ถ้าพูดถึงซีรี่ส์ Padfone จาก ASUS ก็น่าจะมีหลายท่านพอนึกรุ่นเก่าๆ ออกกันบ้าง กับมือถือที่สามารถแปลงร่างเป็นแท็บเล็ตได้ ช่วยทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวเครื่องให้เหมาะกับการใช้งานตามความต้องการของตนได้สะดวก ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์มากมายหลายชิ้น ไม่ต้องเปลืองค่าแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตหลายๆ แพ็กเกจ มาในปีนี้นอกจาก ASUS จะเน้นไปกับไลน์ Zenfone ไปตั้งแต่เมื่อกลางปี มาช่วงปลายปีก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาทำตลาดอีกแล้วครับ มาแรงซะด้วย นั่นก็คือ?ASUS Padfone S
ที่ว่า ASUS Padfone S มาแรงนั้น ก็เนื่องมาจากราคาเปิดตัวที่เพียงแค่ 9,999 บาทเท่านั้น บวกกับสเปคที่แรงเหยียบระดับเครื่องราคาสองหมื่น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเกิดเป็นกระแสความอยากได้อยากลองขึ้นมา ทีมงาน SpecPhone เราจึงไปจัดการเสาะหาเครื่องมารีวิวมาให้ชมกันครับ มาชมรีวิว ASUS Padfone S กันเลย
สเปค ASUS Padfone S
- ชิปประมวลผล Snapdragon 801 (MSM8974-AB) quad-core ความเร็ว 2.3 GHz พร้อมชิปกราฟิก Adreno 330
- แรม 2 GB
- (มือถือ) หน้าจอ IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080
- (แท็บเล็ต) หน้าจอ IPS ขนาด 9 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1200
- รอม 16 GB รองรับ MicroSD สูงสุด 64 GB
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล เลนส์ f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี PixelMaster
- (มือถือ) กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล
- (แท็บเล็ต) กล้องหน้า 1 ล้านพิกเซล
- Android 4.4 KitKat
- (มือถือ) แบตเตอรี่ 2300 mAh
- (แท็บเล็ต) แบตเตอรี่ 4990 mAh
- ใช้งานไมโครซิม 1 ซิม ใช้งาน 3G ได้เฉพาะความถี่ 900/2100 MHz ใช้งาน 4G LTE ได้
- ราคา ASUS Padfone S เฉพาะมือถือ 9,999 บาท ส่วนจอแท็บเล็ตราคา 2,990 บาท
- สเปค ASUS Padfone S เต็มๆ
ด้านของสเปคนั้น ต้องบอกว่า ASUS Padfone S จัดเต็มมากๆ ไม่ว่าจะด้วยชิปประมวลผลตัวแรง แรมก็ให้มา 2 GB ตามมาตรฐานรุ่นท็อป หน้าจอ 5 นิ้ว Full HD กล้องถ่ายรูปก็ความละเอียดสูง แล้วยังมีเทคโนโลยี PixelMaster มาให้อีก ที่เด็ดสุดคือทั้งหมดนี้รวมอยู่ในเครื่องราคาไม่ถึง 10,000 บาทเท่านั้น ผิดจากหลายๆ แบรนด์ที่สเปคระดับนี้ มักจะมาพร้อมราคาเกือบสองหมื่นบาท หรือบางรุ่นก็ทะลุเกินขึ้นไปอีกด้วยซ้ำไป จึงไม่น่าแปลกใจที่กระแสตอบรับจะดี มีผู้คนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
เกริ่นเรื่องสเปคและความคุ้มค่ากันไปพอสมควรแล้ว ทีนี้มาดูเรื่องดีไซน์ หน้าตากันบ้างดีกว่าครับ
Design
