เปิดตัวแล้ว! iPhone 14, Plus, Pro, Pro Max มีอะไรใหม่บ้าง ราคาเท่าไหร่ พร้อมจองได้ 9 ก.ย. 2022 นี้!
เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับอีเวนท์ “Far Out” จาก Apple ในคืนวันที่ 7 กันยายน 2022 หรือว่าช่วงเวลาเที่ยงคืนเริ่มต้นวันที่ 8 ก.ย. 2022 ในบ้านเรา ที่ทาง Apple นั้นก็ได้มีการเปิดตัวอุปกรณ์การใช้งานออกมาใหม่อยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Apple Watch Series 8, Apple Watch Ultra, Apple Watch SE 2, AirPods Pro 2 และที่หลายคนตั้งตารอกันมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นไอโฟน 14 ที่เปิดตัวออกมาใหม่หมดพร้อมกันทั้ง 4 รุ่น และก็เป็นไปตามที่หลายๆ แหล่งข่าวลือเผยถึงสเปคออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรุ่นใหม่ที่ตัดรุ่น mini ออกไปแล้ว หน้าจอแบบใหม่ในรุ่นโปรที่เป็นแบบ Punch Hole พร้อมชิปตัวใหม่ กับกล้องหลังและหน้าที่ปรับปรุงใหม่ให้คมชัดถ่ายได้ดีกว่าเดิมด้วย ส่วนรุ่นปกติก็มีการปรับปรุงในหลายๆ อย่างด้วยเหมือนกัน วันนี้ทาง Specphone ก็จะมาสรุปสเปคของ iPhone 14, Plus, Pro และ Pro Max ทั้ง 4 รุ่นว่ามีอะไรใหม่บ้าง ทุกรุ่นมีราคาเท่าไหร่ พร้อมให้จองและวางขายวันไหนไปดูกันเลย
- สเปค iPhone 14 และ 14 Plus
- สเปค iPhone 14 Pro และ 14 Pro Max
- ราคา iPhone 14 ทุกรุ่น พร้อมวันเปิดจองและวันที่วางขาย
- ตารางเปรียบเทียบสเปค iPhone 14 แต่ละรุ่น
ฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone14 และ 14 Plus
- ชิป A15 อัพเกรดใหม่ให้ดีขึ้น
- แบตเตอรี่อึดขึ้น
- กล้องหลัง 12MP เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น รูรับแสงกว้างขึ้น พร้อมกล้องหน้า TrueDepth และ AF
- โหมดแอ็คชั่นกันสั่นระดับเทพ และโหมดภาพยนตร์เหมือนเดิม
- ฟีเจอร์ Car Crash Detection และ Emergency satellite (รองรับแค่บางประเทศ)
- ราคาเริ่มต้น 32,900 บาท
ฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone14 Pro และ 14 Pro Max
- ชิป A16 ใหม่ เร็วแรงกว่าเดิม
- แบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น
- ติ่งใหม่แบบ Dynamic Island ปรับเปลี่ยนตามการใช้งาน
- หน้าจอแบบ Always-on ปรับได้ต่ำสุด 1-120Hz และสว่างได้ถึง 2,000 nits พร้อมจอ LTPO ที่มี ProMotion 120Hz
- กล้องหลัง 48MP เซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ถ่ายได้ดีงาม กับกล้องอัลตร้าไวด์และเทเลโฟโต้ 2 เท่าที่ปรับปรุงใหม่พร้อมกล้องหน้า TrueDepth และ AF
- โหมดแอ็คชั่นกันสั่น และโหมดภาพยนตร์
- ฟีเจอร์ Car Crash Detection และ Emergency satellite (รองรับแค่บางประเทศ)
- ราคาเริ่มต้น 41,900 บาท
iPhone 14 และ 14 Plus
