
Alldocube คือแบรนด์แท็บเล็ตราคาไม่แพงที่มีขายอยู่บนร้านออนไลน์อย่าง Shopee และ Lazada แต่ถึงอย่างนั้นก็จะเป็นการสั่งซื้อจากต่างประเทศไม่ก็ร้านที่หิ้วเข้ามาขายเอง ทำให้เวลาเครื่องมีปัญหาจะไม่สามารถเคลมได้หรือถ้าได้ก็ต้องใช้เวลานาน ทว่าตอนนี้ทาง Allducube ได้เข้ามาทำตลาดในไทยด้วยแล้วโดยให้ บริษัท ที แอนด์ ซี เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างถูกต้องในไทย ซึ่งตอนนี้สามารถสั่งซื้อได้แล้วทุกช่องทาง ดังนั้นแล้วในบทความนี้เราจะมารีวิวแท็บเล็ตทั้ง 2 รุ่นนี้กันว่าแต่ละตัวเป็นอย่างไร และมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
สารบัญ
- Alldocube iPlay 50 mini
- ดีไซน์
- การใช้งานทั่วไป
- การเล่นเกม
- กล้องถ่ายภาพ
- แบตเตอรี่
- สเปค
- สรุปการรีวิว
- Alldocube iPlay 60 Pad Pro
- ดีไซน์
- การใช้งานทั่วไป
- การเล่นเกม
- กล้องถ่ายภาพ
- แบตเตอรี่
- สเปค
- สรุปการรีวิว

Alldocube iPlay 50 mini
มาเริ่มกันที่ Alldocube iPlay 50 mini ที่เป็นรุ่นเล็กราคาประหยัดกันก่อนเลย โดยในรุ่น iPlay 50 mini นี้เป็นรุ่นที่มีการวางจำหน่ายมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งแล้วอย่างไม่เป็นทางการ (หรือที่เรียกกันว่าเครื่องหิ้ว) ซึ่งจุดเด่นของแท็บเล็ตรุ่นนี้ก็คือเป็นขนาดที่เล็กกะทัดรัดที่สามารถใช้โทรได้ในราคา 3,990 บาท เลยทำให้เข้าถึงหลาย ๆ กลุ่มได้ง่าย เพราะสามารถโทรและสแกนจ่ายเงินได้ด้วยทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายมาก ดังนั้นเราไปทำความรู้จักกับรุ่นกะทัดรัดนี่กันเถอะ
ดีไซน์

สำหรับ Alldocube iPlay 50 mini นั้นจะเป็นแท็บเล็ตไซส์ 8 นิ้ว ที่ใช้หน้าจอ IPS เทคโนโลยี In-Cell full lamination ขนาด 8.4 นิ้ว ความละเอียด FHD+ อัตรารีเฟรช 60Hz และมีความสว่างอยู่ที่ 320 nits

ส่วนด้านหลังเครื่องนั้นจะมาด้วยดีไซน์เรียบโล่ง มีแค่โลโก้และเลนส์กล้องหลัง 1 เลนส์อยู่เท่านั้น สำหรับพื้นผิวนั้นจะมาเป็นผิวโลหะแบบเรียบลื่นที่ช่วยเพิ่มความหรูหราเวลาสัมผัส โดย iPlay 50 mini นั้นจะมีวางจำหน่ายอยู่สีเดียวคือสีเทา Space Gray
สำหรับขอบตัวเครื่องนั้นจะมาด้วยดีไซน์ขอบเหลี่ยมมีปุ่มรวมกันอยู่ที่ฝั่งขวาของตัวเครื่อง (เมื่อจับถือแนวตั้ง) ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นช่องใส่ซิมและ MicroSD ที่ด้านบนจะมีพอร์ต USB-C ส่วนด้านล่างจะมีลำโพงตัวเครื่องอยู่
ฟีเจอร์เด่น

ที่นี่มาพูดถึงเรื่อง จุดเด่นของ iPlay 50 mini ก็คือขนาดตัวเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่มาก มีน้ำหนักแค่ 292 กรัม ส่งผลให้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย แถมยังสามารถใส่กระเป๋ากางเกงได้อีกด้วย

อีกหนึ่งจุดเด่นของ iPlay 50 mini ก็คือแท็บเล็ตที่มีสามารถในการโทรได้ ทำให้สามารถใช้งานในรูปแบบโทรศัพท์เครื่องหนึ่งได้เลย อีกทั้งยังรองรับแอปฯ ธนาคารและแอปฯ อื่น ๆ ที่ใช้กันในชีวิตประจำวันด้วย


