OPPO Joy 3 สมาร์ทโฟนน้องใหม่สเปกจัดเต็ม ไม่ต้องจ่ายแพงก็แรงได้
วงการสมาร์ทโฟนระดับราคาประหยัดต้องสั่นสะเทือนอีกครั้งกับการมาถึงของ OPPO Joy 3 สมาร์ทโฟนน้องใหม่ล่าสุดจาก OPPO ที่มีดีเกินราคาค่าตัว เทียบชั้นกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ราคาแพงกว่าได้อย่างสบายๆ โดยสมาร์ทโฟนระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาทที่กำลังได้รับความสนใจอยู่ในท้องตลาด ณ เวลานี้ก็มี Samsung Galaxy J1 , Samsung Galaxy Core Prime และ VIVO Y15
อันดับแรกเรามาดูตารางสเปกเปรียบเทียบกันว่า OPPO Joy 3 มีความคุ้มค่าน่าซื้ออยู่ในระดับไหน
OPPO Joy 3 VS. VIVO Y15
OPPO Joy 3 เด่นกว่า VIVO Y15 อย่างชัดเจนในเรื่องของประสิทธิภาพ ด้วยความที่ Y15 นั้นใช้เพียง CPU 2 แกนสมอง ความเร็ว 1.2GHz ทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM ที่มีขนาดเล็กเพียง 512MB ในขณะที่ OPPO Joy 3 เลือกใช้ CPU 4 แกนสมอง 1.3GHz และ RAM ขนาด 1GB ทำให้ OPPO Joy 3 ทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้รวดเร็วกว่า และไม่เกิดอาการเครื่องหน่วงในขณะใช้งาน
และอีกจุดที่เห็นความแตกต่างคือเวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ ที่ Y15 ยังคงเป็น Android 4.2 ในขณะที่ Joy 3 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการรุ่นที่อัพเดตกว่าอย่าง Android 4.4 ทำให้รองรับการใช้งานในอนาคตได้ดีกว่า ขนาดแบตเตอรี่ของ OPPO Joy 3 ก็ยังความจุสูงกว่าอยู่เล็กน้อยอีกด้วย และเรื่องสุดท้ายคือ Y15 ไม่รองรับ 2 ซิมการ์ด ในขณะที่ OPPO Joy 3 รองรับ 2 ซิมการ์ด ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า
OPPO Joy 3 VS. Samsung Galaxy J1
เมื่อจับ OPPO Joy 3 มาเทียบตัวต่อตัวกับ J1 จะพบว่า OPPO Joy 3 เด่นกว่าในทุกๆ จุด เริ่มตั้งแต่หน้าจอที่ของ J1 มีขนาดเล็กกว่าและความละเอียดต่ำกว่า และในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงาน J1 เลือกใช้เพียง CPU 2 แกนสมองทำงานร่วมกับ RAM ขนาดเล็กเพียง 512MB ในขณะที่ OPPO Joy 3 ใช้ CPU 4 แกนสมองทำงานร่วมกับ RAM 1GB ทำให้ทำงานได้ลื่นไหลกว่า J1 อย่างชัดเจน อีกจุดที่ OPPO Joy 3 เด่นกว่าคือแบตเตอรี่ความจุสูง 2,000mAh ทำให้ระยะเวลาการใช้งานต่อรอบการชาร์จสูงกว่า J1 ที่ให้แบตฯ มาเพียง 1,850mAh เท่านั้น
OPPO Joy 3 VS. Samsung Galaxy Core Prime
และเมื่อจับ OPPO Joy 3 มาเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นที่มีราคาสูงกว่ากันอยู่ 1,000 บาท อย่างรุ่น Samsung Galaxy Core Prime ก็ต้องบอกว่าสเปกของทั้ง 2 รุ่นนี้สูสีกันมาก แต่ OPPO Joy 3 ก็ยังแอบเอาชนะไปในเรื่องของขนาดหน้าจอความละเอียดสูงกว่า ที่ระดับ FWVGA 854×480 จุด การแสดงผลบนหน้าจอดูละเอียดเนียนตาสวยงามกว่า Core Prime ที่หน้าจอความละเอียดน้อยกว่า (WVGA 800×480 จุด)