เริ่มต้นกันที่สเปคของ iPhone 14 รุ่นปกติและรุ่น 14 Plus กันก่อนเลย ที่ทั้งสองรุ่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพการใช้งานในด้านต่างๆ มาจาก iPhone 13 เลยก็ว่าได้ แต่จุดเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดก็คือชื่อรุ่น mini ที่ได้เปลี่ยนมาเป็นรุ่น Plus แทน แถมยังเป็นรุ่นที่มีหน้าจอใหญ่เท่ารุ่นโปรแมกซ์เลยด้วย โดยรูปแบบการดีไซน์ตัวเครื่องของทั้งสองรุ่นนี้จะยังมีความคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า ตัวเครื่องทำมาจากอะลูมิเนียมกับหน้าจอแบบ Ceramic Shield ที่มีความแข็งแรงพร้อมกันน้ำและฝุ่นระดับ IP68 รวมไปถึงโมดูลกล้องวางเฉียง 45 องศาเหมือนเดิม มีสีให้เลือก 5 สีได้แก่สีฟ้า, สีม่วง, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และสีแดง
ส่วนหน้าจอของทั้งสองรุ่นนี้จะเป็นจอภาพ Super Retina XDR แบบ OLED ที่มีความคมชัดและมีความแม่นยำของสีสูง พร้อมจอ True Tone ปรับความสว่างสบายตากับความสว่างสูงสุดได้ถึง 1,200 นิต โดยรุ่นปกติมีความกว้าง 6.1 นิ้วและรุ่น Plus กว้างมากถึง 6.7 นิ้วเลยทีเดียว ซึ่งรูปแบบหน้าจอสามารถปรับเปลี่ยนรูป ฟอนต์ และวิดเจ็ตได้หมดบน iOS16 โดยภาพรวมแล้วในส่วนของหน้าจอนี้ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากเท่าไหร่นัก มีแค่รุ่นพลัสที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ที่สำคัญคือรุ่นนี้ยังคงใช้ชิป A15 Bionic เหมือนรุ่น iPhone 13 Pro แต่ว่าได้มีการอัพเกรดเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงฟีเจอร์ Car Crash Detection ที่แจ้งเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ด้วยอุปกรณ์ตรวจจับแรงจีถึง 256g กับไจโรสโคปที่ทำงานพร้อมกับระดับเสียงและค่าความดันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Emergency satellite ที่สามารถติดต่อฉุกเฉินจากระบบดาวเทียม แต่รองรับแค่ USA กับแคนาดาเท่านั้นในตอนนี้ ส่วนการเชื่อมต่อก็ได้ทั้ง 5G, Wi-Fi 6 กับความจุตัวเครื่อง 128GB, 256GB และ 512GB เหมือนเดิมด้วย
มาที่เรื่องกล้องของ iPhone14 และ 14 Plus กันบ้างที่ทั้งสองรุ่นนี้ก็ได้มีการอัพเกรดกล้องให้ดีขึ้นด้วย โดยกล้องหลังยังคงมีสองตัวที่ความละเอียด 12MP และได้อัพเกรดให้ถ่ายรูปและการประมวลผลภาพให้ดีขึ้น สามารถถ่ายได้คมชัดแม้ในที่ที่มีแสงน้อยสูงสุด 2.5 เท่าจากกล้องหลัก และสูงสุด 2 เท่าจากอัลตร้าไวด์ จากการที่เพิ่มขนาดเซ็นเซอร์ให้ใหญ่ขึ้นและรูรับแสงที่กว้างกว่าเดิม จากนั้นตัว Photonic Engine ก็จะทำการรวมพิกเซลและทำให้ถ่ายได้รายละเอียดมากขึ้นนั่นเอง อีกทั้งยังปรับปรุงแฟลช True Tone ให้สว่างยิ่งขึ้น กับการถ่ายเบลอได้ทั้งฉากหน้าและหลัง ที่น่าสนใจก็คือโหมดแอ็คชั่นที่สามารถถ่ายวิดีโอได้แบบนิ่งๆ ทุกการถ่ายทำ หรือจะถ่ายไปพร้อมกับโหมดภาพยนตร์ก็ยังได้
