ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่ามือถือจาก ASUS นั้นมีกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยเรื่องของสเปคตัวเครื่องที่คุ้มค่า ราคาของตัวเครื่องนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ที่เรานั้นรับได้ และในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นทาง ASUS ได้เปิดตัวและวางจำหน่ายมือถือที่น่าสนใจในบ้านเราอย่างเช่น ASUS Zenfone Zoom มือถือที่มาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพแบบ Optical 3X ซึ่งผมได้เขียนรีวิวไปเรียบร้อยแล้วและมือถืออีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจและได้วางจำหน่ายในบ้านเรานั้นได้แก่ ASUS Zenfone Max ซึ่งเป็นมือถือที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันในวันนี้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ามือถือเครื่องนี้ไม่ธรรมดาเพราะมาพร้อมกับขุมพลังจากแบตเตอรี่ถึง 5,000 mAh เลยทีเดียวโดย ASUS Zenfone Max ได้เปิดราคาในบ้านเราอยู่ที่ 6,490 บาทเท่านั้น ซึ่งมือถือรุ่นนี้จะมีจุดเด่นและข้อสังเกตตรงไหนบ้างติดตามได้จากบทความรีวิวนี้ได้เลยครับ
สเปคของ ASUS Zenfone Max
- หน้าจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้วความละเอียดแบบ HD
- ซีพียู Snapdragon 410 แบบ Quad Core ความเร็ว 1.2 GHz
- แรม 2 GB
- หน่วยความจำภายใน 8/16 GB (รองรับการใช้งาน Micro SD สูงสุด 128 GB)
- กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมระบบเลเซอร์โฟกัสและแฟลชแบบ Real Tone
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมและ 4G LTE
- แบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh (สามารถใช้งานเป็น Power Bank ได้)
- ราคา 6,490 บาท
- สเปคของ ASUS Zenfone Max แบบเต็ม
กล่องของ ASUS Zenfone Max นั้นจะมาในดีไซน์แบบเดียวกับกันมือถือ Zenfone หลายๆ รุ่นนั่นคือจะเป็นแบบสไลด์เพื่อเปิดกล่องออกนั่นเอง และเมื่อเปิดกล่องออกมาเราจะพบกับ ASUS Zenfone Max มือถือแบตเตอรี่อึดที่มาในดีไซน์แบบพรีเมี่ยมมากกว่า เมื่อเทียบกับมือถือจาก ASUS รุ่นอื่นๆ ในช่วงราคาไล่ๆกัน โดยอุปกรณ์พื้นฐานที่มีมาให้ในกล่องนั้นจะประกอบด้วย อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ , สาบ Micro USB และหูฟังแบบ In-Ears ขนาด 3.5 มิลลิเมตรและที่น่าสนใจนั่นคือทาง ASUS ยังได้แถมจุกยางสำหรับปรับขนาดหูฟังให้พอดีกับหูของเรามาให้อีกด้วย ซึ่งจุดนี้เองที่ถือว่าคุ้มค่าเพราะตามปกติแล้วเท่าที่สังเกตได้ ASUS จะแถมหูฟังเฉพาะมือถือที่มีราคาเกิน 9,000 บาทขึ้นไปเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นเรื่องของอุปกรณที่มีให่มาในกล่องนั้นก็ถือว่าพอดีกับการใช้งานแล้วล่ะครับ และมาพูดถึงเรื่องแรกนั่นก็คือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องกันก่อนเลยดีกว่า
จุดเด่น
– แบตอึดถึง 5,000 mAh
– สามารถชาร์จพลังงานให้มือถือเครื่องอื่นๆได้
– มีระบบเลเซอร์โฟกัสในการถ่ายภาพ
– รองรับการอัพเดทเป็น Android 6.0 Marshmallow
