ประสิทธิภาพในด้านการประมวลผล ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Mi 11 5G สมาร์ตโฟนเรือธงจากแบรนด์เสียวหมี่ โดยรุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตรุ่นท็อปสุดอย่าง Qualcomm Snapdragon 888 5G ชิปเซ็ตที่แรงสุดบนโลกของสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ในช่วงเวลานี้ ที่สำคัญคือรุ่นนี้ เปิดราคามาได้น่าสนใจ กับราคาเริ่มต้นเพียง 21,990 บาทในรุ่น RAM 8GB + 128GB ROM
ในบทความนี้ จะเป็นการรีวิวเจาะลึกเฉพาะส่วน เน้นไปที่เรื่องประสิทธิภาพในการประมวลผล โดยเฉพาะการเล่นเกม พอเป็นชิปเซ็ตระดับเรือธง Snapdragon 888 5G จะสามารถเล่นเกมได้ดีขนาดไหน รวมถึงในด้านการประมวลผลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ, การแก้ไขภาพ ไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ 4K
เจาะสเปคชิปประมวลผล Snapdragon 888 5G
สำหรับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 5G เป็นชิปเซ็ตที่เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร ซึ่งถือว่าเล็กที่สุดในยุคปัจจุบัน ตัว CPU เป็นแบบ octa-core แต่รูปแบบของคอร์ประมวลผลนั้น แตกต่างออกไปจากชิปรุ่นก่อน ๆ ที่ Qualcomm เคยผลิตมา เมื่อรวมกันแล้วจะถูกใช้ชื่อว่า Kyro 680 แบ่งแต่ละคอร์ประมวลผลออกเป็นดังนี้
- Prime CPU: Cortex-X1 ความเร็ว 2.84GHz จำนวน 1 คอร์ประมวลผล
- Performance CPU: Cortex-A78 ความเร็ว 2.4GHz จำนวน 3 คอร์ประมวลผล
- Efficiency CPU: Cortex-A55 ความเร็ว 1.8GHz จำนวน 4 คอร์ประมวลผล
ความน่าสนใจที่สุดของ Snapdragon 888 อยู่ที่ Cortex-X1 ซึ่งถือเป็น CPU ตัวแรงของ ARM โดย Qualcomm ได้ทำการปรับแต่ง Cortex-X1 ใน Snapdragon 888 ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อเทียบกับ Cortex-A78 จะให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าราว 33% เลยทีเดียว โดยในการประมวลผลหนักมาก ๆ เช่น การเล่นเกม หน้าที่หลักจะอยู่กับคอร์ประมวลผลที่เป็น Cortex-X1
การประมวลผลระดับกลาง – สูง จะเป็นหน้าที่ของ Performance CPU Cortex-A78 จำนวน 3 คอร์ประมวลผล คือด้วยตำแหน่งของ Cortex-A78 เดิมถูกวางเป็น CPU สำหรับสมาร์ตโฟน Hi-End ที่ต้องการประสิทธิภาพในการประมวลผลสูง ๆ อยู่แล้ว ที่ไม่ปกติก็คือ Cortex-A78 หากเป็นชิปเซ็ตตัวอื่น มันจะทำหน้าที่เป็นคอร์ประมวลผลหลัก แต่พอมาอยู่ใน Snapdragon 888 กลับใช้ในงานประมวลผลระดับกลาง – สูงเท่านั้น สมแล้วที่ Snapdragon 888 ถูกจัดเป็นชิปเซ็ตระดับพรีเมียม
ด้าน GPU หรือหน่วยประมวลผลกราฟฟิกใน Snapdragon 888 มาพร้อมกับ Adreno 660 ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมถึง 35% และมีการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น 20% นอกจากนี้ Adreno 660 ยังออกแบบมาสำหรับเล่นเกมที่เฟรมเรทสูง ๆ และปรับแต่งมาให้มีค่าความหน่วงต่ำ เหมาะกับหน้าจอที่มีอัตรารีเฟรชเรตสูง 120Hz แบบ AdaptiveSync ของ Mi 11 5G เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ Adreno 660 ยังมี Variable Rate Shading (VRS) เทคโนโลยีเดียวกับการ์ดจอของ Nvidia และ AMD ที่ช่วยในเรื่องของแสงเงา และยังรองรับการถอดรหัส HDR 10-bit อีกด้วย
ส่วนการประมวลผล AI Engine รุ่นนี้มาพร้อมกับ Hexagon 780 สามารถคำนวณคำสั่งได้มากถึง 26 TOPS ประมวลผล AI ได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีอัตราการบริโภคพลังงานที่ลดลง เมื่อเทียบกับ AI Engine รุ่นก่อนหน้า
นอกจาก CPU, GPU และ AIE ที่มีประสิทธิภาพสูงมากแล้ว ISP หรือ Image signal processing หน่วยประมวลผลภาพถ่ายในชิป Snapdragon 888 ยังมีจำนวนถึง 3 ตัว และรองรับการทำงานร่วมกับกล้อง 3 ตัวในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงประมวลผลภาพถ่ายได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังทำให้การสลับกล้องมีความลื่นไหลกว่าเดิม ไม่ติดขัด สามารถบันทึกภาพถ่ายในอัตรา 2.7 Gigapixels ต่อวินาที