หน้าตารูปทรงของ ASUS Padfone S ก็จะดูมีรายละเอียดหลายจุดที่แตกต่างไปจาก Zenfone 5 บ้างพอสมควรครับ โดยจะเน้นความเรียบมากกว่า ไม่มีแถบสะท้อนแสงดูหวือหวาแบบ Zenfone ทำให้หน้าตา Padfone S ดูค่อนข้างธรรมดาไปซะหน่อย มีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาว วัสดุหลักก็จะเป็นพลาสติก ด้านหน้าเป็นกระจกทั้งชิ้น ส่วนขอบข้างเป็นอะลูมิเนียมบรัชลาย ให้ความรู้สึกดูหรูหรา แข็งแกร่ง ดีไซน์ออกมาดูสวยงาม เรียบหรูดูมีสไตล์มากๆ
จุดเด่นสุดของด้านหน้า Padfone S ก็คือหน้าจอ ซึ่งมีขนาด 5 นิ้ว ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ความละเอียดระดับ Full HD 1920 x 1080 ดังนั้นเรื่องความคมชัดของภาพก็บอกได้เลยว่าหายห่วง แต่ที่เด่นจริงๆ ก็คือเรื่องสีสัน ความสว่างของภาพที่ทำออกมาได้ดีมาก เผลอๆ ภาพที่ได้จากจอของ ASUS Padfone S จะถูกใจหลายท่านมากกว่ามือถือราคาสูงกว่านี้ด้วยซ้ำไป ?มองตรงๆ ก็สวย มองด้านข้างก็ยังคงรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน โทนสีที่ได้จากจอก็ดูสดใส ฉูดฉาดเอาเรื่อง แต่ถึงกับขั้นสดจนเกินไปครับ รวมๆ แล้วน่าจะถูกใจคนชอบจอสีค่อนข้างสดเลยล่ะ
งานประกอบโดยรวมของตัวมือถือ ASUS Padfone S ก็ยังคงเอกลักษณ์ของ ASUS เอาไว้ได้ดี คือดูแข็งแกร่ง ทนทาน แน่นหนา ไม่ว่าจะทั้งจากตัวเครื่องเอง หรือจากขอบอะลูมิเนียมด้านข้างที่ทำให้ดีไซน์โดยรวมดูแข็งแรงคงทน เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างสบายๆ จะติดก็แต่เรื่องน้ำหนักที่ดูจากตัวเลข 150 กรัมแล้วเหมือนว่าจะไม่หนักมากนัก แต่พอมาจับตัวจริง จะรู้สึกว่ามันค่อนข้างหนักกว่าที่คิด ส่วนของพอร์ตและปุ่มกดต่างๆ ก็จะไม่แตกต่างไปจากสมาร์ทโฟน Android ทั่วไปมากนักครับ มีปุ่ม Power และแผงปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ทางขวาบนของเครื่อง ด้านล่างมีพอร์ต Micro USB พร้อมกับช่องล็อกตัวเครื่องติดกับแท็บเล็ต (Padfone Station) ส่วนด้านบนก็จะมีช่องเสียบแจ็คหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรอยู่
จับเทียบขนาดกับ iPhone 6 จอ 4.7 นิ้วซะหน่อย
ฝาหลังของ ASUS Padfone S จะเป็นพลาสติกเนื้อหนา เคลือบผิวด้าน ไม่ลื่นมือมากนัก และด้วยการออกแบบให้มีความโค้งรับกับรูปมือ ทำให้สามารถจับใช้งานเครื่องได้อย่างสบาย กระชับพอดีมือมากๆ สำหรับการแงะฝาหลังออกมาอาจจะลำบากซักหน่อยนะครับ เพราะต้องแงะที่บริเวณช่อง Micro USB เพราะด้านข้างเครื่องไม่มีร่องสำหรับแงะฝาหลังโดยเฉพาะมาให้เลย ตัวล็อกฝาหลังติดกับเครื่องเองก็ทำมาได้แน่นหนามากๆ อาจทำให้การแกะฝาหลังเป็นไปได้ยากและต้องใช้แรงมากซักหน่อยนะ
เมื่อแกะออกมาแล้ว ก็จะพบว่าที่ฝาหลังมีแผงวงจรสำหรับการชาร์จไฟไร้สายติดอยู่ด้วย ทั้งนี้การชาร์จไฟไร้สาย เราก็จำเป็นต้องมีแท่นชาร์จไร้สายด้วย ซึ่ง ASUS ก็มีขายแยก หรือจะใช้แท่นชาร์จของมือถือรุ่นอื่นก็ได้ ขอให้รองรับตามมาตรฐาน Qi เหมือนกันก็เป็นพอ แต่ก็อาจจะมีตำแหน่งที่ไม่เหมาะกับการวางเครื่องเพื่อชาร์จมากนัก เพราะไม่ตรงกับรุ่นของมันเอง
