทั่วไป ก็สามารถแตะเพื่อใช้งานหน้าจอได้ตามปกติ ส่วนฟังก์ชันการสแกนลายนิ้วมือจะเปิดขึ้นมาให้ใช้งานเฉพาะตอนที่จำเป็นเท่านั้น เช่น การปลดล็อกหน้าจอ การปลดล็อกรหัสผ่านต่าง ๆ ตามการตั้งค่าของระบบและแอปพลิเคชัน
พลิกมาดูที่ฝาหลังกันบ้างครับ ซึ่งดีไซน์ก็จะใกล้เคียงกับรุ่นอื่นเช่น Honor 8X ที่ทางเราเคยรีวิวไปแล้ว โดยการโค้ตติ้งสีภายนอกจะใช้เป็นแบบนาโนสเกลที่ช่วยให้ผิวสัมผัสเรียบเนียน สีที่ทางเราได้รับมารีวิวคือสีเงินเข้มที่สามารถใช้เป็นกระจกได้เลยทีเดียว ส่วนดีไซน์โดยรวมต้องบอกเลยว่ามันดูลงตัวขึ้นกว่ารุ่นอื่น ๆ อยู่ไม่น้อย สาเหตุหนึ่งก็น่าจะมาจากการที่ไม่มีวงของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ที่ฝาหลังแล้วนั่นเอง
การวางตำแหน่งของกล้องหลังก็จะอยู่ในแนวตั้งไล่ลงมาได้เป็น แฟลช LED > กล้องหลัก (RGB) > กล้องขาว-ดำ > กล้องเลนส์ไวด์ 17mm ซึ่งทั้งหมดมีพลังของ AI ช่วยประมวลผลภาพตั้งแต่ก่อนถ่ายอีกเช่นเคย
อย่างไรก็ตาม มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ผมยังไม่ค่อยชินกับการใช้งานอยู่ก็คือน้ำหนักเฉพาะตัวเครื่องซึ่งอยู่ที่ 206 กรัม (ส่วนตัวผมใช้เครื่องหลักเป็น Pixel 2 XL บวกเคสบาง) แต่ก็มีข้อดีคือมันเป็น 206 กรัมบนตัวเครื่องที่งานประกอบแน่นหนา จับแล้วไม่มีส่วนที่กรอบแกรบเลย
ด้านข้างตัวเครื่องก็จะมีพอร์ตและปุ่มสั่งงานต่าง ๆ ได้แก่
- ด้านบน: ไมค์สำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องรับส่งสัญญาณอินฟราเรด สำหรับใช้ร่วมกับแอปรีโมท (แอป Smart Home)
- ด้านล่าง: ช่องลำโพง ช่อง USB-C และช่องรับเสียงของไมค์สนทนา
- ด้านขวา: ถาดใส่ซิม (รองรับสูงสุด 2 นาโนซิม)
- ด้านซ้าย: แถบปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และปุ่ม Power
ส่วนอุปกรณ์ในกล่องที่ให้มาก็ได้แก่
- อะแดปเตอร์ SuperCharge รองรับการจ่ายไฟได้ทั้งแบบ 5V 2A / 9V 2A / 10V 4A (สูงสุด 40W)
- สายชาร์จรองรับ SuperCharge
- สายแปลง USB-C เป็นช่อง 3.5 mm. สำหรับเสียบหูฟัง
- เข็มจิ้มถาดซิม
- เอกสารคู่มือการใช้งานเบื้องต้น
ฟีเจอร์เด่นของ Honor Magic 2
การสไลด์หน้าจอ เพื่อใช้งานกล้องหน้า และระบบสแกนใบหน้า
ด้วยการที่กล้องหน้าถูกซ่อนอยู่ใต้จอซึ่งต้องสไลด์จอลงมาก่อน ถึงจะสามารถใช้งานได้ ทำให้ทุก ๆ การใช้งานที่ต้องใช้กล้องหน้า ผู้ใช้เลยจำเป็นจะต้องสไลด์หน้าจอลงมาก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายเซลฟี่ การปลดล็อกหน้าจอด้วยการสแกนใบหน้า ซึ่งอาจจะไม่สะดวกเท่าสมาร์ทโฟนปกติในปัจจุบัน แต่ก็ได้ความเท่ไปอีกแบบเหมือนกันครับ ส่วนตัวผมรู้สึกโอเคนะ นับเป็น gimmick ที่แปลกสำหรับมือถือในยุคนี้เหมือนกัน ให้ความรู้สึกเหมือนตอนกลับไปใช้ Nokia N95 เลย