ส่วนกล้องหน้าก็ปรับปรุงกล้อง TrueDepth ใหม่พร้อมกับฟีเจอร์ออโต้โฟกัสและรูรับแสงที่กว้างขึ้น เซลฟี่ในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิมถึง 2 เท่า ไม่ว่าจะถ่ายรูปเดี่ยวหรือถ่ายกับเพื่อนๆ เป็นรูปหมู่ก็โฟกัสได้หมด รวมไปถึงแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน โดยรุ่นปกติสามารถดูวิดีโอได้สูงสุด 20 ชั่วโมงและฟังเพลงได้สูงสุด 80 ชั่วโมง ส่วนรุ่น Plus สามารถดูวิดีโอได้สูงสุด 26 ชั่วโมงและฟังเพลงได้สูงสุด 100 ชั่วโมงเลย ถ้าใช้งานปกติก็ใช้ได้เต็มวันอยู่แล้วทั้งสองรุ่น ส่วนการชาร์จยังคงเป็นพอร์ตชาร์จแบบ Lightning รองรับ 10W และ MagSafe สูงสุด 15W
iPhone 14 Pro และ 14 Pro Max
รุ่นที่เป็นพระเอกของงานนี้ก็คือ iPhone 14 Pro และ 14 Pro Max ที่เปิดตัวออกมาได้น่าใช้งานมากๆ จากการปรับปรุงและอัพเกรดสเปคต่างๆ จากรุ่นก่อนหน้าแบบต่างออกไปไกลเลย ถึงแม้ว่ารูปแบบการดีไซน์ตัวเครื่องจากภายนอกจะคล้ายๆ กับรุ่นก่อนหน้าทั้งตัวเครื่องที่เป็นสแตนเลสสตีล กับด้านหลังแบบกระจกผิวด้าน และหน้าจอที่ป้องกันด้วย Ceramic Shield แข็งแรงทนทานพร้อมกับกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP68 แถมยังมีขนาดและน้ำหนักต่างกันเพียงเล็กน้อยด้วย จุดที่ทำให้รุ่นนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยก็คือสีของตัวเครื่องที่ตอนนี้มีให้เลือก 4 สีคือสีดำสเปซแบล็ค, เงิน, ทอง และสีใหม่คือสีม่วงเข้ม
จุดเปลี่ยนของวงการหน้าจอแบบ Punch Hole ที่เปลี่ยนใหม่ในรุ่นโปรทั้งสองรุ่นนี้ก็คือ Dynamic Island ที่ไม่ได้เป็นเพียงรูกล้องหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถใช้งานไปพร้อมกับฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน การฟังเพลง สแกนใบหน้า และการใช้งานอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกับ iOS16 โดยฟีเจอร์ Dynamic Island จะสามารถปรับเปลี่ยนยืดหดได้ตามการใช้งาน ในส่วนของตัวกล้องฝังอยู่นั้นก็มีทั้งกล้อง TrueDepth และเซ็นเซอร์ตรวจจับระยะ ทั้งสองรุ่นนี้ยังมีขนาดหน้าจอเหมือนเดิมคือรุ่นโปรกว้าง 6.1 นิ้วและรุ่นโปรแมกซ์กว้าง 6.7 นิ้ว
ที่สำคัญคือรุ่นโปรแบบใหม่นี้สามารถใช้งาน Always-on Display ได้แล้ว เมื่อเราวางไว้หรือเก็บใส่กระเป๋า หน้าจอจะทำการปรับแสงให้มืดลงเพื่อประหยัดพลังงาน และปรับอัตรารีเฟรชเรตลงไปต่ำสุดถึง 1Hz แต่ยังคงเห็นหน้าจออยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการปรับแต่งวิดเจ็ตหน้าจอได้ตามใจตัวเองทั้งหมดอีกด้วย และจอของทั้งสองรุ่นจะเป็นจอภาพ Super Retina XDR แบบ OLED พร้อมเทคโนโลยี ProMotion ที่สามารถปรับอัตรา Refresh Rate ได้ตั้งแต่ 10-120Hz และยังสามารถปรับความสว่างกลางแจ้งได้สูงสุด 2,000 นิตที่มากกว่าเดิมถึง 2 