ส่วนที่ตัวเครื่องนั้น ก็จะมีแค่ช่องใส่ไมโครซิมและช่องใส่ MicroSD เท่านั้น แบตเตอรี่ไม่สามารถแกะได้โดยง่าย จะต้องไขน็อตออกมาก่อนเท่านั้น จึงจะแกะแบตเตอรี่ออกมาได้ เท่าที่ดูจากภายในก็ต้องบอกว่าเก็บงานได้ดีทีเดียว แทบไม่มีจุดตำหนิเลย แต่จะว่าไป ASUS Padfone S ก็มีจุดหนึ่งที่ดีไซนฺออกมาค่อนข้างแปลกนิดหน่อย ก็คือลำโพงที่มาอยู่ใต้กล้องถ่ายรูป และประกอบกับที่บริเวณนั้นเป็นส่วนที่สัมผัสพื้นสนิทพอดีเวลาวางเครื่อง จึงทำให้เสียงจากลำโพงโดนปิดไปพอสมควร
โดยรวมแล้ว ASUS Padfone S จัดเป็นมือถือ Android ที่คุ้มค่าเกินราคามากๆ ในเรื่องของความแข็งแรง ดีไซน์ ทั้งยังครบครันด้วยฟีเจอร์ในตัวอีกต่างหาก จะติดก็ที่หน้าตาดูธรรมดาๆ ไปหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าอยากชมภาพตัวเครื่องเต็มๆ หลายมุมก็รับชมกันได้จากแกลเลอรี่ด้านล่างได้เลย
Software
ASUS Padfone S ก็จะมาพร้อมกับ Android 4.4.2 KitKat ที่แปะครอบมาด้วย ASUS ZenUI ให้ความรู้สึกเดียวกับการใช้งาน Zenfone เลยครับ คือดูเรียบง่าย สวยงาม เป็นระเบียบดี แอพที่ติดตั้งเพิ่มมาให้ก็จะเป็นพวกแอพของ ASUS เอง ไม่หนักเครื่องเท่าไร ระหว่างใช้งานจริงก็จะเหลือแรมให้ใช้งานประมาณ 400 – 500 MB จากแรมที่มีทั้งหมด 2 GB ความไหลลื่นนี่หายห่วง สามารถตอบสนองการสั่งงานได้เร็ว ด้วยพลังประมวลผลและสเปคโดยรวมที่จัดอยู่ในระดับท็อป แถมตัวซอฟต์แวร์เองก็ทำมาได้ค่อนข้างดี จึงไม่พบปัญหาการใช้งานซักเท่าไรครับ
จะมีปัญหาหน่อยก็คือเรื่องการเชื่อมต่อ WiFi ที่บางครั้งก็หลุดซะอย่างนั้น?แต่ก็ยังไม่พบบ่อยเท่า Zenfone 5 ช่วงแรกๆ ครับ
Feature
สิ่งที่เป็นฟีเจอร์เด็ดสุดของ ASUS Padfone S ก็คงต้องเป็นการที่มันสามารถแปลงร่างตัวเองจากมือถือไปเป็นแท็บเล็ตได้นี่ล่ะครับ โดยการใช้งานแท่น Padfone Station เพิ่มเติม (ซื้อแยกในราคา 2,990 บาท) โดยตัวแท็บเล็ตนั้น จะมีหน้าที่เป็นแค่จอแสดงภาพจากมือถือเป็นหลัก ไม่มีชิปประมวลผล ไม่มีแหล่งเก็บข้อมูลภายในแต่อย่างใด ตัวมันเองจะมีแค่หน้าจอ, กล้องหน้า, แบตเตอรี่และลำโพงเสริมเท่านั้น ทำให้การใช้งานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผล การใช้งานแอพ การเก็บข้อมูล การใช้งานอินเตอร์เน็ต จะเป็นการทำมาจากตัวมือถือ Padfone S ทั้งหมด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานทั้งมือถือและแท็บเล็ต ตามแต่โอกาสจะอำนวย หรือตามการใช้งานที่จำเป็นต้องใช้ แต่ไม่อยากเสียค่าอินเตอร์เน็ต 3G/4G หลายแพ็กเกจ หลายซิม ไม่อยากต้องมานั่งลงแอพ ซิงค์ข้อมูลระหว่างกันให้วุ่นวาย เช่นตอนระหว่างเดินทางก็ใช้เป็นมือถือตามปกติไป พอถึงบ้าน ก็เสียบเข้ากับ Padfone Station ใช้ดูหนังได้อย่างสบายๆ