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผล Mi 11 5G
ในการทดสอบประสิทธิภาพของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายที่สุด ก็คงไม่พ้นการทดสอบเล่นเกมต่าง ๆ โดยผมเลือกเกมในการทดสอบจำนวน 3 เกม ได้แก่ Genshin Impact, PUBG Mobile และ ROV ปรับตั้งค่าระดับสูงสุดทุกเกม ทดสอบในห้องปรับอากาศ ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส การเชื่อมต่อระหว่างทดสอบ เป็นการเชื่อมต่อกับ Cellular (อินเทอร์เน็ตมือถือ 5G/ 4G) ตลอดการเล่นทั้ง 3 เกม
Mi 11 – Genshin Impact ปรับตั้งค่าระดับ High + 60fps
เริ่มกันที่เกมปราบเซียนอย่าง Genshin Impact เกมสุดกินสเปคที่หลายรุ่นไม่สามารถเล่นแบบปรับสุด เฟรมเรตสูง 60fps ได้ แต่จากที่ได้ทดสอบกับ Mi 11 5G รุ่นนี้ทำเฟรมเรตเฉลี่ยออกมาที่ 57.4 fps มีบางช่วงที่เฟรมตกไปบ้าง โดยรวมแล้วยังทำเฟรมเรตได้ใกล้เคียงกับค่าสูงสุด กราฟที่ออกมาค่อนข้างที่จะนิ่งเลย นั่นหมายความว่า Mi 11 สามารถเล่น Genshin Impact ได้อย่างลื่นไหลมาก ๆ นั่นเอง
ความรู้สึกระหว่างเล่น Genshin Impact บน Mi 11 หากไม่ได้เทียบกับกราฟด้านบน ส่วนตัวผมก็รู้สึกแค่ว่ามันเล่นได้อย่างลื่นไหล แทบไม่รู้สึกถึงอาการกระตุก ตลอดการทดสอบประมาณ 20 นาทีด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับมอนสเตอร์ และมีการใส่สกิลกันแบบไม่ยั้งก็ตาม ภาพสวย การตอบสนองดีมาก ๆ ส่วนเรื่องความร้อน รันเกมระดับ Genshin Impact แบบปรับสุดก็มีความร้อนออกมาขณะเล่นพอสมควร แต่ในเฟิร์มแวร์ล่าสุด ก็ไม่ได้ถือว่าร้อนจนจับเครื่องไม่ไหวครับ
Mi 11 ทดสอบเล่นเกม PUBG Mobile
ถัดมาเป็นการทดสอบเล่นเกม PUBG Mobile โดย Mi 11 สามารถปรับตั้งค่าได้ 2 รูปแบบ เลือกได้ระหว่างภาพสวย กับเฟรมเรตสูง แน่นอนว่าผมก็ได้ทำการทดสอบทั้ง 2 รูปแบบการตั้งค่า และได้ผลการทดสอบดังนี้
PUBG Mobile ปรับภาพสวย Ultra HD + เฟรมเรต Ultra (40fps)
PUBG Mobile เน้นเฟรมเรต กราฟฟิก HDR HD + เฟรมเรตสูงสุด (60fps)
หากดูจากกราฟทั้ง 2 ด้านบน ไม่ว่าจะเป็นการเล่น PUBG Mobile ปรับตั้งค่าแบบใดก็ตาม Mi 11 5G สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล เต็มเฟรมเรตที่ตั้งค่าไว้ ไม่มีอาการกระตุกแม้แต่น้อย ทำเฟรมเรตได้นิ่งมาก ทั้งการตั้งค่าแบบ Ultra HD + 40fps หรือจะเป็น HDR HD + 60fps ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเลยครับ ว่าเน้นภาพสวย หรือเน้นเล่นลื่น
ส่วนความรู้สึกระหว่างเล่น PUBG Mobile ด้วย Mi 11 ก็ให้ความรู้สึกเดียวกับกราฟที่แสดงออกมา คือลื่นไหล ไม่กระตุก ที่สำคัญคือแทบไม่รู้สึกถึงความร้อนที่ออกมาจากตัวเครื่อง เรียกได้ว่าในการรันเกมอย่าง PUBG Mobile ถือเป็นงานง่ายของ Mi 11 และ Snapdragon 888 เลยล่ะครับ
Mi 11 ทดสอบเล่นเกม ROV 60fps
ปิดท้ายด้วยการทดสอบเล่นเกม MOBA บนสมาร์ตโฟน ได้แก่ ROV ที่การปรับตั้งค่าระดับสูงสุด เท่าที่เกมจะมีให้ปรับ + ทดสอบที่เฟรมเรตสูง 60fps ได้ผลการทดสอบออกมาตามนี้
การทดสอบเล่นเกม ROV แบบปรับตั้งค่าสูงสุด ให้ผลการทดสอบในระดับดีเยี่ยม ทั้งกราฟแสดงเฟรมเรต และความรู้สึกขณะเล่นเกม ไม่พบอาการหน่วงระหว่างเล่นเกมแม้แต่น้อย เฟรมเรตเฉลี่ยอยู่ที่ 60.8fps ความร้อนที่ออกมาจากตัวเครื่องแทบไม่มี เช่นเดียวกับการเล่น PUBG Mobile