เท่าเลยด้วย นอกจากนี้การดูวิดีโอ HDR ก็สามารถทำความสว่างได้ถึง 1,600 นิตทำให้การดูหนัง หรือวิดีโอที่ถ่ายคมชัดสมจริงมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเร็วแรงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็คือชิปตัวใหม่อย่าง A16 Bionic แบบ 4nm ทำให้การเล่นเกมหรือถ่ายรูปทำได้ไหลลื่นมากกว่าที่เคยมีมา แน่นอนว่าทั้งสองรุ่นนี้ก็มีฟีเจอร์ Car Crash Detection แจ้งเหตุจากอุบัติเหตุรถยนต์ได้ รวมไปถึง Emergency satellite กับการเชื่อมต่อก็ได้ทั้ง 5G, Wi-Fi 6 และความจุเท่าเดิมคือ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB ซึ่งทั้งสองรุ่นก็ได้ปรับปรุงแบตให้ใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิม โดยรุ่นโปรสามารถดูวิดีโอต่อเนื่องได้สูงสุด 23 ชั่วโมง และรุ่นโปรแม็กซ์ดูวิดีโอต่อเนื่องได้สูงสุด 29 ชั่วโมงกับพอร์ต Lightning 20W และ MagSafe 15W เหมือนกัน
กล้องที่อัพเกรดเพิ่มความโปรให้มากขี้นไปอีกขั้น ด้วยกล้องหน้า TrueDepth ใหม่ที่มีทั้งออโต้โฟกัสและรูรับแสงที่กว้างขึ้น ทำให้การถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยดีขึ้นสองเท่า เก็บรายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น หรือจะเซลฟี่หมู่ให้โฟกัสพร้อมกันหลายคนก็ยังได้ ส่วนกล้องหลังก็จัดหนักมากๆ ด้วยกล้องหลักเปลี่ยนใหม่เป็น 48MP ที่มีเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ทำให้ละเอียดมากขึ้นอีก 4 เท่าถึงแม้จะครอปรูปมาก็ยังชัด และยังบันทึกแบบ ProRAW ได้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังอัพเกรดทั้งอัลตร้าไวด์ และเทเลโฟโต้ที่ 12MP ให้ดีมากขึ้น โดยกล้องเทเลก็ได้เพิ่มแบบ 2 เท่าเข้ามาใหม่ ทำให้การจัดเฟรมง่ายขึ้น ถ่ายวิดีโอได้ถึง 4K กับโหมดแอ็คชั่นที่นิ่งมากขึ้นและโหมดภาพยนตร์ กับการจัดการด้วย Photonic Engine แบบใหม่ที่ช่วยให้ Deep Fusion ทำได้อย่างสมจริงทั้งสีสันและความคมชัด นอกจากนี้ยังปรับแฟลช True Tone ให้สว่างขึ้นและปรับตามสภาวะให้แสงสม่ำเสมอขึ้นด้วย
ราคา iPhone 14 ทุกรุ่น พร้อมวันเปิดจองและวันที่วางขาย
สำหรับวันสั่งซื้อล่วงหน้าและวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของประเทศไทยเรานั้น ก็ดูเหมือนว่าจะได้ขยับ Tier ขึ้นมาเท่ากับประเทศอื่นๆ แล้ว ทำให้เราสามารถสั่งจองและซื้อได้พร้อมๆ กับทั่วโลกเลย โดยรุ่น iPhone14, 14 Plus, 14 Pro และ 14 Pro Max สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้วันที่ 9 ก.ย. 2022 เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. และวางจำหน่ายวันที่ 16 ก.ย. 2022 ส่วนรุ่น iPhone14 Plus จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคม 2022 โดยแต่ละรุ่นมีราคาดังนี้ (สั่งจองรุ่นปกติได้ที่นี่ และจองรุ่นโปรได้ที่นี่)