ตัว Padfone Station จะมีหน้าจอขนาด 9 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1200 (ละเอียดกว่าจอของมือถืออีก) ให้ใช้งาน คุณภาพของจอก็จัดว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีครับ ติดก็แค่สีสันของภาพดูไม่สวยสดจัดจ้านเท่าตัว Padfone S เท่านั้นเอง กับอีกเรื่องที่ดูขัดใจหน่อยก็คือขอบจอของ Padfone Station ที่หนามากๆ ทำให้ดูเหมือนใช้งานพื้นที่ไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น เพราะตัวของแท็บเล็ตนั้นมีขนาดใหญ่กว่า iPad Air ซะด้วยซ้ำไป แต่กลับได้หน้าจอขนาดแค่ 9 นิ้วเท่านั้น ถ้าทำขอบจอแคบลง คงได้พื้นที่แสดงผลเพิ่มขึ้นมามากทีเดียว แต่ก็นะ ราคาแค่ 2,990 บาทเท่านั้นเอง แต่ได้จอ Full HD พร้อมแบตเพิ่มขึ้นมา แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
สำหรับการใช้งาน ASUS Padfone S ร่วมกับ Padfone Station ก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เสียบตัวเครื่องมือถือเข้าไปช่องด้านหลังของแท็บเล็ตเท่านั้นเอง เรียบร้อยแล้วระบบก็จะแสดงหน้าจอขึ้นมาบนแท็บเล็ตแทน โดยจะแสดงหน้าจอแอพที่ใช้งานอยู่ เฉพาะแอพของ ASUS เองเท่านั้น?ถ้าเปิดใช้งานแอพอื่นอยู่ เช่นแอพ Play Store เมื่อเสียบใช้งานกับแท็บเล็ต หน้าจอที่จะแสดงขึ้นมาก็จะเป็นหน้าโฮมตามปกติ ส่วนแอพไหนที่มีแยกกันระหว่างมือถือกับแท็บเล็ต ก็จะมีตัวเลือกให้เราเข้าไปที่ Play Store เพื่อดาวน์โหลดแยกมาอีกทีครับ
ด้านของความเร็วการสลับใช้งานระหว่างมือถือ Padfone S กับแท็บเล็ต Padfone Station ก็ทำได้ค่อนข้างดี มีดีเลย์ระหว่างเปลี่ยนโหมดประมาณ 2 วินาที ก็สามารถใช้งานได้แล้ว แต่เรื่องภาพพื้นหลัง เลย์เอาท์การจัดเรียงไอคอน และวิดเจ็ตจะแตกต่างไปจากบนมือถือนะครับ
ส่วนเรื่องของการใช้งานแบตเตอรี่นั้น เราสามารถตั้งค่าจากใน Settings ได้ครับว่าจะให้ระบบจัดการอย่างไร แบ่งเป็น 3 แบบคือ
- Intelligent mode – ระบบปรับเปลี่ยนให้อัตโนมัติ (ปกติจะใช้ไปพร้อมๆ กันทั้งคู่)
- Phone preferred mode – แท็บเล็ตชาร์จไฟให้มือถือ (ใช้งานเครื่องได้ปกติ)
- Power pack mode – ให้ Padfone Station เป็น powerbank ชาร์จด่วนให้มือถือ (ใช้งานเครื่องไม่ได้)
ถ้าต้องการใช้งานตามปกติ ก็เลือกเป็น Intelligent mode ไว้ก็ได้ครับ ส่วนเวลาชาร์จไฟนั้น ก็จะชาร์จไปพร้อมกันทั้งคู่เลย สามารถชาร์จจากพอร์ต Micro USB ที่ด้านข้าง Padfone Station ได้เลย
ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะครับ แต่ก็มีจุดที่ทำให้รู้สึกว่าการใช้งานมันไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้างเหมือนกัน ก็คือเวลาที่เสียบมือถือลงไปบน Padfone Station แล้ว ตัวเครื่องจะนูนขึ้นมาจากฝาแท็บเล็ตมากๆ ทำให้เวลาวางแท็บเล็ตไปกับพื้น หน้าจอจะยกมาจากระดับพื้นสูงมาก ทำให้การมองภาพไม่ค่อยสะดวก รวมถึงน้ำหนักก็ค่อนข้างสูง ถือใช้งานไปนานๆ ก็อาจจะเมื่อยข้อมือได้เหมือนกัน
Camera