ส่วนการใช้กล้องหน้า หากผู้ใช้เปิดแอปกล้องอยู่ แล้วทำการสไลด์หน้าจอลงมา ระบบจะสลับไปใช้กล้องหน้าโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากผู้ใช้เปิดแอปกล้องขึ้นมา แล้วกดปุ่มสลับกล้อง ระบบจะมีภาพพร้อมข้อความขึ้นมาแจ้งให้ผู้ใช้เลื่อนหน้าจอลงเพื่อเปิดกล้องหน้าครับ เท่าที่ลองใช้งานในที่มืดดู พบว่าก็สามารถสแกนได้อยู่เหมือนกัน ด้วยความสามารถของกล้องหน้าทั้ง 3 ตัวที่ช่วยในการสแกน ประกอบกับหน้าจอที่จะเร่งความสว่างขึ้นมา เพื่อช่วยให้ใบหน้าของผู้ใช้สว่างขึ้นจนกล้องสามารถจับภาพได้
ระบบสแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
เทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอขได้รับการพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใช้งานได้แทบไม่แตกต่างจากแถบเซ็นเซอร์สแกนในมือถือทั่ว ๆ ไปแล้ว เท่าที่ผมรีวิวมา หากต้องการสแกนลายนิ้วมือก็เพียงแค่แตะปลายนิ้วลงไปบนตำแหน่งของเซ็นเซอร์เท่านั้นเอง ไม่ต้องใช้แรงกดใด ๆ เลย
สำหรับใครที่กังวลว่าจะจำตำแหน่งของเซ็นเซอร์ไม่ได้ ตัวระบบเองก็ฉลาดเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ อย่างตอนที่หน้าจอล็อกอยู่ หากผู้ใช้ขยับเครื่อง ตรงบริเวณเซ็นเซอร์ก็จะมีวงกลมพร้อมรูปลายนิ้วมือปรากฏขึ้นมาให้สามารถสังเกตและทาบปลายนิ้วลงไปได้ง่ายขึ้น
ระบบชาร์จด่วน Super Charging
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือการชาร์จเร็วในระดับ SuperCharge ที่สามารถชาร์จไฟเข้าได้สูงสุดถึง 40W ซึ่งถ้าเทียบแล้ว จัดว่าอัดไฟเข้าเครื่องได้แรงกว่าโน้ตบุ๊กบางรุ่นด้วยซ้ำไป แต่แม้ว่าจะชาร์จไฟเข้าเร็ว แต่ตัวเครื่องกลับไม่ร้อนเลยครับ สามารถใช้งาน หรือวางเครื่องทิ้งไว้ได้สบาย โดยความเร็วของการชาร์จ ผมเก็บข้อมูลไว้ตามตารางด้านล่างนี้ครับ
จากตาราง จะเห็นว่าเพียงเวลาแค่ 12 นาที ระบบ SuperCharge สามารถชาร์จไฟให้กับ Honor Magic 2 จากแบตเตอรี่ 8% ขึ้นมาเป็น 44% ได้แล้ว เรียกว่าน่าจะช่วยให้เพียงพอสำหรับการใช้ระหว่างวันได้สบาย แม้จะเป็นการชาร์จแค่ช่วงสั้น ๆ ก็ตาม ส่วนถ้าต้องการชาร์จจนเต็ม ก็น่าจะใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการชาร์จแบตมือถือทิ้งไว้ตอนหลับ เพราะอาศัยเสียบชาร์จแค่ช่วงเวลาตั้งแต่หลังตื่นนอน ไปจนถึงก่อนออกเดินทางไปทำงาน ซึ่งน่าจะใช้เวลาเฉลี่ยเร็วสุดไม่ต่ำกว่า 30 นาที ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการชาร์จจนได้แบตไม่ต่ำกว่า 70% แล้วนั่นเอง