นอกจากนี้ด้วยขนาดตัวที่ไม่ได้ใหญ่มาก และหน้าจอขนาด 8.4 นิ้ว ที่เรียกได้ว่าขนาดพอดีมากสำหรับการเอามาใช้งาน E-book ไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือมังงะ ก็สามารถใช้ถืออ่านได้ทุกที่เลยครับ ซึ่งในจุดนี้ผมค่อนข้างชอบเลย เพราะด้วยน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างเบา สามารถเก็บใส่กระเป๋ากางเกงได้ และหน้าจอขนาดที่ใหญ่พอ ๆ กับหน้ากระดาษมังงะ ทำให้ไม่ต้องเพ่งให้ปวดตา แถมยังสามารถเอามาใช้อ่านนิยายหรือมังงะระหว่างเดินทางได้สะดวกสุด ๆ เลยครับ
การใช้งานทั่วไป

ในเรื่องของการใช้เล่นโซเชียลและความบันเทิงอย่างการดูหนังหรือฟังเพลงนั้น บอกเลยว่า iPlay 50 mini สามารถใช้งานได้ลื่นไหลดี แต่ด้วยการที่ตัวเครื่องมีลำโพงตัวเดียว เลยทำให้เสียงไม่ได้ดังมากเท่าไร ทว่าก็แลกมาด้วยการที่ตัวแท็บเล็ตมีช่องหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้แทน ทำให้สามารถเอาไปเชื่อมต่อกับหูฟังหรือลำโพงได้ง่าย

แต่จุดที่บอกได้เลยว่าน่าเสียดายคือในรุ่นเริ่มต้นที่ราคาค่าตัว 3,990 บาทนั้นจะมาพร้อมหน่วยความจำขนาด 64GB ซึ่งในปัจจุบันนี้ต่อให้จัดสรรพื้นที่ยังยากที่จะใช้ให้เพียงพอ แต่ถ้าหากเพิ่มเงินเข้าไปอีก 1,000 บาทก็จะได้หน่วยความจำขนาด 128GB มาแทน ซึ่งนี่น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานระยะยาวมากกว่า (เว้นแต่จะเอาไปใช้งานเป็นแท็บเล็ตสำหรับใช้รับออเดอร์ หรือใช้ในร้านต่าง ๆ)
การเล่นเกม

ในเรื่องของการเล่นเกมนั้นด้วยความที่ตัวเครื่องใช้ชิปประมวลผลเป็น Unisoc T606 ที่เป็นชิปราคาประหยัดเลยทำให้ไม่สามารถเล่นเกมกินสเปคได้ ทำได้แค่เอามาใช้เล่นเกมพื้นฐานทั่วไป โดยเกมที่เราได้เอามาลองเล่นจะมีเกม RoV, Free Fire ซึ่งบอกเลยว่าสำหรับเกมเหล่านี้ที่ไม่ได้กินสเปคนั้นสามารถเล่นได้ในระดับหนึ่ง โดยตอนที่ลองเล่นเกม RoV นั้นหากไม่มีทำอะไร FPS เกมจะอยู่ที่ 60 FPS แต่พอเริ่มมีการต่อสู้เกิดขึ้นก็จะร่วงลงมาอยู่ที่แถว ๆ 40 – 50 FPS แต่ถ้าเป็นช่วงสู้แบบหนักหน่วงหรือมีการรวมตัวกันเยอะ ๆ FPS จะหล่นลงมาต่ำกว่า 30 FPS เสียอีก ทำให้โดยพื้นฐานแล้ว iPlay 50 mini นั้นเหมาะที่จะเล่นเกมเบา ๆ ไว้ฆ่าเวลาหรือเกมอินดี้ต่าง ๆ มากกว่าครับ
กล้องถ่ายภาพ

สำหรับในเรื่องกล่องถ่ายภาพนั้น iPlay 50 mini มาพร้อมกล้องหน้าและหลังความละเอียด 5MP ทั้งคู่ซึ่งจากที่ได้เอาไปลองถ่ายภาพมาแล้วบอกเลยว่าอย่าไปคาดหวังมากนัก เพราะถึงแม้จะเป็นช่วงที่มีแสงเพียงพอภาพที่ได้ออกมาก็ไม่ได้ดีมากพอที่จะเอาไปใช้งาน อาจจะพอที่จะใช้อัพโหลดขึ้นโซเชียลได้บ้างครับ ซึ่งสิ่งที่จะใช้ประโยชน์จากกล้องได้มากที่สุดก็คือการใช้สแกน QR Code หรือใช้ VDO Call มากกว่าครับ
ตัวอย่างภาพถ่าย
แบตเตอรี่