ภาพรวมสำหรับ Mi 11 หากต้องการซื้อมาเพื่อเล่นเกมโดยเฉพาะ ก็ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงประสิทธิภาพสูง ที่ตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดี สามารถเล่นได้ทุกเกมที่มีให้ดาวน์โหลดบน Play Store ได้อย่างลื่นไหล ที่การปรับตั้งค่าระดับสูงสุด ด้วยชิปเซ็ตที่ทรงพลังอย่าง Snapdragon 888 และการปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้รีดประสิทธิภาพของ CPU ได้อย่างเต็มที่ของทาง Xiaomi รวมถึงฟีเจอร์สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพอย่าง Game Turbo
การประมวลผลด้านอื่น ๆ
สมาร์ตโฟนที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากจะต้องเล่นเกมได้ดีแล้ว การประมวลผลด้านอื่น ๆ เช่น ภาพถ่าย, วิดีโอ, การแก้ไขภาพ, แก้ไขวิดีโอในตัวเครื่องก็ต้องทำได้ดีไม่แพ้กัน และสำหรับ Mi 11 5G ที่ใช้ชิป Snapdragon 888 + RAM 8GB LPDDR5 ก็สามารถประมวลผลได้ดีในทุกด้าน
ในการถ่ายภาพ Mi 11 สามารถรัวชัตเตอร์ได้ถึง 100 ภาพ ต่อการกดปุ่มชัตเตอร์ค้าง และยังสามารถกดเข้าไปดูรูปจำนวน 100 ภาพ ได้ทันทีที่ถ่ายเสร็จ หรือจะเป็นการปรับแต่งภาพถ่าย ใส่ฟิลเตอร์ ไปจนถึงการเปลี่ยนท้องฟ้า ที่กดปุ๊บ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนทันทีแบบไม่ต้องรอ
ส่วนการถ่ายวิดีโอ ผมทดสอบถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K 60fps ด้วยความละเอียดสูงแบบนี้ ทำให้ไฟล์วิดีโอมีขนาดใหญ่ แต่ Mi 11 ก็สามารถประมวลผลได้เป็นอย่างดี การบันทึกและเขียนบนหน่วยความจำในตัวเครื่องทำได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการแก้ไข ตัดต่อวิดีโอ ใส่ฟิลเตอร์ ใส่ Text ข้อความ ก็สามารถทำบนโทรศัพท์ได้ทันที และเรนเดอร์วิดีโอที่ตัดต่อแล้วได้เร็วทีเดียวครับ
สรุปภาพรวม
ในด้านประสิทธิภาพ การประมวลผลต่าง ๆ ต้องยอมรับว่า Mi 11 5G กับชิปประมวลผล Snapdragon 888 เป็นสเปคระดับท็อปของสมาร์ตโฟนในปี 2021 สามารถเล่นเกมได้ทุกเกมแบบปรับตั้งค่าระดับสูง โดยเฉพาะเกมที่กินสเปคมาก ๆ อย่าง Genshin Impact ก็ยังสามารถเล่นที่การปรับตั้งค่าสูงสุด + 60fps ได้ลื่นนี่ก็ถือว่าไม่ธรรมดาครับ ส่วนการประมวลผลทั่วไปในชีวิตประจำวันก็หายห่วง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ 4K 60fps ก็จบในเครื่องได้สบาย ๆ
ส่วนสเปคด้านอื่นที่อยู่ในสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ก็มีหลายอย่างที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ AMOLED AdaptiveSync 120Hz ขนาดใหญ่ 6.81 นิ้ว, ชุดกล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียดสูงสุด 108MP, แบตเตอรี่ความจุ 4600 mAh และระบบชาร์จเร็ว 55W
สำหรับราคาวางจำหน่ายของ Mi 11 5G จะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย ดังนี้
- Mi 11 5G RAM 8GB + 128GB ROM ราคา 21,990 บาท
- Mi 11 5G RAM 8GB + 256GB ROM ราคา 23,990 บาท
สเปค Mi 11 5G
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.81 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 3200 พิกเซล WQHD+, อัตรารีเฟรชหน้าจอ 120Hz AdaptiveSync
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 888 octa-core ความเร็ว 2.84
- Adreno 660 GPU
- ระบบปฏิบัติการ Android 11, MIUI 12
- หน่วยความจำ RAM 8 GB
- ความจุเริ่มต้น ROM 128 GB
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.85 ระบบกันสั่น OIS
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 123 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องเลนส์ Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ระยะถ่ายใกล้สุด 3-10 ซม.
- กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- แบตเตอรี่ 4600 mAh
- รองรับการชาร์จเร็ว 55W
- รองรับระบบชาร์จไร้สาย 50W
- IR Blaster และ NFC
- รองรับ WiFi 6 รองรับความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz 802.11 a/b/g/n/ac/ax, 4×4 MIMO
- มีให้เลือก 2 สี Midnight Gray, Horizon Blue