ปี 2018 เป็นปีที่เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟน โดยความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ก็ส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน และเป็นสัญญาณเตือนว่าหากคุณเจ๋งไม่พอ จะไม่สามารถอยู่รอดในตลาดอันดุเดือดนี้ได้ จึงไม่แปลกที่มีสมาร์ทโฟนบางแบรนด์ยอดขายตกลงอย่างหนัก หรือหนักสุดถึงขั้นต้องถอนตัวออกจากวงการ
แต่ไม่ใช่กับ OPPO แบรนด์สมาร์ทโฟนที่ในปีนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปีทอง ด้วยยอดขายที่ยังคงดีเยี่ยม และจัดว่าเป็นสมาร์ทโฟนขวัญใจมหาชน อย่างในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ OPPO ก็ถือครองอันดับ 2 ตลาดสมาร์ทโฟนประเทศไทย ในด้านของมูลค่าทางการตลาดและยอดจำนวนเครื่อง โดยสิ่งที่ผมมองว่าทำให้ OPPO ยังคงอยู่ในระดับท็อปได้ ไม่ใช่แค่เป็นสมาร์ทโฟนถ่ายรูปสวย แต่มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น
หนึ่งในสิ่งที่ OPPO โดดเด่นมากในปีนี้คือการมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ใส่เข้ามาในสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะในรุ่นเรือธงที่หายไปกว่า 4 ปี อย่าง OPPO Find X ก็มาพร้อมกับสุดยอดนวัตกรรมของทาง OPPO ที่หาไม่ได้ในสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่น
Stealth 3D Cameras – OPPO Find X
เป็นนวัตกรรมที่ทำให้ OPPO Find X กลายเป็นสมาร์ทโฟนจอเต็มตัวจริง และถือเป็นการฉีกกฎเดิม ๆ ของการออกแบบสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน ที่มักจะนำกล้องหน้า รวมถึงเซ็นเซอร์ต่าง ๆ กระจุกไว้บริเวณด้านบนหน้าจอ กลายเป็นที่มาของเทรนด์หน้าจอมีติ่ง (Notch screen)
ด้วยนวัตกรรม Stealth 3D Cameras ที่ซ่อนกล้อง รวมถึงเซนเซอร์ต่าง ๆ ไว้ แต่เมื่อต้องการใช้งานกล้องจะเลื่อนขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างสมูท เพียงผู้ใช้กดแอป ฯ ถ่ายรูป หรือสแกนใบหน้า
ด้านความแข็งแรงทนทานของกลไกดังกล่าว ด้วยการออกแบบที่ผ่านกระบวนการทดสอบหลายขั้นตอน ทำให้สามารถใช้งานได้ถึง 5 ปี รองรับการเลื่อนขึ้นลงได้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ครั้ง ส่วนปัญหาเรื่องฝุ่นเกาะ จากการทดสอบในแล็ปของ OPPO กว่า 16 ชั่วโมงต่อเนื่อง การันตีว่าไม่ส่งผลต่อการใช้งานอย่างแน่นอน
3D Structured Light – OPPO Find X
เซ็นเซอร์สแกนใบหน้าที่มีความปลอดภัยมากกว่าระบบสแกนใบหน้าทั่วไป โดย OPPO Find X ถือเป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ตัวแรกของโลกที่มาพร้อมเทคโนโลยีนี้
หลักการทำงานของ 3D Structured Light คือเซ็นเซอร์จะปล่อยแสงอินฟาเรดจำนวน 15,000 จุดในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ผู้ต้องการปลดล็อกตัวเครื่อง เพื่อทำการวิเคราะห์ใบหน้าอย่างชาญฉลาดในรูปแบบ 3D แบบในวีดีโอด้านล่างนี้ครับ
ข้อดีของเทคโนโลยีดังกล่าวคือสามารถปลดล็อกใบหน้าได้อย่างแม่นยำ แม้จะอยู่ในที่แสงน้อย หรือไม่มีแสงเลยก็ตาม และที่สำคัญคือมีความปลอดภัยมากกว่าระบบสแกนลายนิ้วมือถึง 20 เท่า
SuperVOOC – OPPO Find X* และ OPPO R17 Pro
ทุกคนทราบดีว่าระบบชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge ของ OPPO สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากเพียงใด แต่โจทย์ที่ยากกว่าของ OPPO คือการก้าวข้ามความสำเร็จเดิม ๆ ทำอย่างไรจึงจะชาร์จไฟได้เร็วกว่าเดิม ในเมื่อของเดิมที่มีก็จัดว่าเร็วมากอยู่แล้ว
ระบบชาร์จไฟแบบใหม่ที่ OPPO พัฒนาขึ้น มีชื่อว่า SuperVOOC เทคโนโลยีชาร์จเร็วที่สุดในโลก ใช้เวลาเพียง 10 นาที สามารถเติมไฟกลับได้ถึง 40% หลักการของเทคโนโลยีดังกล่าวคือแบ่งแบตเตอรี่ 1 ก้อนออกเป็น 2 เซลล์ภายใน (Bi-cell Design) ที่มีความจุ 5V 5A และ 5V 5A รวมกันให้มีแรงดันไฟฟ้าแบบ 10V 5A เวลาชาร์จสามารถแยกแรงดันไฟฟ้าออก และลดแรงดันไฟฟ้าลงครึ่งหนึ่งในแต่ละก้อน ทำให้ระบบชาร์จมีความปลอดภัยสูง