ในเรื่องของแบตเตอรี่นั้นตัวเครื่องมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh ซึ่งจากสเปคตัวเครื่องที่ให้มาแล้วสามารถเอามาใช้งานแบบพ้นวันได้สบายเลยครับ แต่อย่างไรก็ตามผมไม่แนะนำให้ใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือน้อยหรือหมดครับ เนื่องจาก iPlay 50 mini นั้นรองรับการชาร์จที่ 10W ทำให้ต้องใช้เวลาชาร์จอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไปหากใช้งานแบตเตอรี่จนเกือบหมด ดังนั้นจึงอยากแนะนำว่าหลังแบตเตอรี่ลดลงมาเหลือราว ๆ 40 – 50% ก็ควรเริ่มชาร์จได้แล้วครับ
สเปคตัวเครื่อง
สเปค | Alldocube iPlay 50 mini |
---|---|
หน้าจอแสดงผล | – IPS แบบ In-Cell full lamination – ขนาด 8.4 นิ้ว – ความละเอียด 1200 x 1920 พิกเซล (FHD+) – Refresh Rate 60Hz – ความสว่างสูงสุด 320 nits |
ชิปประมวลผล | UNISOC T606 |
แรม | 4GB |
พื้นที่เก็บข้อมูล | 64GB / 128GB (รองรับ MicroSD สูงสุด 512GB) |
กล้องหลัง | 5MP |
กล้องหน้า | 5MP |
แบตเตอรี่ | 4,000mAh |
ระบบชาร์จ | 10W (5V/2A) |
ระบบปฏิบัติการ | Android 13 |
การเชื่อมต่อ | – Dual SIM 4G LTE – Wi-Fi 5 (802.11 a/b/g/n/ac) 2.4GHz/5GHz – Bluetooth 5.0 – GPS / Beidou / Galileo / Glonass – FM – USB Type-C – ช่องหูฟังขนาด 3.5 มม. |
ขนาด | 202.7 x 126 x 7.5 มม. |
น้ำหนัก | 292 กรัม |

สรุปการรีวิว Alldocube iPlay 50 mini
จากที่ได้ลองใช้งาน Alldocube iPlay 50 mini บอกเลยว่ามันคือแท็บเล็ตที่เหมาะกับการใช้งานหลากหลายรูปแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นการเอาไปให้ผู้สูงอายุหรือเด็กเล็กใช้งาน จะเอามาใช้อ่าน E-book ก็ได้ หรือจะเอาไปใช้งานในร้านค้าต่าง ๆ ก็ยังได้อีก แถมด้วยราคาค่าตัวที่ไม่ได้แรงทำให้เข้าถึงผู้ใช้งานได้ค่อนข้างกว้าง แต่สำหรับใครที่จะเอามาเล่นเกมก็ต้องบอกเลยว่าให้ทำใจเลยครับ เนื่องจากชิปประมวลผลนั้นไม่ได้มีความแรงมากพอที่จะเอามาใช้เล่นเกมดี ๆ ได้ ที่สามารถเล่นได้ส่วนมากจะเป็นเกมเบา ๆ ที่เอาไว้ใช้ฆ่าเวลาเสียมากกว่า
ใครที่กำลังหาแท็บเล็ตราคาเบา ๆ พกพาง่าย เน้นใช้งานเบา ๆ เป็นหลัก Alldocube iPlay 50 mini ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยครับ อีกทั้งด้วยการที่สามารถหาซื้อบนร้านค้าออนไลน์ทำให้สามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าปกติด้วยครับ หรือถ้าอยากดูของก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศได้เลยครับ โดยสำหรับช่องทางออนไลน์สามารถซื้อได้ตามลิ้งต่อไปนี้ได้เลยครับ
- Alldocube_Official Store (Shopee) : https://url.in.th/kfjje
- Alldocube Thailand (Lazada) : https://url.in.th/svzEc
- Alldocube Thailand (Tiktok Shop) : https://url.in.th/vSwRy