– สามารถปรับแต่ง UI ได้อย่างหลากหลาย
– รองรับการใช้งาน Micro SD
ข้อสังเกต
– แอพ Bloatware ค่อนข้างเยอะ
– ปุ่ม Navigation ไม่มีไฟ LED
– ซีพียูความเร็วค่อนข้างต่ำ
– ราคานี้ยังมีมือถือให้เลือกอีกหลายรุ่น
บทสรุป
BEST DESIGN
Design
เริ่มกันที่เรื่องแรกนั่นคือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง ASUS Zenfone Max มาพร้อมกับดีไซน์ที่เรานั้นคุ้นตาซึ่งจะต่างจาก ASUS Zenfone Zoom ที่ปรับเปลี่ยนในเรื่องของดีไซน์ใหม่ทั้งหมด และทั้งสองรุ่นนี้ได้เปิดตัวในบ้านเราในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย หน้าจอของ ASUS Zenfone Max นั้นมาพร้อมกับหน้าจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้วความละเอียดแบบ HD
ซึ่งหน้าจอของ ASUS Zenfone Max นั้นมีความสว่างมากกว่าหน้าจอของ ASUS Zenfone 2 (ZE551ML) อย่างเห็นได้ชัดหน้าจอของ ASUS Zenfone Max นั้นเมื่อปรับระดับความสว่างไปที่ระดับสูงสุดก็พบว่าสามารถสู้แสงแดดได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องใช้สายตาในการเพ่งมองหน้าจอมากนัก แต่จะแสดงผลได้ดีเป็นพิเศษหากเราเลือกใช้งาน Theme ที่สว่างๆ
เรื่องของความละเอียดของหน้าจอนั้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ ซึ่งต้องชื่นชมข้อดีของ ZenUI นั่นคือเราสามารถปรีบเฉดสีของหน้าจอให้เข้มขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้หน้าจอของ ASUS Zenfone Max นั้นมีสีสันที่จัดจ้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าชดเชยในเรื่องของความละเอียดหน้าจอในระดับ HD ไปได้ในระดับหนึ่งเลย ด้านบนของหน้าจอนั้นจะเป็นตำแหน่งของลำโพงสนทนา
และที่สังเกตได้อย่างชัดเจนนั่นคือโลโก้ของ ASUS ที่จะอยู่ตรงใต้ลำโพงซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่ใช้ในมือถือ Zenfone เกือบทุกรุ่นที่ผ่านมา ใกล้กันเป็นตำแหน่งของกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และยังมีเซนเซอร์วัดสภาพแสงที่จะช่วยหรี่แสงหน้าจอให้พอดีกับสภาพแสงในพื้นที่โดยรอบที่เราใช้งาน ASUS Zenfone Max อยู่และยังมีเซนเซอร์ที่จะช่วยปิดหน้าจอในขณะที่เราสนทนาโทรศัพท์เพื่อเป็นการประหยุดพลังงานอีกด้วย
ด้านล่างของหน้าจอจะเป็นตำแหน่งของปุ่ม Navigation ได้แก่ปุ่ม Home , Back และ Recent Task ซึ่งในรุ่นนี้นั้นยังไม่มีไฟ LED ใส่มาให้เหมือนเช่นเคย นอกจากนี้ยังมีชิ้นพลาสติกขัดเงาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมือถือ Zenfone อยู่ที่ด้านล่างของปุ่ม Navigation อีกด้วย ด้านบนตัวเครื่องของ ASUS Zenfone Max จะเป็นช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตรเหมือนเช่นเคย
ซึ่งสิ่งที่จะสามารถสังเกตได้อย่างง่ายๆ นั่นคือปุ่ม Power ที่โดยมากจะอยู่ในบริเวณนี้กลับมีการเปลี่ยนตำแหน่งในมือถือ ASUS Zenfone Max เครื่องนี้ด้วยเช่นกัน และที่ด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นตำแหน่งของช่อง Micro USB เพื่อใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และใกล้กันจะเป็นไมโครโฟนที่ใช้ในการสนทนาโทรศัพท์และใช้บันทึกเสียง
ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ ซึ่งการที่ไม่มีปุ่มต่างๆ นั้นจะทำให้เห็นว่าตัวเครื่องของ ASUS Zenfone Max นั้นดูพรีเมี่ยมสวยงามมากขนาดไหน ซึ่ง ASUS Zenfone Max เครื่องที่ทางทีมงานของเราได้มารีวิวนั้นจะเป็นรุ่นสีดำตัดด้วยสีทองที่ขอบตัวเครื่องโดยรอบและที่ด้านขวาของตัวเครื่องนั้นจะเป็นตำแหน่งของปุ่มควบคุมระดับเสียง
และปุ่ม Power ที่ใช้ในการเปิด/ปิดเครื่อง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นิยมใช้ในมือถือทั่วๆไป เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่สามารถใช้งานได้อย่างถนัดมือมากกว่าดีไซน์แบบที่ปุ่ม Power นั้นอยู่ด้านบนตัวเครื่อง จะเห็นได้ว่าทาง ASUS ได้เริ่มเปลี่ยนดีไซน์การวางตำแหน่งของปุ่มควบคุมต่างๆ ตามลักษณะของมือถือจากแบรนด์ต่างๆ ที่วางขายในบ้านเราในตอนนี้
ซึ่งสังเกตได้จากมือถือรุ่นที่เปิดตัวระยะหลังๆ อย่างเช่น ASUS Live มือถือรุ่นเล็กราคาเบาๆ ASUS Zenfone Zoom และ ASUS Zenfone Max นั้นได้เริ่มวางปุ่มควบคุมต่างๆ ไว้ที่ด้านข้างของตัวเครื่องแทนการวางตำแหน่งไว้ที่ด้านหลังของตัวเครื่องซึ่งใช้งานได้ไม่ค่อยสะดวก และอาจเผลอทำหลุดมือได้หากไม่ประคองตัวเครื่องไว้ให้ดีในระดับหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นการทำลายข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ ในรุ่นเก่าๆ ไปได้อย่างหมดจด แต่ก็ต้องรอดูว่าในอนาคต ASUS จะกลับมาใช้ดีไซน์แบบเดิมอีกหรือไม่ใน ASUS Zenfone 3
และมาพูดถึงส่วนที่น่าสนใจนั่นคือด้านหลังของตัวเครื่องซึ่งฝาหลังของ ASUS Zenfone Max จะมาในดีไซน์แบบหนัง ซึ่งทำให้การจับถือรวมไปถึงรูปลักษณ์ของตัวเครื่องนั้นดูสวยงามพรีเมี่ยมเกินราคา ด้านบนของด้านหลังจะเป็นตำแหน่งของกล้องถ่ายภาพความละเอียด 13 ล้านพิกเซลและมาพร้อมกับแฟลช LED แบบ Real Tone ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพคนในที่แสงน้อยนั้นทำได้ดีมากยิ่งขึ้นและจะสังเกตได้ว่าด้านบนของกล้องนั้นจะเป็นไมคโครโฟนตัวที่สองที่ใช้ในการตัดเสียงรบกวนภายนอกในขณะที่เรานั้นทำการสนทนา
นอกจากนี้ ASUS Zenfone Max ยังมาพร้อมกับระบบเลเซอร์โฟกัสที่จะช่วยทำให้กล้องของ ASUS Zenfone Max นั้นโฟกัสวัตถุในการถ่ายภาพได้อย่างแม่นยำ โดยจะใช้เวลาในการโฟกัสเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เรียกว่าเป็นจุดขายอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ ASUS Zenfone Max เป็นมือถือที่น่าสนใจ และเราจะสังเกตเห็นโลโก้ของ ASUS นั้นโดดเด่นอยู่ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ส่วนที่ด้านล่างของฝาหลังจะเป็นช่องลำโพงขนาดใหญ่ซึ่งหากไม่ได้สังเกตดีๆก็แทบจะมองไม่เห็นเลยเหมือนกันเพราะดีไซน์ของลำโพงนั้นกลมกลืนไปกับฝาหลังเลย