ซอฟต์แวร์ของ Honor Magic 2
Honor Magic 2 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 9.0 (Pie) ที่ครอบมาด้วย Magic UI 2.0 ที่รูปแบบของการจัดวางเมนูจะใกล้เคียงกับในมือถือ Honor หลาย ๆ รุ่น โดยค่าเริ่มต้นของไอคอนแอปจะเป็นแบบปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอเลย ไม่มีปุ่มรวมไอคอนแอป แต่ผู้ใช้ก็สามารถปรับได้จากเมนูจัดการหน้าโฮมอยู่ดีครับ
พื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องมีเหลือให้ใช้ได้เป็นหลักร้อย GB เลย อย่างในภาพด้านบนคือภาพแสดงปริมาณพื้นที่เก็บข้อมูลที่เหลืออยู่ หลังจากติดตั้งแอปและเกมไปบางส่วนแล้ว ส่วนภาพขวาสุดเป็นภาพของเมนูการตั้งค่าปุ่มสั่งงานในเครื่องครับ โดยจะมีให้เลือก 2 แบบระหว่าง การสั่งงานแบบ gesture ที่ไม่มีปุ่มให้กดเลย กับแบบที่มี 3 ปุ่มมาตรฐาน Android สำหรับหัวข้อล่างสุดจะเป็นปุ่ม navigation ช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งเหมาะกับการใช้งานร่วมกับ gesture เนื่องจากผู้ใช้สามารถกด หรือลากปุ่ม navigation เพื่อสั่งงานได้เหมือนกัน
ปิดท้ายด้วยการทดสอบ DRM info ก็พบว่ารองรับ Widevine DRM ในระดับ L3 เท่านั้น จึงอาจจะทำให้ไม่สามารถสตรีมภาพยนตร์จากบางแพลตฟอร์มในระดับ HD ได้
กล้องถ่ายรูปของ Honor Magic 2
หน้าตาของแอปกล้องก็จะเป็นแนวเดียวกับมือถือ Honor รุ่นอื่น ๆ ครับ ทั้งการสไลด์ไปด้านข้างเพื่อเปลี่ยนโหมด รวมถึงการใส่ปุ่มเปิด/ปิดฟังก์ชันของ AI ที่แถบด้านบนซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้ดี สำหรับโหมดที่อยู่ด้านนอกก็จะเป็นโหมดหลัก ๆ ที่มีการใช้งานบ่อย เช่น โหมด auto ในชื่อว่า Photo โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคล รวมถึงโหมด AR lens ที่มีมาให้เล่นกันด้วย ส่วนโหมดอื่น ๆ เช่น โหมด Pro โหมดพาโนรามา โหมดถ่ายอาหาร โหมดภาพขาวดำ จะไปซ่อนอยู่ใน More ทางขวาสุดของแถบเลื่อนโหมดอีกทีนึง
สำหรับการสลับไปใช้งานเลนส์ไวด์ของกล้องหลังก็สามารถกดได้ที่ปุ่มที่อยู่บนส่วนพรีวิวภาพ ซึ่งในหน้าจอปกติจะมีสัญลักษณ์ 1x อยู่ เมื่อกดไปหนึ่งครั้งก็จะเปลี่ยนเป็น 2x ที่หมายถึงการซูม 2 เท่า และถ้ากดไปอีกครั้ง ระบบก็จะสลับไปใช้เลนส์ไวด์แทน
ส่วนกล้องหน้าก็ยังคงมีโหมดให้เลือกใช้งานเช่นกัน ได้แก่ โหมด auto โหมด Portrait รองรับการถ่ายวิดีโอได้ระดับ FHD+ (19.5:9) ติดที่กล้องหน้าไม่สามารถแตะเลือกจุดโฟกัสได้ครับ ได้แค่แตะเพื่อวัดและชดเชยแสงเท่านั้น