และเรื่องขนาดหน่วยความจำภายในของ OPPO Joy 3 ที่มีขนาดเพียง 4GB อาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับหน่วยความจำขนาด 8GB ของ Core Prime แต่การใช้งานจริงก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด เพราะ OPPO Joy 3 สามารถขยายความจุสำหรับการติดตั้งแอพและเก็บไฟล์ด้วยการ์ด microSD ได้สูงสุด 32GB
ทำให้ OPPO Joy 3 เป็นสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 5,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าเลือกซื้อมากที่สุดในช่วงเวลานี้ เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายแพง แต่ต้องการสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานได้อย่างจริงจัง
เซลฟี่สวยกว่าด้วย Pure Image 2.0+ และโหมด Beautify
สมาร์ทโฟนรุ่นราคาย่อมเยามักจะทำให้สาวกเซลฟี่ต้องผิดหวังกับผลงานภาพถ่ายที่ไม่น่าประทับใจ แต่ไม่ใช่กับสมาร์ทโฟนของ OPPO ที่โดดเด่นในเรื่องการถ่ายเซลฟี่หน้าเนียน OPPO Joy 3 มาพร้อมระบบประมวลผลภาพอัจฉริยะ Pure Image 2.0+ ที่มีระบบการจับโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ ทำให้ได้ภาพเซลฟี่ที่ใบหน้าสว่างใสกำลังดีในสภาพแสงหลายรูปแบบ และยังมีฟังก์ชั่นเก๋ๆ อย่าง Voice Selfie ที่ทำให้การถ่ายเซลฟี่ง่ายและสนุกกว่าที่เคย แค่เพียงพูดคำว่า Cheeze หรือ Color ภาพเซลฟี่ก็จะถูกบันทึกเอาไว้ทันทีแบบง่ายๆ ไม่ต้องแตะปุ่มชัตเตอร์ให้ยุ่งยาก
และด้วยโหมดการถ่ายเซลฟี่แบบ Beautify (ถ่ายรูปพร้อมแต่งสวย) ที่มีฟิลเตอร์การแต่งภาพหน้าเนียนให้เลือกใช้ถึง 8 แบบ ที่สามารถปรับความเข้มของการใส่ฟิลเตอร์ได้ตั้งแต่ระดับ 0-100
เรามาชมภาพถ่ายเซลฟี่ด้วยฟิลเตอร์รูปแบบต่างๆ ของ OPPO Joy 3 กันครับ
และด้วยระบบ Pure Image 2.0+ ทำให้ OPPO Joy 3 เป็นสมาร์ทโฟนราคาเบาๆ ที่มีโหมดการถ่ายภาพที่แปลกใหม่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โหมดการถ่ายแบบรับแสงสองครั้ง (หรือ Double exposure) ที่เป็นการถ่าย 2 ภาพแล้วนำมาซ้อนรวมเป็นภาพเดียว ได้ภาพถ่ายที่สวยงามสร้างสรรค์ และโหมดการถ่ายแบบ GIF ที่เป็นการถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องกันหลายๆ ภาพ แล้วนำมาเปิดเล่นต่อเนื่องเป็นคลิปวิดีโอแบบสโลโมชั่น ก็เป็นการสร้างสรรค์ผลงานภาพถ่ายที่แปลกใหม่และน่าสนุกอย่างยิ่ง