พูดถึงเรื่องของการพกพากันบ้าง ASUS Zenfone Max จัดว่าเป็นมือถือที่พกพาง่ายเพราะดีไซน์ตัวเครื่องนั้นส่วนตัวแล้วผมถือว่าไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่สำหรับผู้หญิงอาจมองว่าใหญ่เกินไปเหมือนเช่นเคย การจับถือในมือนั้นถือว่าสามารถทำได้ดีด้วยความที่ด้านหลังตัวเครื่องนั้นเป็นหนังทำให้รู้สึกนุ่มมือเล็กน้อยเมื่อได้ถือ แต่ก็มีข้อสังเกตเล็กน้อยนั่นคือตัวเครื่องนั้นลื่นหลุดมือได้ค่อนข้างง่ายดังนั้นขณะที่เราใช้งานก็ควรจะถือตัวเครื่องไว้ให้มั่นคงจะดีที่สุด ส่วนการพกพาไปตามที่ต่างๆ นั้นก็สามารถใส่กระเป๋ากางเกงไปได้อย่างง่ายๆ เลยครับ และมาพูดถึงเรื่องถัดไปนั่นคือเรื่องของซอฟท์แวร์กันต่อเลยดีกว่า
Software
มาพูดถึงเรื่องซอฟท์แวร์กันบ้าง ASUS Zenfone Max มาพร้อมกับ Android 5.0.2 เช่นเดียวกับมือถือ Zenfone หลายรุ่นที่ผ่านมา ซึ่งในตอนแรกผมเองนั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไม ASUS ถึงไม่ใช้ Android 5.1.1 Lollipop ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่า Android 5.0.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ใช้ใน ASUS Zenfone Max และมือถือตระกูล Zenfone อีกหลายรุ่นด้วยกัน และล่าสุดทาง ASUS ได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า ASUS Zenfone Max เป็นหนึ่งในรุ่นที่จะได้รับการอัพเดตเป็น Android 6.0 Marshmallow ในไตรมาสที่สองของปีนี้ เรียกว่าอดใจรอกันอีกนิดเดียวก็ได้ Android เวอร์ชั่นใหม่ไปใช้งานกันแล้ว
และจุดนี้เองที่ทำให้ผมนั้นหายสงสัยว่าทำไม ASUS ถึงไม่ใช้ Android 5.1.1 Lollipop แทนเวอร์ชั่น 5.0.2 ที่มาพร้อมกับ ASUS Zenfone Max และมือถือ Zenfone อีกหลายรุ่น ซึ่งผมได้คาดการณ์ว่าทาง ASUS น่าจะวางแผนการอัพเดทเวอร์ชั่น Android มาก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ Android เวอร์ชั่นที่ใหม่กว่า Android 5.0.2 ที่เราใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน
ASUS Zenfone Max เครื่องที่ทางทีมงานของเราได้มารีวิวนั้นมาพร้อมกับหน่วยความจำภายในขนาด 16 GB และสิ่งที่ผมได้เจอนั่นคือ ASUS Zenfone Max มาพร้อมกับแอพ Bloatware อยู่พอสมควร หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่ามีแอพขยะติดเครื่องมาพอสมควรนั่นเอง และจะสังเกตได้ว่าหน่วยความจำภายในตัวเครื่องนั้นเหลือราวๆ 6 GB กว่าๆ เท่านั้นและเมื่อผมได้ทำการเคลียร์ข้อมูลตกค้างภายในเครื่องรวมถึงการลบแอพพลิเคชั่นที่คิดว่าเราคงไม่ค่อยได้ใช้งาน
อย่างเช่น Dr.Safety,TripAdvisor,Clean Master , Free Game และอื่นๆ ออกไป ก็ได้พบว่าพื้นที่ความจำของตัวเครื่องนั้นได้เพิ่มขึ้นมามากพอสมควร เหลือแค่เพียงแอพพลิเคชั่นที่ไม่สามารถลบออกจากตัวเครื่องได้เท่านั้น สรุปว่าหน่วยความจำภายในของ ASUS Zenfone Max เมื่อได้ลบแอพที่ไม่จำเป็นออกไปเรียบร้อยแล้วจะเหลือราวๆ 8 GB ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่ายังไม่เพียงพอต่อการใช้งานของเราอย่างแน่นอน
เพราะเพียงแค่เราติดตั้งแอพพลิเคชั่นใหญ่ๆ ลงไปหน่วยความจำตัวเครื่องนั้นก็แทบจะเต็มแล้ว ยังไม่รวมถึงภาพถ่ายที่เรานั้นต้องถ่าย หรือเพลงที่คนส่วนใหญ่ต้องฟัง ซึ่งการใช้งาน ASUS Zenfone Max จะลำบากมากเข้าไปอีกหากตัวเครื่องนั้นไม่ได้รองรับการใช้งานหน่วยความจำภายนอกอย่าง Micro SD สูงถึง 128 GB ซึ่งถือว่ายังโชคดีที่ ASUS Zenfone Max นั้นรองรับการใช้งานหน่วยความจำภายนอกดังกล่าว