ลูกเล่นทางด้าน AR ก็พอมีให้ใช้งานเหมือนกันครับ ทั้งแบบที่เป็นตัวละครมาปรากฏบนหน้าจอให้ผู้ใช้ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอได้ และก็แบบที่มีการจับตามการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ ซึ่งก็ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการถ่ายภาพได้ดี
อีกหนึ่งลูกเล่นที่น่าสนใจก็คือเลนส์ไวด์ที่ใส่แยกมาเดี่ยว ๆ ให้มาเลย ซึ่งจากการทดสอบ ผมมองว่าน่าจะเป็นเลนส์ที่ถูกใจสายถ่ายวิวกันแน่ ๆ ซึ่งมุมภาพเมื่อเทียบกับภาพปกติ และภาพซูม 2x ก็ตามด้านล่างนี้เลย
ภาพถ่ายปกติ (1x)
ภาพถ่ายแบบซูม (2x)
ภาพถ่ายแบบไวด์
ส่วนภาพถ่ายจากกล้องหลัง สามารถคลิกชมได้จากแกลเลอรี่ด้านล่างนี้เช่นเคยครับ
ประสิทธิภาพและการเล่นเกมบน Honor Magic 2
Honor Magic 2 มาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดอย่าง HiSilicon Kirin 980 ที่แรงทั้งในแง่การประมวลผลทั่วไป พลังกราฟิก และการประมวลผลด้าน AI แต่ว่าแอป CPU-Z เองยังไม่สามารถแสดงข้อมูลได้ถูกต้อง 100% สังเกตได้ทั้งจากชื่อ SoC ที่ยังไม่ตรง รวมถึงตรงหัวข้อ Architecture ที่มีการแบ่งกลุ่มคอร์เป็น 2 กลุ่ม (4/4) แต่ที่จริงแล้ว Kirin 980 จะมีการแบ่งคอร์เป็น 3 กลุ่ม (4/2/2) นั่นเอง แต่ในแอป GeekBench นั้นให้ข้อมูลด้านการแบ่งกลุ่มคอร์ได้ถูกต้องครับ
ผลการทดสอบคะแนนก็จัดว่าอยู่ในระดับสูงพอสมควร ส่วนการทดสอบด้านการเชื่อมต่อ 4G พบว่ารองรับฟังก์ชันการรวมคลื่น (Carrier aggregation หรือที่เรียกย่อว่า CA) โดยได้อย่างต่ำก็คือ 2CA แน่นอน และอาจจะไปได้ถึง 3CA แต่อันนี้ผมไม่คอนเฟิร์มนะครับ อย่างไรก็ตามที่แน่นอนก็คือ เครื่องทดสอบเครื่องนี้ ไม่รองรับ VoLTE ในไทย
เมื่อทดสอบด้วยเกม PUBG mobile ด้านการตั้งค่ากราฟิก เริ่มต้นมาเกมก็จับให้อยู่ในระดับสูงสุดทันทีครับ เมื่อเล่นจริง เฟรมเรตก็ไหลลื่นมาก ๆ เล่นแล้วไม่เจออาการกระตุกแต่อย่างใด รวมถึงเครื่องยังไม่ร้อนอีกด้วย ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับระบบการระบายความร้อนด้วยกราฟีนที่สามารถถ่ายเทความร้อนจากชิปประมวลผลออกมาได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับตัวเครื่องก็ทำออกมาได้ดี ไม่ทำให้ร้อนมือขณะเล่นอีกด้วย
ส่วนการทดสอบเปิดบอท+เล่นเกม Ragnarok Mobile โดยเป็นการเชื่อมต่อผ่าน WiFi และเปิดจอไว้ตลอดเวลา ซึ่งผมเริ่มเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ 19:35 ไปจนถึงก่อนนอนที่เวลา 02:23 พบว่าแบตเหลืออยู่ 12% เท่ากับว่าคิดเป็นระยะเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง 48 นาที และคาดว่าน่าจะเล่นได้เกิน 7 ชั่วโมงแบบสบาย ๆ