และ OPPO Joy 3 ก็มีฟังก์ชั่นแก้ไขภาพถ่ายติดตั้งมาให้เรียบร้อย มีโหมดการปรับความสว่างภาพ 4 แบบ , ตัดส่วนหรือหมุนกลับภาพได้ 4 แบบ , ใส่ฟิลเตอร์ปรับแต่งภาพได้ 7 แบบ และปรับโทนสีภาพได้อีก 8 แบบ ใครที่ชอบแต่งภาพให้มีโทนสีสวยๆ ก่อนโพสต์ ไม่ว่าจะเป็นโทนสีภาพแบบ โลโม่ , ซีเปีย (ภาพโทนสีน้ำตาลดูคลาสสิค) หรือภาพโทนขาวดำ ก็ไม่ต้องติดตั้งแอพแต่งภาพให้เปลืองพื้นที่ในหน่วยความความเครื่องครับ
OPPO Joy 3 ทำอะไรก็ง่ายกว่าด้วย ColorOS 2.0
ในเรื่องของระบบปฏิบัติการ VIVO Y15 ดูด้อยกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในการเปรียบเทียบครั้งนี้อย่างชัดเจน เพราะยังคงใช้ระบบ Android เวอร์ชั่นเก่า 4.2.2 ทำให้รองรับการใช้งานในอนาคตได้น้อยกว่า และเมื่อเปรียบเทียบในกลุ่มสมาร์ทโฟนที่เหลืออีก 3 รุ่นคือ OPPO Joy 3, Samsung Galaxy J1 และ Samsung Galaxy Core Prime ก็ต้องบอกว่า OPPO Joy 3 ได้เปรียบกว่าด้วยระบบปฏิบัติการการที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ OPPO อย่าง ColorOS 2.0 (บนพื้นฐานของ Android 4.4) ที่ทำให้สมาร์ทโฟนใช้งานได้ง่าย และสนุกกับการใช้งานมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ Hand Gesture ที่ทำให้เรียกแอพเฟซบุ๊กหรือแอพอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว แค่เพียงวางเส้นตรงในขณะที่หน้าจอปิดอยู่ ไม่ต้องเปิดหน้าจอแล้วไล่หาไอคอนแอพให้เสียเวลา และการเรียกกล้องถ่ายภาพก็ทำได้ง่ายๆ แค่เพียงวาดวงกลมในขณะที่หน้าจอปิดอยู่
ฟีเจอร์การโทรอัจฉริยะของ ColorOS 2.0 ก็ทำให้การโทรออกและรับสายเป็นเรื่องง่ายขึ้น อย่างเช่นในขณะที่มีสายเรียกเข้า แค่ยกตัวเครื่องขึ้นแนบหูก็เป็นการรับสายอัตโนมัติ เริ่มต้นการคุยโทรศัพท์ได้เลย ไม่ต้องแตะปุ่มรับสายให้เสียเวลา หรือตอนที่เปิดดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ แค่ยกตัวเครื่องขึ้นแนบหู ก็จะเป็นการโทรออกไปยังรายชื่อนั้นทันที อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เจ๋งมากของ ColorOS 2.0 คือการเปิดดูคลิปวิดีโอที่เก็บอยู่ในตัวเครื่องไปพร้อมๆ กับการใช้งานแอพอื่นๆ อย่างเช่นการเล่นเฟซบุ๊ก หรือแชทไลน์ไปพร้อมๆ กับการดูคลิปวิดีโอได้แบบเพลินๆ ส่วนฟีเจอร์ทางด้านลูกเล่นความสวยงามก็มีธีม และวอลล์เปเปอร์สวยๆ เท่ๆ ให้เลือกเปลี่ยนได้เกิน 100 แบบ แก้เบื่อได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องลงแอพเสริม
ใครอยากได้สมาร์ทโฟนแรงคุ้มค่า รองรับ 3G สองซิมการ์ดในระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาท รับรองว่า OPPO Joy 3 ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
คลิกที่นี่ เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ OPPO Joy 3
คลิกที่นี่ เพื่อชมคลิปวิดีโอรีวิวของ OPPO Joy 3