และในส่วนของแอพที่มีติดเครื่องอย่างเช่นแอพจาก Google นั้นก็มีให้เราได้ใช้งานกันอย่างครบครันเหมือนเช่นเคยไม่ว่าจะเป็นแอพอย่าง Google Chrome , Google Drive , Maps , Gmail , Play Music เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแอพที่เราต้องได้ใช้งานกันอย่างแน่นอน และมาพูดถึงเรื่องต่อไปนั้นคือเรื่องของฟีเจอร์ของ ASUS Zenfone Max กันต่อดีกว่า
Feature
พูดถึงเรื่องของฟีเจอร์กันบ้าง ASUS Zenfone Max มาพร้อมกับฟีเจอร์ เดียวกันกับ Zenfone 2 รุ่นตัวท็อปทุกประการ ไม่ว่าจะเป็น ZenUI ที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ หรือจะเป็น Zen Motion ที่จะเน้นการใช้งานแบบ Touch Gesture หรือเจสเจอร์แบบสัมผัสนั่นเอง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงานที่ให้เรานั้นสามารถเลือกได้ว่าต้องการใช้งานในรูปแบบใด และตัวอย่างของฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับ ASUS Zenfone Max นั้นมีดังต่อไปนี้
ASUS Mobile Manager
เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มักจะใช้งานบ่อย โดยฟีเจอร์นี้จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการทรัพยากรในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแบตเตอรี่ CPU หรือการรันแอพพลิเคชั่น โดยจะแบ่งเป็น 4 หมวดด้วยกันนั่นก็คือ
- Power Saver เลือกโหมดประหยัดพลังงาน แบบต่างๆ
- Auto-Start อนุญาตว่าเราจะให้แอพพลิเคชั่นใดเริ่มทำงานตั้งแต่เปิดเครื่อง
- Data Usage รายงานผลการใช้งาน 3G+Wifi
- Notifications อนุญาตว่าจะให้แอพพลิเคชั่นใดแสดงการแจ้งเตือนข่าวสารต่างๆ
Zen Motion
เป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจ และผมคิดว่าเราจะใช้งานฟีเจอร์นี้บ่อยแน่นอน โดยฟีเจอร์นี้จะเน้นการใช้งานแบบ Gesgure ซึ่งเป็นการใช้งานแบบสัมผัสขณะเครื่องอยู่ในโหมด Sleep สามารถตั้งค่าได้อย่างหลากหลาย เช่น
- แตะที่หน้าจอสองครั้งเพื่อเปิด/ปิด หน้าจอ ( แทนการกดด้วยปุ่ม Power )
- วาด W เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น Browser
- วาด S เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น ข้อความ
- วาด E เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น E-mail
- วาด C เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น กล้อง
- วาด Z เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น Asus Boost
- วาด V เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น โทรศัพท์
นอกจากนี้เรายังสามารถเปิดใช้งาน Quick Trigger หรือการใช้งานแบบมือเดียวซึ่งสามารถเปิดการใช้งานโหมดนี้โดยการเข้าไปที่การตั้งค่า → Zen Motion → One Hand Mode → แล้วติ๊กเครื่องหมาย √ ที่ Quick Trigger ซึ่งสามารถเปิดใช้งานโดยการกดที่ปุ่ม Home สองครั้งติดกันเท่านั้น หน้าจอของ ASUS Zenfone Max ก็จะถูกย่อขนาดลงมาเหลือขนาดแค่พอดีกับมือของเรา และที่น่าสนใจนั่นคือเรายังสามารถปรับขนาดของหน้าจอได้อีกด้วย