ในด้านความปลอดภัย SuperVOOC มาพร้อมระบบ Five-core protection ช่วยการันตีในด้านความปลอดภัย แม้จะชาร์จเร็วขึ้น แต่ความปลอดภัยก็ยังคงมั่นใจได้เช่นเคย
- ขั้นตอนที่ 1 ที่ตัวอะแดปเตอร์จะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์วัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า เมื่ออะแดปเตอร์ตรวจสอบแล้วว่ามีความปลอดภัย ระบบป้องกัน MOSFET ถึงจะเริ่มทำการชาร์จเร็ว แต่หากมีความผิดปกติขณะชาร์จ ระบบจะตัดไฟทันที
- ขั้นตอนที่ 2 ระบบป้องกันกระแสไฟเกิน เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอะแดปเตอร์ ชิปภายในจะตรวจสอบความปลอดภัย หากอุปกรณ์รองรับก็สามารถใช้งานชาร์จเร็วได้
- ขั้นตอนที่ 3 การป้องกันเมื่อเสียบสายชาร์จกับพอร์ตเชื่อมต่อ โดยสายชาร์จของ OPPO Find X, R17 Pro ออกแบบให้มีทองแดง 7 PIN และมี MCU ในสมาร์ทโฟนคอยควบคุมระบบป้องกันในการปิด – เปิดกระแสไฟอัตโนมัติ
- ขั้นตอนที่ 4 แบตเตอรี่ที่อยู่ภายในเครื่อง จะมีสวิทช์ IC พิเศษ พร้อมกับระบบป้องกัน MOSFET ที่ถูกใส่ไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อป้องกันกระแสไฟไม่ให้เกิดการโอเวอร์โหลด
- ขั้นตอนที่ 5 หากเกิดความผิดปกติ ตัวฟิวส์ในแบตเตอรี่จะทำการตัดไฟทันที และหยุดการไหลเวียนของไฟฟ้าเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้
เทคโนโลยี SuperVOOC ถูกใส่มาใน OPPO Find X Automobili Lamborghini Edition เป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นก็ถูกใส่เข้ามาในสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง OPPO R17 Pro
TOF 3D Camera – OPPO R17 Pro
นวัตกรรมสุดท้ายของ OPPO ในปี 2018 นี้ ถูกใส่มาในสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่น OPPO R17 Pro มีชื่อว่า TOF 3D Camera โมดูลกล้องที่สามารถสร้างโมเดลสามมิติ และยังช่วยในการจับวัตถุ รวมถึงจับภาพบุคคลได้อย่างแม่นยำ
เมื่อมี TOF 3D Camera ทำให้การถ่ายภาพด้วย OPPO R17 Pro โดดเด่นขึ้นมาก โดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่แสงน้อย จะมีการส่งสัญญาณแสงไปที่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เมื่อแสงกระทบผิวของวัตถุและสะท้อนกลับมายังตัวเซ็นเซอร์ เซ็นเตอร์จะคำนวนรอบของการเดินทางไปกลับระหว่างแสงและวัตถุ (TOF = Time of Flight) ทำให้ทราบระยะห่างของวัตถุ ในขณะเดียวกัน TOF จะได้รับข้อมูลของแกน Z (แทนความลึก) นอกเหนือจากการรับข้อมูลแค่แบบ 2 มิติ
นอกจากนี้ TOF 3D Camera ยังสามารถต่อยอดเพื่อใช้ในการสร้างรูป 3D ได้อีกด้วย แต่ต้องหลังจากที่ OPPO ปล่อยอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้กับ R17 Pro ในอนาคตอันใกล้นี้ก่อนครับ
จะเห็นว่าในปี 2018 นี้ OPPO ได้มีการพัฒนาและคิดค้นเทคโนโลยีออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เน้นเฉพาะแค่กล้องหน้าในการเซลฟี่เท่านั้น อย่าง OPPO R17 Pro เรือธงรุ่นล่าสุดก็มีการพัฒนากล้องหลังในแบบก้าวกระโดด สามารถถ่ายภาพตอนกลางคืนได้เป็นอย่างดี รวมถึงเทคโนโลยีอย่าง 5G ที่กำลังจะมาในอนาคต OPPO ก็ประสบความสำเร็จในการ Video Call แบบกลุ่มบนสมาร์ทโฟนโดยผ่านสัญญาณ 5G ได้เป็นครั้งแรกของโลก เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ในอนาคต OPPO ก็ยังคงไม่หยุดยั้งในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ มีการลงทุนด้าน R&D กว่า 10,000 ล้านหยวน (ประมาณ 50,000 ล้านบาทไทย) ในปี พ.ศ. 2562 โดยเน้นไปที่การพัฒนา 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Smart devices เชื่อว่าในปีหน้า OPPO น่าจะมีเทคโนโลยีเด็ด ๆ รวมถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาให้แฟน ๆ ได้เห็นกันอย่างแน่นอน
บทความ Advertorial