สำหรับผู้ที่สนใจ Alldocube iPlay 50 mini จะมีราคาค่าตัวอยู่ที่ 3,990 บาทสำหรับรุ่นความจุ 64GB และ 4,990 บาทสำหรับความจุ 128GB และเมื่อซื้อจะได้ของแถมเพิ่มเติมเป็นเคสใสมูลค่า 199 บาท และหัวชาร์จมูลค่า 199 บาทเพิ่มไปด้วยครับ

อีกทั้งหากอยากได้เคสแบบมีฝาปิดก็มีขายแยกด้วยครับในราคา 299 บาท ซึ่งจะให้เลือก 2 สีคือสีดำและสีเทา
สำหรับการรับประกันนั้นตัวเครื่องมีการรับประกันนาน 1 ปี โดยวิธีการส่งซ่อมนั้นเพียงแค่ติดต่อผ่าน LINE OFFICIAL : @allducube.th แล้วแจ้งปัญหาได้เลยครับ หากต้องซ่อมจะมีบริการรับ-ส่งเครื่องถึงหน้าบ้านฟรี ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะเลยครับ

Alldocube iPlay 60 Pad Pro
มาต่อกับที่แท็บเล็ตตัวใหม่ที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าสุด ๆ กับ Alldocube iPlay 60 Pad Pro แท็บเล็ตจอใหญ่ที่ใช้ในด้านบันเทิงก็ได้ จะใช้ทำงานก็ได้ แถมราคายังย่อมเยาอีกต่างหาก จากที่ได้ลองเล่นมาบอกเลยว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย ๆ ทีนี้เราไปดูกันดีกว่าว่า iPlay 60 Pad Pro นั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง
ดีไซน์

อย่างแรกที่ต้องพูดถึงเลยและเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ iPlay 60 Pad Pro ก็คือหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 12.1 นิ้ว ที่มีความละเอียดถึง 2.5K รองรับอัตรารีเฟรชที่ 90Hz และความลึกสีระดับ 10-bit อีกด้วย ซึ่งสีสันจอที่แสงออกมานับว่าสวยใช้ได้เลยสำหรับจอ IPS สำหรับกล้องหน้าของตัวเครื่องจะถูกวางไว้สำหรับใช้งานในแบบแนวนอนครับ

ที่ด้านหลังของตัวเครื่องจะมาด้วยดีไซน์เรียบ ๆ ไม่มีอะไรเลยนอกจากโมดูลกล้องและโลโก้ Alldocube โดยวัสดุที่ใช้จะเป็นโลหะทั้งตัว ทำให้ผิวสัมผัสดูหรูหราขึ้น ในส่วนของโมดูลนั้นจะเป็นโมดูลสี่เหลี่ยมยกนูนขึ้นมา ซึ่งภายในจะมีกล้อง 1 ตัวและไฟแฟลชอยู่ภายใน
ในส่วนของขอบตัวเครื่องนั้นจะมาด้วยดีไซน์ขอบเหลี่ยมที่มีลำโพงข้างละ 2 ตัว โดยที่ทางฝั่งขวาจะมีพอร์ต USB-C และช่องใส่ซิมอยู่ ส่วนที่ฝั่งซ้ายจะมีปุ่ม Power และปุ่มปรับเสียงอยู่ ขอบด้านบนจะมีไมโครโฟนอยู่ตัวเดียว ส่วนด้านล่างจะมี Connector สำหรับใช้เชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดอยู่ครับ
ฟีเจอร์เด่น

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจฟีเจอร์แรกเลยและเป็นสิ่งที่ช่วยให้การทำงานเป็นเรื่องที่สะดวกขึ้นนั่นก็คือ PC Mode ที่จะเปลี่ยน UI หน้าจอจากแบบ Tablet ให้มีหน้าคล้าย Windows ที่เราคุ้นเคย

ซึ่งการเข้า PC Mode นั้นมี 2 วิธี และง่ายมาก ๆ เลย โดยวิธีแรกก็คือเข้า PC Mode ผ่าน Control ที่ปัดลงมาจากด้านบน และอีกวิธีก็คือการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดเข้ากับตัวแท็บเล็ต ระบบก็จะถามขึ้นมาทันทีเลยว่าจะเข้า PC Mode ไหม

สำหรับตัวคีย์บอร์ดนั้นจะเป็นคีย์บอร์ดแบบ 78-Key พร้อม TouchPad ในตัว ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกสถานที่เลยครับ