Theme
ถือว่าเป็นจุดแข็งอีกหนึ่งอย่างของมือถือจาก ASUS นั่นก็คือเรื่องของการปรับแต่ง Theme บน ZenUI ซึ่งทาง ASUS เองได้ให้อิสระในการปรับแต่ง Theme ต่างๆ ที่ค่อนข้างเปิดกว้าง สิ่งแรกที่จะสามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดายนั่นคือ Font ของตัวเครื่องที่เราสามารถดาวน์โหลด Font แบบต่างๆ มาจาก Play Store ได้โดยตรง และล่าสุดยังเราสามารถใช้งาน Theme นอก Play Store บน ASUS Zenfone Max ได้อีกด้วย
Camera
พูดถึงเรื่องของกล้องถ่ายภาพกันบ้าง ASUS Zenfone Max มาพร้อมกับกล้องความละเอียดขนาด 13 ล้านพิกเซลและเทคโนโลยี Pixel Master 2.0 เช่นเดียวกับมือถือ Zenfone รุ่นตัวท็อปทุกรุ่นที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าน่าสนใจมากๆ เพราะราคาของ ASUS Zenfone Max นั้นอยู่ที่ 6,490 บาท แต่กลับได้ฟีเจอร์เช่นเดียวกับมือถือระดับเรือธง โหมดการถ่ายภาพ ASUS Zenfone Max นั้นก็มีให้เลือกใช้งานกันถึง 18 โหมดเลยทีเดียว แต่ที่ผมจะนำเสนอจะเป็นโหมดที่เราใช้งานกันบ่อยๆ นั่นก็คือ โหมด Beautification, Low Light, Super Resolution และ Manual
- Beautification หรือเราอาจเรียกว่าโหมดบิวตี้ก็ได้เช่นกัน โหมดนี้รับรองว่าต้องถูกใจสาวๆที่ชอบถ่ายเซลฟี่อย่างแน่นอน เพราะสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความเนียนของผิว ปรับโทนสีผิว ปรับใบหน้าให้หน้าเรียว ก็สามารถปรับได้ตามใจต้องการ
- Low Light คือการปรับแต่งเม็ดพิกเซลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่างต่อพิกเซลให้มากขึ้น พูดง่ายๆก็คือสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น แต่การเปิดใช้ฟังก์ชั่นนี้ความละเอียดของกล้องถ่ายภาพจะถูกลดลงเหลือเพียง 3 ล้านพิกเซลเท่านั้นแต่ได้รายละเอียดของภาพที่ถ่ายในที่แสงน้อยที่ชัดเจนมากขึ้น
- Super Resolution เป็นโหมดที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพด้วยความละเอียดสูงถึง 52 ล้านพิกเซลโดยหลักการทำงานคือระบบจะถ่ายภาพไว้ทั้งหมด 4 ครั้งแล้วจึงประมวลเข้าเป็นภาพความละเอียดสูง เหมาะสำหรับการนำภาพไปปรับแต่งต่อไป แต่ข้อเสียของการถ่ายภาพด้วยโหมดนี้นั่นก็คือไฟล์ภาพจะค่อนข้างใหญ่เพราะเกิดจากการรวมภาพ 4 ภาพเข้าด้วยกันแต่การถ่ายภาพด้วยโหมดนี้จะได้รายละเอียดของภาพมากกว่าการถ่ายแบบปกติครับ
- Manual หรือบางคนอาจจะเรียกว่าโหมดโปรครับ ซึ่งในโหมดนี้เราสามารถปรับแต่งค่าต่างๆของกล้องได้ทั้งหมด เช่น ค่า White Balance ซึ่งปรับได้ทีละ 50K ค่าความไวแสง (ISO) ที่ปรับได้ตั้งแต่ 50-800 ค่าความเร็วชัตเตอร์ก็สามารถปรับได้นานสุดที่ 1/2 วินาที ค่าการชดเชยแสง และ ระยะโฟกัสก็สามารถปรับได้ตามใจชอบครับ จะหน้าชัดหลังเบลอก็สามารถทำได้ง่ายดายทีเดียว และผมได้นำตัวอย่างภาพที่ถ่ายจากกล้องของ ASUS Zenfone Max มาให้ชมกันแล้ว
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ ASUS Zenfone Max
Performance