- iPhone 14
- 128GB : 32,900 บาท
- 256GB : 36,900 บาท
- 512GB : 45,900 บาท
- iPhone 14 Plus
- 128GB : 37,900 บาท
- 256GB : 41,900 บาท
- 512GB : 50,900 บาท
- iPhone 14 Pro
- 128GB : 41,900 บาท
- 256GB : 45,900 บาท
- 512GB : 54,900 บาท
- 1TB : 63,900 บาท
- iPhone 14 Pro Max
- 128GB : 44,900 บาท
- 256GB : 48,900 บาท
- 512GB : 57,900 บาท
- 1TB : 66,900 บาท
ตารางเปรียบเทียบสเปค iPhone 14 แต่ละรุ่น
ข้อมูล \ รุ่น | iPhone 14 | iPhone 14 Plus | iPhone 14 Pro | iPhone 14 Pro Max |
หน้าจอ | Super Retina XDR กว้าง 6.1 นิ้ว | Super Retina XDR กว้าง 6.7 นิ้ว | Super Retina XDR พร้อม ProMotion, Dynamic Island, Always-on Display กว้าง 6.1 นิ้ว | Super Retina XDR พร้อม ProMotion, Dynamic Island, Always-on Display กว้าง 6.7 นิ้ว |
ชิป | A15 Bionic | A15 Bionic | A16 Bionic | A16 Bionic |
กล้องหน้า | TrueDepth ใหม่ พร้อมออโต้โฟกัส 12MP | TrueDepth ใหม่ พร้อมออโต้โฟกัส 12MP | TrueDepth ใหม่ พร้อมออโต้โฟกัส 12MP | TrueDepth ใหม่ พร้อมออโต้โฟกัส 12MP |
กล้องหลัง | 12MP + 12MP | 12MP + 12MP | 48MP + 12MP + 12MP + LiDAR Scanner | 48MP + 12MP + 12MP + LiDAR Scanner |
RAM* | 6GB | 6GB | 6GB | 6GB |
ROM | 128GB /256GB /512GB | 128GB /256GB /512GB | 128GB /256GB /512GB /1TB | 128GB /256GB /512GB /1TB |
สี | สีฟ้า, สีม่วง, มิดไนท์, สตาร์ไลท์, สีแดง | สีฟ้า, สีม่วง, มิดไนท์, สตาร์ไลท์, สีแดง | สีดำสเปซแบล็ค, เงิน, ทอง, สีม่วงเข้ม | สีดำสเปซแบล็ค, เงิน, ทอง, สีม่วงเข้ม |
ราคา (เริ่มต้น) | 32,900 บาท | 37,900 บาท | 41,900 บาท | 44,900 บาท |
และทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลสเปคของ iPhone14, 14 Plus, 14 Pro และ 14 Pro Max ทั้งหมดที่เราได้นำมาอัพเดทรุ่นล่าสุดกันในวันนี้ จากการเปิดตัวที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้เกินคาดไปมากเท่าไหร่นัก สำหรับใครที่คิดว่าจะซื้อรุ่นใหม่หรือรุ่นก่อนหน้านี้ดีกว่ากัน ก็แน่นอนว่ารุ่นใหม่นั้นดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรุ่นโปรที่อัพเกรดสเปคขึ้นไปสูงมากกว่าเดิมเยอะทีเดียว ส่วนรุ่นปกติก็ถือว่าน่าใช้งานไม่แพ้กัน ยิ่งในรุ่นพลัสที่เพิ่มขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น และได้สเปคที่ถือว่าใช้งานได้ดีมากๆ แต่ทั้งนี้รุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 13 ก็ได้มีการลดราคาลงมาทันทีหลังจากที่เปิดตัวรุ่นใหม่ และยังได้ปลดรุ่นโปรออกไปด้วย ใครสนใจรุ่นใหม่นี้ก็รอจองกันได้เลยในวันศุกร์ที่ 9 ก.ย. 2022 นี้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพทั้งหมดจาก Apple