ช่วงหลังมานี้ Apple ได้เปลี่ยนเงื่อนไขในการซ่อมแซม iPhone จากเดิมที่ไม่ว่าตัวเครื่องเมื่ออยู่ในประกัน จะเสียด้วยอาการอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้อยู่นอกเงื่อนไขการรับประกัน จะทำการเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ทันที ไม่มีการแกะซ่อมเหมือนสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ๆ
ข้อดีของการซ่อมในลักษณะของการเปลี่ยนเครื่องก็คือผู้ใช้ได้เครื่องใหม่ (เป็นเครื่อง Refurbished ที่ผ่านมาตรฐาน Apple แล้ว) แต่ข้อเสียของเงื่อนไขการซ่อมในแบบดังกล่าวก็มีเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ iPhone เกิดความเสียหายนอกเหนือเงื่อนไขการรับประกัน เช่น ทำหล่นแล้วจอแตก พอนำไปส่งซ่อมที่ศูนย์บริการของทาง Apple ก็จะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนเครื่องแบบมีค่าใช้จ่าย ต่อให้กระจกหน้าจอแตกเพียงอย่างเดียว สามารถทัชสกรีนได้ตามปกติ Apple ก็จะทำการเปลี่ยนเครื่อง และแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเครื่อง iPhone ตามเงื่อนไขเดิมก็กินราคาประมาณ 50% ของราคาเครื่องมือหนึ่ง ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยก็ประมาณ 10,000 – 15,000 บาทเลยทีเดียว
ส่วนเงื่อนไขการซ่อมเครื่องแบบใหม่ที่ Apple ใช้กับประเทศไทย จะเป็นการเปลี่ยนอะไหล่เป็นชิ้น ๆ ตามอาการที่มีปัญหา แบบเดียวกับการซ่อม Macbook ทำให้ซ่อมที่นอกเหนือระยะประกัน หรือนอกเงื่อนไขการรับประกันมีราคาถูกลงมาพอสมควร (แต่ก็ยังแพงอยู่ดี เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น) เช่น หน้าจอแตก ก็เปลี่ยนแค่หน้าจอ, แบตเตอรี่เสื่อม ก็เปลี่ยนแค่แบตเตอรี่ หรือถาดซิมบวม ก็เปลี่ยนเฉพาะถาดซิม ไม่มีการยุ่งกับอะไหล่ชิ้นอื่น อย่างไรก็ตาม ในเคสที่อาการหนัก เช่น กระจกหลังแตก, บอร์ดพังก็ยังคงเป็นการซ่อมแบบเปลี่ยนเครื่อง (Refurbished) เหมือนเดิม แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการเปลี่ยนอะไหล่เป็นชิ้น ๆ ตามอาการ
โดยการส่งซ่อม iPhone สามารถส่งซ่อมกับศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจาก Apple ได้แก่
- iCare
- iServe
- iService
- Macintosh Center
ส่วนการส่งซ่อมกับ AIS, TrueMove H และ dtac จะมีค่าเท่ากับส่งให้ทาง Apple โดยตรงเช่นกัน เพราะในเงื่อนไขใหม่ ทางโอเปอร์เรเตอร์ไม่ได้แกะเครื่องซ่อมเองแล้ว มีลักษณะคล้าย ๆ กับการเป็น Drop point คือศูนย์รับ – ส่งเครื่องซ่อมมากกว่า อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของลูกค้าที่ต้องเสียเวลาไปส่งเครื่องซ่อม แล้วก็รับเครื่องซ่อมเอาเอง
ด้านระยะเวลาในการส่งซ่อมกับศูนย์บริการ AASP (Apple Authorized Service Provider) จะอยู่ที่ประมาณ 7 – 14 วันทำการ ไม่รวมเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดราชการครับ ซึ่งก็ถือว่าใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องมีการตรวจสอบเครื่องโดยช่างชาวไทย จากนั้นส่งเรื่องไปที่ Apple สิงคโปร์เพื่อทำการเบิกอะไหล่ พอได้อะไหล่มาก็ทำการเปลี่ยน แล้วตรวจสอบอีกทีก่อนส่งให้กับลูกค้า
ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อต้องทำการส่ง iPhone ไปซ่อมก็คือไม่มีเครื่องใช้ระหว่างรอซ่อม และด้วยระยะเวลาในการซ่อมที่นานพอสมควร เฉลี่ยประมาณ 1 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านั้น การไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ในยุคปัจจุบันก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน ส่วนตัวมองว่าทำให้ใช้ชีวิตลำบากขึ้นเยอะเหมือนกัน เพราะปัจจุบันสมาร์ทโฟนแทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตไปแล้ว ทั้งการทำงาน, โซเชียล, การติดต่องาน รวมถึงเรื่องการทำธุรกรรมต่าง ๆ ครั้นจะไปซื้อสมาร์ทโฟนมาใช้ระหว่างซ่อมก็ดูจะสิ้นเปลืองเกินไป หรือถ้าซื้อเครื่องที่ราคาไม่แพงมากมาใช้ไปก่อนก็คงใช้งานได้ไม่สะดวกเท่าไหร่
ทีนี้มาเข้าสู่ประเด็นหลักของบทความนี้ นั่นก็คือเรื่องราคาค่าซ่อมหน้าจอ iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone X รวมถึง iPhone รุ่นอื่น ๆ โดยผมไปหาข้อมูลราคาค่าเปลี่ยนหน้าจอมาจากแฟนเพจ iServe ซึ่งเป็นศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจากทาง Apple
- iPhone 8 Plus, 7 Plus และ iPhone 6s Plus – 6,500 บาท
- iPhone 8 , 7, 6s และ iPhone 6 Plus – 5,500 บาท
- iPhone 5s, SE และ iPhone 6 – 5,000 บาท
- iPhone X – 12,500 บาท
จะเห็นว่าราคาเปลี่ยนจอ iPhone ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ก็มีราคาที่สูงในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะ iPhone X ที่มีราคาสูงถึง 12,500 บาท หรือ iPhone 8 Plus ก็มีราคาค่าเปลี่ยนหน้าจอสูงถึง 6,500 บาท ทำให้หลายคนเลือกเปลี่ยนจอกับร้านข้างนอก ซึ่งมีราคาถูกกว่าหลายเท่า แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงหากเจอร้านที่ไม่ชำนาญ รวมถึงอะไหล่ที่เปลี่ยนมาก็คุณภาพไม่เท่ากับของศูนย์บริการ และยิ่งเป็น iPhone รุ่นใหม่ ตั้งแต่ iPhone 8, iPhone 8 Plus ขึ้นไปที่มาพร้อมกับหน้าจอ True-tone Display การแกะซ่อมโดยช่างที่ไม่ชำนาญอาจมีผลกับเซ็นเซอร์อื่น ๆ ได้