iPhone 8 ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่น ที่ทาง Apple นั้น ได้เลิกวางจำหน่ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่กลางปี 2020 รวมไปถึงค่าย โอเปอร์เรเตอร์ใหญ่ อย่าง AIS และ TrueMove H ทั้งสองค่าย ที่ในตอนนี้ไม่มีขายอีกแล้ว เหลือเพียงแค่ Dtac เท่านั้นที่ยังมีขายอยู่ โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 8,200 บาท เท่านั้น
iPhone 8 เป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่น ที่ยังมีความน่าสนใจอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะเปิดตัวมานานแล้ว แต่ประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ก็ถือว่ายังใช้งานได้ดีอยู่ เข้ากับยุคสมัยได้ แน่นอนว่าสเปคเครื่อง ก็มีคุณสมบัติที่คล้ายกับตัว Plus ถึงแม้จะมีอะไรที่ดรอปลงมาบ้าง จากรุ่นใหม่ๆ ในตอนนี้ แต่รุ่นนี้ก็ถือว่ายังเป็นรุ่นผสมผสานของเก่าและใหม่ ไปในเครื่องเดียวกัน ที่มีด้านหลังเป็นกระจกรุ่นแรก และตัวสุดท้ายที่ใช้ Touch ID ในการปลดล็อคหน้าจอ เหมือนกัน แล้วรุ่นนี้ยังน่าสนใจอยู่หรือไม่? และมีอะไรที่แตกต่างไปจากตัวที่เป็น Plus บ้าง?
วันนี้เราก็จะมาแนะนำกันว่า iPhone 8 นั้น มีอะไรดีอยู่บ้าง สเปคการใช้งานยังคงใช้ได้หรือไม่ และที่สำคัญคือ ซื้อจากศูนย์ หรือซื้อออนไลน์คุ้มกว่ากัน ซึ่งตอนนี้ก็มีเพียงค่ายเดียว อย่าง Dtac เท่านั้น ที่ยังมีขายอยู่ นอกนั้นไม่มีแล้ว มีเพียง iPhone 8 Plus เท่านั้น ที่ยังเหลืออยู่ครบทุกค่าย อ่านโปรฯได้ ที่นี่
สเปคของ iPhone 8
การเปิดตัวของรุ่นนี้ ได้เปิดตัวพร้อมกันถึง 3 รุ่นด้วยกัน คือ iPhone 8, 8 Plus และ iPhone X เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งตัว iPhone 8 นั้น ถือว่าเป็นเครื่องที่มี สเปคเริ่มต้นจากทั้ง 3 รุ่นที่ออกมาพร้อมกัน แต่ก็เพียงภายนอกเท่านั้น เพราะภายใน และระบบก็มีความคล้ายคลึงกับตัว Plus มาก เราไปดูกันเลยดีกว่า ว่ารุ่นนี้มีสเปคอะไรบ้าง ที่ยังน่าสนใจอยู่
สเปคภายนอกของ iPhone 8
ด้วยการเปิดตัวที่มี สเปคและตัวเครื่องที่ขนาดเล็กที่สุดจากทั้ง 3 รุ่น ตอนก่อนเปิดตัว หลายคนจึงคิดว่า จะใช้ชื่อรุ่นว่าเป็น iPhone 7S หรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้เป็น 7 แต่เป็น 8 แทน เพราะการพัฒนาใหม่ ทั้งตัวเครื่อง ฝาหลัง และฟังก์ชันอีกหลายอย่างก็ได้พัฒนาขึ้นมาอีกเยอะกว่าตัว iPhone 7 โดยวัสดุภายนอก จะใช้กระจก และอลูมิเนียมที่ซ้อนกัน ต่างจากรุ่นเก่าๆ ที่ใช้ อลูมิเนียมล้วนๆ
แต่ถึงแม้ว่าจะใช้กระจกและอลูมิเนียม แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้น้อยลงเลย ความแข็งแกร่งของตัวเครื่องก็ยังเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมมา คือ สามารถใช้ Wireless Charging ได้ด้วย ถือเป็นรุ่นแรกของทาง iPhone ด้วย ที่สามารถใช้ Wireless Charging ได้ ส่วนด้านข้างยังคงเป็นอลูมิเนียมอยู่ มีด้วยกัน 3 สี คือ เงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์ ความมันวาวของตัวกระจกนั้นทำให้สีของตัวเครื่อง แตกต่างไปจากของเดิมมาก ทำให้มีความสวยแบบใหม่ที่ลงตัวกว่าเดิม