กล้องหลังของ ASUS Padfone S มาพร้อมความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี PixelMaster ที่ทำให้ภาพสวยคมชัด ถ่ายในสภาพมีแสงน้อยได้ดี ซึ่งน่าจะถูกใจหลายๆ ท่านแน่นอน เรื่องของโหมดการถ่ายภาพก็มีให้เลือกใช้มากมาย เช่นโหมดถ่ายในที่มีแสงน้อย, โหมด HDR, โหมดถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ, โหมดตัดวัตถุส่วนเกินออกจากภาพ เป็นต้น
ตัวอย่างภาพถ่าย ก็ตามในแกลเลอรี่ด้านล่างนี้เลย
Performance
มาดูเรื่องประสิทธิภาพกันบ้าง ASUS Padfone S พ่วงมาด้วยสเปคที่จัดอยู่ในมือถือระดับท็อปได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะเป็นชิป Snapdragon 801 แรม 2 GB จอ Full HD ทำให้ทั้งเรื่องของคะแนนทดสอบการประมวลผล และคะแนนกราฟิกทำออกมาได้สูง เผลอๆ จะสูงกว่ารุ่นไฮเอนด์บางตัวที่ราคาสูงกว่าซะด้วยซ้ำไป ส่วนในการใช้งานจริงก็อย่างที่พูดถึงไปแล้วในช่วงของซอฟต์แวร์ครับ คือสามารถใช้งานได้ไหลลื่น เปิดแอพก็รวดเร็ว สมกับที่เป็นรุ่นสุดคุ้มแห่งปลายปีนี้เลย
ส่วนเรื่องระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ ก็ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานครับ สามารถใช้งานได้เกือบวัน หรือถ้าใช้งานหนักก็จะได้เกินครึ่งวันมาหน่อยๆ เท่านั้น เนื่องด้วยแบตเตอรี่ในตัวมือถือมีความจุแค่ 2300 mAh เท่านั้น แต่ถ้าพกตัว Padfone Station ไปด้วยก็หายห่วงครับ เพราะมันสามารถใช้เป็น powerbank ให้ได้ด้วยนั่นเอง
Overall
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับรีวิว ASUS Padfone S พร้อมแท่น Padfone Station ที่ทำให้กลายร่างเป็นแท็บเล็ตได้ ดูแล้วน่าจะถูกใจหลายๆ ท่านที่ต้องการความคุ้มค่าอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นตรงที่มันสามารถสลับสับเปลี่ยนตัวเครื่องได้ตามรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ จะใช้เป็นมือถือตามปกติก็ได้ หน่วยความจำและแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตก็ใช้เป็นตัวเดียวกับในมือถือ ทำให้ไม่ต้องวุ่นวายจัดการเรื่องซิมการ์ด การซิงค์ข้อมูลกันระหว่างมือถือและแท็บเล็ตอย่างที่หลายๆ ท่านประสบกันอยู่ในตอนนี้ และที่สำคัญสุดก็คงเป็นเรื่องของราคา ซึ่งเปิดมาที่ 9,999 บาทสำหรับตัวมือถือ ASUS Padfone S ส่วนแท็บเล็ต Padfone Station ก็เปิดราคาแยกมา 2,990 บาท เบ็ดเสร็จแล้วก็อยู่ที่ประมาณ 13,000 บาทเท่านั้น แต่ได้มือถือสเปคระดับท็อป แถมได้ใช้แท็บเล็ตอีกด้วย คุ้มใช่มั้ยล่ะ
ข้อดี
- สเปคแรง ราคาคุ้ม
- งานประกอบดี แน่นหนา
- จอสวย การใช้งานทั่วไปไหลลื่นดีมากเมื่อดูในช่วงราคานี้
- สามารถเปลี่ยนไปใช้งานเป็นแท็บเล็ตได้
ข้อสังเกต
- ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก
- ไม่สามารถใช้งาน 3G ความถี่ 850 MHz ได้
- แบตเตอรี่ในตัวมือถือค่อนข้างน้อยไปหน่อย