อีกหนึ่งความน่าสนใจของตัวเคสที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ดก็คือตัวเคสนั้นสามารถกางออกมาใช้เป็นขาตั้งแท็บเล็ตได้ ซึ่งสามารถกางได้ 2 รูปแบบคือแบบปกติที่เอาไว้ใช้ทั่วไปและแบบ Creative สำหรับใช้ทำงานครับ

นอกจากเคสและคีย์บอร์ดแล้วยังมีปากกาไว้ให้ใช้งานคู่กันด้วยครับ แต่ปากกาตัวนี้จะเป็นแบบ Stylus ทำให้ไม่มีการแยกแยะน้ำหนักแรงกด แต่ถ้าพูดถึงการใช้เขียนแล้วนับว่าน่าสนใจมาก เพราะหัวปากกาจะมี 2 หัวให้ใช้งานคือหัว Stylus กลมแบบดั้งเดิม และหัวคล้ายปากกาที่มีปลอกแบน โดยตัวปลายที่มีปลอกแบนนี้จะเป็นหัวแบบปรับเอียงได้ทำให้สามารถใช้เขียนได้แม้จะมีการเอียงตัวปากกาในระดับหนึ่งก็ตาม และที่อึ้งไปกว่านั้นคือในตัวปากกา Stylus นี้ภายในยังมีปากกาหมึกซึมสีดำอยู่ด้วยครับ แต่ไม่ต้องห่วงว่าเมื่อใช้หมดแล้วจะทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากสามารถเปลี่ยนใส้เองได้เช่นกันครับ เรียกได้ว่าเป็นปากกาที่มีใช้งานได้หลากหลายมากเลย แต่ก็ชวนงงหน่อย ๆ เช่นกันครับ
การใช้งานทั่วไป

ในด้านการใช้งานต่าง ๆ นั้นสำหรับในเรื่องการเล่นโซเชียลบอกเลยว่าใหญ่สะใจมากด้วยหน้าจอที่ใหญ่ถึง 12.1 นิ้ว ทำให้ไม่ว่าจะเล่นในแบบแนวตั้ง แนวนอน หรือจะแบ่งหน้าจอก็ใหญ่เต็มตาอยู่ดี แต่หากพูดถึงสัดส่วนที่เล่นแล้วดูดีคือการเล่นแนวตั้งจะเห็นได้เต็มตาสุด ๆ เลยครับ

ในด้านความบันเทิงอย่างการดูหนังหรือฟังเพลงบอกเลย iPlay 60 Pad Pro ตัวนี้ผมอย่างชอบ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ถึง 12.1 นิ้ว และลำโพงถึง 4 ตัว ทำให้ได้รับอรรถรสอย่างเต็มที่ แถมตัวเครื่องยังรองรับ Widevine ระดับ L1 ทำให้สามารถดูหนังสตรีมมิ่งได้อย่างเต็มความละเอียดอีกด้วยครับ

หนึ่งในจุดที่เรียกได้ว่าเป็นข้อสังเกตใหญ่ ๆ ของรุ่นนี้เลยก็คือน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมากเมื่อมีการใส่เคสและคีย์บอร์ด โดยในตอนที่เอาไปลองใช้งานจะมีช่วงหนึ่งที่ผมประกอบเครื่องแบบครบชุดแล้วหิ้วออกไปข้างนอก ต้องบอกเลยว่าความรู้สึกตอนหิ้วไม่ได้ต่างไปจากการหิ้วโน๊ตบุ๊คแบบเบาบางเครื่องหนึ่งเลยครับ
การเล่นเกม

ในด้านการเล่นเกมนั้นตัว iPlay 60 Pad Pro นั้นมาพร้อมชิปประมวลผล Helio G99 ที่เป็นชิป 4G ราคาประหยัด โดยชิปตัวนี้เป็นชิปที่แรงพอจะเอามาใช้เล่นเกมได้ในระดับหนึ่งเลย ตราบใดที่ไม่ใช่เกมที่กินสเปคหนัก ๆ อย่าง Genshin Imapct, Infinity Nikki เป็นต้น ก็สามารถเล่นได้แบบสบาย ๆ เลยครับ โดยเราได้ลองเล่นเกม RoV, PUBG Mobile และ Free Fire ซึ่งทุกเกมสามารถเล่นได้แบบลื่น ๆ เลยครับ แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าลำบากกับการเล่นจริง ๆ คือด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ UI ต่าง ๆ เลื่อนเข้าไปข้างในทำให้ถือเล่นได้ลำบากพอสมควร อีกทั้งด้วยน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก ทำให้เวลาถือเล่นนาน ๆ แล้วมีเมื่อยข้อมือแน่นอน ดังนั้นถ้าถามว่า iPlay 60 Pad Pro รุ่นนี้สามารถเอามาเล่นเกมได้ไหมก็ต้องตอบว่าเล่นได้ แต่อยากแนะนำให้เล่นเป็นเกมที่ไม่จำเป็นต้องถือเล่นตลอดเวลาจะดีกว่า เพื่อสุขภาพข้อมือของคุณเอง
กล้องถ่ายภาพ