น้ำหนักของตัวเครื่อง มีความหนักที่ 148 กรัม เบากว่าตัว Plus ถึง 54 กรัม และความยาว ความกว้างจะอยู่ที่ 138.40 x 67.30 มิลลิเมตร และหนาเพียง 7.3 มิลลิเมตร จึงทำให้กะทัดรัด และใช้งานนั้นง่ายกว่า ถือได้ถนัดเข้ามือแน่นอน ส่วนทางด้านของการใช้พอร์ท ก็ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 แล้ว เหมือนกัน สามารถกันน้ำและกันฝุ่นได้ในระดับนึงด้วย (ไม่เกิน 1 เมตร)
จอแสดงผลแบบ True Tone
หน้าจอของ iPhone 8 มีขนาดความกว้าง 4.7 นิ้ว ในแนวทแยง ที่ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (401 ppi) และยังคงเป็น Retina HD Retina Display 24-bit (16 ล้านสี) ที่ทำให้สีสันการใช้งานของ iPhone ออกมาสวยและสมจริง สิ่งที่เพิ่มมาจากเดิมคือ การปรับหน้าจอแบบ True Tone ที่ช่วยปรับ White Balance ของหน้าจอ ทำให้หน้าจอเวลาใช้งาน จะเปลี่ยนความเข้มแสงให้โดยอัตโนมัติ ให้พอดีกับสายตา ขณะที่ใช้งานทั้งในที่ร่ม และเมื่อออกไปกลางแดด ผิวกระจกมีการลงหมึก 7 ชั้น ทำให้การแสดงสีต่างๆในหน้าจอ ออกมาได้อย่างแม่นยำ และดูมีมิติมากขึ้น
ความใหม่ของ หน้าจอแบบ True Tone นั้นมีทั้งในตัวปกติ ตัวที่เป็น Plus และ iPad Pro ด้วย หน้าจอรุ่นนี้ ได้เคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และรองรับ 3D touch ที่เป็นระบบรับแรงกดของหน้าจอ ส่วนลำโพงจะเหมือนกับตัว Plus ที่มีความดังกว่าตัวเก่าถึง 25%
Touch ID
ระบบ Touch ID และการสแกนลายนิ้วมือ เพื่อปลดล็อคหน้าจอ ของรุ่นนี้ยังคงมีปุ่ม Home ให้กดอยู่ ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายในบรรดา iPhone ที่ใช้ปุ่ม Home แล้ว รุ่นหลังจากนี้จะเป็นหน้าจอที่รองรับการปลดล็อคหน้าจอ ด้วยใบหน้าหมดแล้ว โดยเป็นแบบ touch ID ที่เคลือบสีถึง 7 ชั้น เหมือนกับหน้าจอ สามารถป้องกันรอยขีดข่วน และมีความแม่นยำมากขึ้น
ระบบการทำงาน กับชิป A11 สุดแรง
ระบบปฏิบัติการของ iPhone 8 จะใช้ iOS 11 และหน่วยประมวลผลจาก A11 แบบ A11 Bionic Hexa Core ที่มีทั้งความแรง 2.74 GHz และ AI ที่มีความฉลาดมากขึ้นกว่ารุ่นที่ผ่านๆมา เร็วกว่า iPhone 7 ถึง 2 เท่า ในตอนนั้นถือว่าดีที่สุดของ iPhone เลยทีเดียว โดยตัวนี้มี CPU แบบ 6 คอร์ เหมือนกับตัว Plus เช่นกัน จะเล่นเกมหรือจะตัดต่อวิดีโอ ผ่านเครื่องนี้ก็เป็นได้ง่าย ไหลลื่นสุดๆ
หน่วยความจำของรุ่นนี้คือ RAM 2GB กับความจุที่ให้มา 64 GB กับ 256 GB ซึ่งถือว่าเยอะมาก แต่ในตอนนี้ จะมีขายเพียงรุ่น 64 GB เท่านั้น อีกอย่างนึงที่น่าสนใจก็คือ การรองรับ AR ที่มาอย่างเต็มรูปแบบ ที่ทำให้สามารถทำให้เห็นวัตุถุเสมือนจริงๆ ได้ด้วย (ขึ้นอยู่กับแอปฯที่ใช้งานด้วย ว่ารองรับระบบ AR หรือไม่)