และมาพูดถึงเรื่องสุดท้ายนั่นคือเรื่องของประสิทธิภาพความแรงของตัวเครื่อง ASUS Zenfone Max ซึ่งมือถือรุ่นนี้จะมาพร้อมกับซีพียู Snapdragon 410 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นเก่าอยู่เหมือนกัน ในเรื่องของการประมวลผลต่างๆ นั้นทำได้อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ซึ่งสิ่งที่เราจะสามารถสังเกตได้ง่ายนั่นคือระยะเวลาในการติดตั้งแอพพลิเคชั่นที่ดาวน์โหลดมาจาก Google Play Store ส่วนในเรื่องของการทำงานทั่วไปนั้น ASUS Zenfone Max สามารถใช้งานได้อย่างปกติ และเมื่อเป็นมือถือ Zenfone สิ่งที่พลาดไม่ได้นั่นคือการทดสอบโดยการเล่นเกมให้รู้กันไปเลยว่าเกมระดับไหนที่ ASUS Zenfone Max เครื่องนี้สามารถเล่นได้อย่างราบรื่น และปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการเล่นเกมนั้นมีอะไรบ้าง
และผมจึงได้ทำการทดสอบด้วยการเล่นเกมอย่าง Asphalt 8 เมื่อเปิดเกมมาจะพบว่าตัวเกมถูกตั้งค่ากราฟฟิกไว้ที่ Medium นั่นหมายความว่าการเล่มเกมใน ASUS Zenfone Max นั้นถือว่าเป็นมือถือที่สามารถเล่นเกมได้ในระดับกลางๆ และเมื่อได้ทดสอบโดยการเล่นก็พบว่าสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลในการตั้งค่ากราฟฟิกแบบ Medium และขั้นต่อมาผมได้ทดสอบกับการเล่นเกมอย่าง God Of Rome ก็พบว่าสามารถเล่นได้อย่างราบรื่นเช่นเดียวกันแต่กราฟฟิกที่ออกมานั้นจะดูค่อนข้างธรรมดาไปหน่อยแต่เล่นได้ไม่กระตุกแน่นอน
และสุดท้ายผมได้ทบสอบกับเกมปราบเซียนอย่าง N.O.V.A. 3 ซึ่งเป็นเกมที่ขึ้นชื่อในเครื่องกินสเปคตัวเครื่องถ้าเครื่องไม่แรงจริงนี่การเล่นจะมีปัญหาอย่างแน่นอน ผลที่ออกมานั้นก็ไม่แตกต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ คือมีการกระตุกเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการแสดงผลกราฟฟิกสูงๆ และเมื่อผมได้ลองปรับโหมดประหยัดพลังงานเป็น Performance เพื่อให้ซีพียูทำงานด้วยความเร็วสูงสุดก็พบว่ายังไม่สามารถเล่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเนื่องจากซีพียูนั้นรับไม่ไหวนั่นเอง แต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคา 6,490 บาท แล้วล่ะครับ
สรุปว่า ASUS Zenfone Max เป็นมือถือที่เหมาะกับคนที่อยากได้มือถือหน้าจอใหญ่ๆ มองได้เต็มตา กับแบตเตอรี่ขนาดความจุเยอะๆ ที่ไม่ต้องมาชาร์จวันๆ นึงหลายรอบ ASUS Zenfone Max ถือว่าเป็นมือถือที่สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี ในเรื่องของราคาวางจำหน่ายที่ 6,490 บาทนั้นก็เรียกว่าเป็นราคาที่ไม่แรงมากจับต้องได้ไม่ยากสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังถือว่ามีข้อสังเกตเล็กน้อยๆ ที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมนั่นก็คือราคาประมาณนี้ยังมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง ZTE ฺBlade A711 ที่มาพร้อมกับหน้าจอ Full HD ซีพียู Snapdragon 615 รองรับการใช้งานเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ แต่จะเป็นรองในเรื่องของขนาดความจุแบตเตอรี่เท่านั้น แต่โดยรวมแล้ว ASUS Zenfone Max จัดว่าเป็นมือถือที่คุ้มค่าเครื่องหนึ่งแล้ว