ในส่วนของกล้องถ่ายภาพนั้น iPlay 60 Pad Pro นั้นจะมาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 16MP และกล้องหน้าความละเอียด 8MP พร้อมด้วยไฟแฟลชที่กล้องหลังอีก 1 ตัว ซึ่งจากการที่เอาไปลองถ่ายภาพมาแล้วก็ต้องยอมรับว่ากล้อง 16MP ที่ให้มานั้นมีความคมชัดเพียงพอที่จะเอาไปใช้งานได้เลย แถมที่น่าสนใจคือมีระบบออโต้โฟกัสให้ด้วยครับ แต่ถ้าถามว่าเหมาะกับการเอามาใช้ถ่ายรูปเลยไหมก็ต้องบอกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เนื่องจากพอมีเงามืดหน่อยก็จะเริ่มเกิด Noise แล้ว ส่วนกล้องหน้านั้นความละเอียด 8MP นั้นเรียกได้ว่าคมชัดเพียงพอต่อการเอามาใช้ VDO Call เลยครับ ถึงแม้ในเรื่องสีสันจะดูซีดลงจากปกติพอสมควรเลย แต่ในเรื่องความคมชัดนี่หายห่วงครับ
ตัวอย่างภาพถ่าย
แบตเตอรี่

ในเรื่องของแบตเตอรี่นั้นตัวเครื่องมีแบตเตอรี่ขนาด 10,000mAh ซึ่งจากที่ลองใช้มาแล้วบอกเลยว่าอึด ถึก ทน ใช้ได้เลย ถ้าไม่ได้มีการใช้งานหนัก ๆ แล้วตัวแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ถึง 2 วันแบบสบาย ๆ เลยครับ และถึงแม้ว่าจะมีการใช้งานแบบจัดหนักจัดเต็ม ตัวแบตเตอรี่ก็สามารถอยู่จนจบวันได้สบายเลยครับ ในส่วนของการชาร์จนั้นตัวเครื่องมาพร้อมชาร์จเร็ว 33W ทำให้ใช้เวลาชาร์จน้อยลงพอสมควร ซึ่งจากการที่เราได้ทดลองชาร์จตอนแบตเตอรี่เหลือราว ๆ 10% นั้นจะใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม ซึ่งถือว่าค่อนข้างเร็วเมื่อเทียบกับขนาดแบตเตอรี่ที่มี อย่างไรก็ตามด้วยขนาดแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างเยอะจึงแนะนำให้เริ่มชาร์จได้ตั้งแต่ตอนแบตเตอรี่เหลือราว ๆ 40 – 50% เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอชาร์จนาน ๆ ครับ
สเปคตัวเครื่อง
สเปค | Alldocube iPlay 60 Pad Pro |
---|---|
หน้าจอแสดงผล | – IPS แบบ In-Cell full lamination – ขนาด 12.1 นิ้ว – ความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซล (2.5K) – Refresh Rate 90Hz – ความสว่างสูงสุด 550 nits – ความลึกสี 1.07 พันล้านสี |
ชิปประมวลผล | MediaTek Helio G99 |
แรม | 8GB |
พื้นที่เก็บข้อมูล | 128GB (รองรับ MicroSD) |
กล้องหลัง | 8MP |
กล้องหน้า | 16MP (รองรับ AutoFocus) |
แบตเตอรี่ | 10,000mAh |
ระบบชาร์จ | 33W PD (5V=2A/9V=3A/15V=2A/20V=1.5) |
ระบบปฏิบัติการ | Android 14 |
การเชื่อมต่อ | – Dual SIM 4G LTE – Wi-Fi 5 (802.11 a/b/g/n/ac) 2.4GHz/5GHz – Bluetooth 5.2 – GPS / Beidou / Glonass / Galileo – USB Type-C |
ขนาด | 180 x 278 x 7.4 มม. |
น้ำหนัก | 599 กรัม |