การเชื่อมต่อข้อมูล
ในส่วนของการเชื่อมต่อข้อมูลนั้น สามารถเชื่อมต่อ WiFi แบบ 802.11 ac และการหาตำแหน่ง Assisted GPS ได้เหมือนรุ่นปกติ รวมไปถึง Bluetooth 5.0 สิ่งที่ทำให้การเชื่อมต่อ เปลี่ยนไปตลอดกาล คือไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 ให้อีกต่อไปแล้ว แต่จะเปลี่ยนเป็นแบบ USB Lightning แทน ก็คือช่องเดียวกับการชาร์จแบตเตอรี่นั่นเอง แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะหายาก เพราะรุ่นนี้ยังมีอุปกรณ์มาให้ครบอยู่ ไม่ต้องไปหาเพิ่มอีก รองรับเครือข่าย GSM มากสุด 1900 MHz รวมไปถึง 4G LTE และ 4G VoLTE ที่สามารถคุยกันได้อย่างรวดเร็ว และเข้าถึงกันง่ายขึ้น
กล้องหลัง ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กล้องของ iPhone 8 นั้น จะเป็นกล้องดิจิตอล ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เพียงตัวเดียว และมีความกว้างรูรับแสง สูงสุดที่ขนาด ƒ/1.8 หน้าชัดหลังเบลอได้สวยๆ ซึ่งจะต่างจากตัว Plus ที่เป็นแบบ Dual-Camera ที่มีถึง 2 กล้อง รุ่นนี้มีไฟแฟลชถึง 2 สีด้วยกัน เป็น LED แบบ 4 LED (True Tone) คือ มีสีเขียว และสีขาวในแฟลชอันเดียว ส่งผลให้การถ่ายภาพบุคคลในที่มืด ภาพที่ได้จะมีความสว่างเท่ากับฉาก และรูปคนที่ถ่ายมาจะมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมี ระบบเซ็นเซอร์ป้องกันการสั่น และระบบโฟกัสที่ไวขึ้น รวมไปถึงการถ่ายภาพแบบ HDR ที่ถ่ายภาพช่วงการรับแสงสูงได้ ส่วนการซูมจะได้เพียง 5 เท่า เท่านั้นส่วนการถ่ายวิดีโอ ยังคงมีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และสามารถถ่ายได้ที่ความชัดระดับ 4K ความละเอียด 2160 x 3840 พิกเซล สามารถถ่าย Slow Motion ได้เหมือนกับตัว Plus 1080p ที่ 120 fps และ 720p ที่ 240 fps
กล้องหน้าแบบ HD
กล้องหน้าของ iPhone 8 จะมีความละเอียดอยู่ที่ 7 ล้าน พิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/2.2 พร้อมกับระบบกันสั่น OIS เหมือนกับกล้องหลัง ทำให้สามารถเซลฟี่ได้ไม่สั่น สามารถถ่าย Live Photo ที่คล้าย Stop Motion ได้ และมีการใช้แฟลชแบบ Retina Flash เข้ามาช่วย ทำให้การถ่ายเซลฟี่ ในเวลากลางคืนทำได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าได้ ด้วยความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (1080p HD) ซึ่งถือว่าชัดมาก
แบตเตอรี่ กับการชาร์จแบบ Wireless Charging
การเปลี่ยนแปลงของฝาหลังให้เป็นกระจก ก็เพื่อที่จะทำให้ตัวเครื่องนั้น รองรับการชาร์จแบบไร้สายได้ (Wireless Charging) ซึ่งระบบนี้จะถูกฝังอยู่ด้านหลังของตัวเครื่องนั่นเอง Apple เองก็ได้ออก AirPower มาด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาขาย แต่จะเป็นตัวอื่นแทน ที่เป็นแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi สามารถใช้งานได้กับ iPhone หรืออุปกรณ์ที่ใช้งาน Qi ได้ทั้งหมด เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ผ่าน Wireless Charging ได้เลย จ่ายกระแสไฟได้สูงสุดถึง 7.5W ความจุของแบตเตอรี่รุ่นนี้ คือ 1,821 mAh และเป็นแบตเตอรี่แบบ Li-Po รองรับ Fast Charging ที่ระดับ 15W ช่วยให้สามารถชาร์จได้ไวยิ่งขึ้น
โปรโมชัน iPhone 8 จาก Dtac
อย่างที่บอกไปว่า รุ่นนี้เหลือขายแต่เพียงค่ายเดียวคือ Dtac และมีเพียงเครื่อง 64 GB เท่านั้น มีราคาเครื่องเปล่าอยู่ที่ 15,900 แต่ถ้าหากซื้อร่วมกันโปรโมชัน จะได้ส่วนลดสูงสุดถึง 7,700 บาท ในราคาเริ่มต้นเครื่องละ 8,200 บาท นอกจากนี้ เรื่องของสีที่เหลือ กับสาขาที่ยังมีขายอยู่ ควรสอบถามก่อนทุกครั้ง หรือกด ที่นี่ และมีโปรโมชันมือถือ ดังนี้
ราคาเครื่อง | ราคาแพ็กเกจ | ชำระล่วงหน้า | สัญญา | คืนส่วนลด | ราคาจ่ายเหมารวมเครื่อง และบริการรายเดือน |
8,200 บาท | 1,499 บาท ขึ้นไป | 3,500 บาท | 12 เดือน | 10 เดือน | 11,945 บาท |
10,200 บาท | 1,099 บาท ขึ้นไป | 2,500 บาท | 12 เดือน | 10 เดือน | 12,875 บาท |
11,200 บาท | 899 บาท ขึ้นไป | 2,000 บาท | 12 เดือน | 10 เดือน | 13,340 บาท |
12,300 บาท | 699 บาท ขึ้นไป | 1,500 บาท | 12 เดือน | 10 เดือน | 19,905 บาท |
การสมัครโปรฯและแพ็กเกจ จะเป็นแบบไหนก็ได้ที่มีราคาเท่ากัน หรือมากกว่าราคาที่บอกไว้ ขึ้นไป นอกจากนี้ยังสามารถรับสิทธิพิเศษ ด้วยการใช้ Apple TV+ ฟรี 1 ปี เมื่อคุณซื้ออุปกรณ์ Apple หากหมดช่วงทดลองใช้งาน จะเสียค่าใช้จ่าย ราคา 99 บาทต่อเดือน (ควรสอบถามศูนย์บริการก่อนทุกครั้ง) ดูเพิ่มเติม
การซื้อ iPhone 8 ผ่านร้านค้าออนไลน์
นอกจากศูนย์บริการจากทาง Dtac แล้ว ยังสามารถซื้อเครื่องได้อีก ผ่านช่องทางร้านค้าออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada หรือเว็บขายมือถือมือสองทั่วไป แต่ต้องขอบอกก่อนเช่นเคยว่า ควรตรวจสอบให้ดีทุกครั้ง ก่อนการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ทางที่ดีที่สุดคือ การตรวจสอบด้วยตนเองว่าเครื่องที่ซื้อ เป็นเครื่องใหม่มือหนึ่ง เครื่องมือสอง หรือเป็นเครื่อง Refurbished และควรเช็คอุปกรณ์ที่ทางร้านให้มาว่าเป็นของแท้ หรือเป็นของก๊อป AAA (การซื้อทุกครั้งมีความเสี่ยงเสมอ)
ราคากลางของเครื่องจะอยู่ที่ 8,500 – 9,700 บาท แต่ถ้าเป็นราคามือสอง จะอยู่ที่ประมาณ 6,000 – 7,000 บาทเท่านั้น (ควรเช็คของก่อนการซื้อทุกครั้ง)
และทั้งหมดนี้ก็คือ ความน่าสนใจของ iPhone 8 ที่ยังมีขายกันอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะใกล้ตกรุ่นไปแล้ว แต่ด้วยประสิทธิภาพที่ยังดีอยู่ การซื้อมาใช้งานก็ยังถือว่า ใช้งานได้ดีพอสมควร เหมาะกับการซื้อไปใช้งานได้ตามปกติ หรือซื้อเป็นของขวัญให้ผู้ใหญ่ก็ได้ ด้วยราคาเครื่องที่ไม่แพงจนเกินไป แถมยังได้โปรโมชันในการใช้งานอีกด้วย ก็ถือว่ายังคุ้มค่า ที่จะซื้อมาใช้งานอยู่แน่นอน แล้วถ้ามีเรื่องราวใหม่ๆ มาอีก เราก็จะมาอัพเดทให้รู้กันอีกเรื่อยๆ นะครับ