สรุปการรีวิว Alldocube iPlay 60 Pad Pro
สรุปการรีวิว Alldocube iPlay 60 Pad Pro จากการที่ได้เอาไปลองใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นบอกเลยว่า iPlay 60 Pad Pro เป็นแท็บเล็ตที่ค่อนข้างครบครันสำหรับคนงบไม่สูง เพราะได้ทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ ชิปประมวผลที่รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ใช้งานได้ตลอดวัน และเคสคีย์บอร์ดที่ช่วยให้ใช้ทำงานนนอกสถานที่ได้ตลอดเวลา ถึงจะต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างมากก็ตาม
ใครที่กำลังหาแท็บเล็ตจอใหญ่ราคาเบา ๆ เน้นใช้ทำงานเอกสารด้วย Alldocube iPlay 60 Pad Pro ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยครับ อีกทั้งด้วยการที่สามารถหาซื้อบนร้านค้าออนไลน์ทำให้สามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าปกติด้วยครับ หรือถ้าอยากดูของก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศได้เลยครับ โดยสำหรับช่องทางออนไลน์สามารถซื้อได้ตามลิ้งต่อไปนี้ได้เลยครับ
- Alldocube_Official Store (Shopee) : https://url.in.th/iyHkb
- Alldocube Thailand (Lazada) : https://url.in.th/ywrke
- Alldocube Thailand (Tiktok Shop) : https://url.in.th/JDZLP

สำหรับคนที่สนใจ Alldocube iPlay 60 Pad Pro นั้นจะมีราคาค่าตัวอยู่ที่ 8,990 บาท โดยเมื่อซื้อจะได้รับของแถม 2 อย่างคือ ชุดเคส+คีย์บอร์ด มูลค่า 1,499 บาท และปากกา มูลค่า 499 บาท ไปด้วยเลยครับ
สำหรับการรับประกันนั้นตัวเครื่องมีการรับประกันนาน 1 ปี โดยวิธีการส่งซ่อมนั้นเพียงแค่ติดต่อผ่าน LINE OFFICIAL : @allducube.th แล้วแจ้งปัญหาได้เลยครับ หากต้องซ่อมจะมีบริการรับ-ส่งเครื่องถึงหน้าบ้านฟรี ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะเลยครับ
คำถามที่พบบ่อย
แท็บเล็ต Alldocube เหมาะกับใคร
- แท็บเล็ต Alldocube iPlay 60 Pad Pro เน้นที่กลุ่มลูกค้าวัยผู้ใหญ่, First Jobber, ครู, ข้าราชการ, ร้านค้า Online
- แท็บเล็ต Alldocube iPlay 50 mini เน้นที่กลุ่มลูกค้าเด็กวัยเรียน, ผู้สูงอายุ, ร้านค้า Online
เวลามีปัญหาจะเคลมอย่างไร
- แท็บเล็ต Alldocube ตอนนี้ถูกนำเข้ามาขายอย่างเป็นทางการในไทย ทำให้มีการรับประกันศูนย์ไทยเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยวิธีการเคลมเครื่องนั้นทำได้โดยการแอด Line Official : alldocube.th ครับ
แท็บเล็ต Alldocube โทรได้ไหม
- แท็บเล็ต Alldocube ทั้ง 2 รุ่นนั้นรองรับการโทรผ่านเครือข่าย 4G เนื่องจากทั้ง 2 เครื่องรองรับการใส่ซิมแถมยังเป็นแบบ 2 ซิมด้วยครับ
Alldocube iPlay 60 Pad Pro น่าสนใจกว่าแท็บเล็ตแบรนด์อื่นในเรทราคาเดียวกันยังไง
- แท็บเล็ต Alldocube iPlay 60 Pad Pro นั้นเป็นแท็บเล็ตที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าสุด ๆ ด้วยราคาค่าตัวแค่ 8,990 บาทแต่ได้หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 12.1 นิ้ว อีกทั้งยังได้เคสกับคีย์บอร์ด มูลค่า 1,499 บาท และปากกา มูลค่า 499 บาท มาแบบครบชุด ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนเลย อีกทั้งยังมีการรับประกันนาน 1 ปีให้ด้วย ใครที่อยากจ่ายทีเดียวจบ Alldocube iPlay 60 Pad Pro ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