หากพูดถึงสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุดของ Huawei อย่าง Huawei P10 และ Huawei P10 Plus ด้วยความที่เป็นรุ่นท็อป เพราะฉะนั้นก็ควรมาพร้อมสเปคที่แรงสุด ท็อปสุด ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต Hisilicon Kirin 960, Ram 4 GB และหน่วยความจำประเภท Flash Memory ที่ชัดเจนแล้วว่า Huawei P10 Series ทุกเครื่องที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ใช้ Flash Memory แบบ UFS เหมือนกันทั้งหมด
เหนือสิ่งอื่นใด ไฮไลท์เด็ดสุดของ Huawei P10 Series ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องกล้อง โดยกล้องของ Huawei P10 Series เป็นการร่วมมือกันกับ Leica เช่นเคยเหมือนตอน Huawei P9 Series แต่มีการพัฒนาด้านกล้องให้ดีขึ้นทั้ง Hardware และ Software มีการเพิ่มความละเอียดของเซ็นเซอร์ Monochrome ให้มีความละเอียดเป็น 20 ล้านพิกเซล (กล้องอีกตัวใช้เซ็นเซอร์ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล) ใช้เลนส์ Leica Dual Camera 2.0 สำหรับ Huawei P10 และ Leica Dual Camera 2.0 Pro Edition สำหรับ Huawei P10 Plus รวมถึงกล้องหน้าของ Huawei P10 Series ก็ได้ใช้เลนส์ของ Leica เช่นเดียวกัน
สำหรับบทความนี้ เราจะมาแนะนำการใช้งานกล้องถ่ายภาพ Huawei P10 Series ใน 4 โหมดหลัก ๆ ซึ่งเชื่อว่าคนที่ได้ซื้อ Huawei P10 Series มาใช้งานก็คงจะได้เล่นกันหมดแล้ว แต่อาจจะใช้ไม่ครบทุกฟีเจอร์ ทุกความสามารถ หรือบางคนอาจจะไม่รู้ว่ากล้อง Huawei P10 Series สามารถทำแบบนี้ได้ด้วย!!
Tips: แนะนำให้ทำการเปิด Grid หรือเส้นตาราง เพื่อที่จะช่วยให้เราจัดองค์ประกอบของภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น วิธีการเปิดตารางก็ให้ปัดหน้าจอที่เมนูกล้องไปทางด้านขวามือ > เลือก Grid แล้วก็เปิดการใช้งานตาราง เราจะได้ตารางแบบจุดตัด 9 ช่อง วิธีการจัดองค์ประกอบภาพแบบง่าย ๆ นอกจากวางตัวแบบตรงกึ่งกลางภาพ ก็สามารถวางให้ตัวแบบอยู่บริเวณจุดตัดทั้ง 4 ได้เช่นกัน จะทำให้รูปของเราดูน่าสนใจขึ้น
การถ่ายคน นอกจากจะใช้โหมด Portrait แล้ว การวางตำแหน่งของดวงตาของตัวแบบไว้ที่จุดตัดเก้าช่องก็ทำให้องค์ประกอบของภาพดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
การใช้โหมดหน้าชัด – หลังเบลอ (Wide aperture)
โหมดแรกที่จะมาแนะนำก็คือโหมด Wide aperture หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอ ที่ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายได้แตกต่างจากสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่น สามารถถ่ายภาพหลังละลาย มีโบเก้สวย ๆ ได้เหมือนใช้กล้อง DSLR โดยใช้เพียงสมาร์ทโฟนอย่าง Huawei P10 Series เท่านั้น
วิธีการเปิดโหมด Wide aperture ก็เพียงแค่กดที่สัญลักษณ์รูปรูรับแสงแบบในรูปตัวอย่าง เมื่อกดแล้วสัญลักษณ์จะเป็นเป็นสีส้ม และมีคำว่า Wide aperture enable ขึ้นมา
ในการใช้งานก็ให้เราเลือกจุดที่ต้องการโฟกัส จากนั้นก็ให้กดถ่ายภาพได้ทันที แต่ถ้าอยากได้ความเบลอมาก หรือเบลอน้อยอันนี้ก็สามารถปรับเพิ่มเติมได้ เพียงกดที่ Aperture level ซึ่งเป็นการเลือกจำลองค่ารูรับแสง สามารถเลือกได้แต่ตั้งแต่ f/0.95 ไปจนถึง f/16 ถ้าเลือกตัวเลขมาก ๆ จะทำให้เบลอน้อย แต่ถ้ายิ่งเลือกตัวเลขน้อย ๆ ฉากหลังก็จะยิ่งเบลอมากนั่นเอง
แต่การใช้งานโหมด Wide aperture ให้โปรนั้น จำเป็นที่จะต้องเข้าใจลักษณะของภาพถ่าย และเลือกใช้การจำลองค่ารูรับแสงให้เหมาะสมกับภาพถ่ายด้วยครับ ควรให้วัตถุอยู่ห่างจากกล้องไม่เกิน 2 เมตร และการที่เราเลือกรูรับแสงกว้าง f/0.95 ตลอดก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมเท่าไหร่ เพราะอาจจะได้ภาพหน้าชัดหลังเบลอที่เบลอจนไม่ได้รายละเอียด ทำให้ภาพไม่สามารถเล่าเรื่องได้นั่นเอง
ถ้าเป็นการถ่ายภาพวัตถุเล็ก ๆ ที่มีการ Close-up อันนี้เปิดไปเลย f/0.95 – f/1.8 อะไรก็ว่ากันไป เพราะเราไม่ได้ต้องการฉากหลังอยู่แล้ว การที่ละลายฉากหลังทำให้ตัวแบบเด่นขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย เช่นเดียวกับการถ่ายภาพในพื้นที่ ๆ เราไม่ต้องการฉากหลังเช่นเดียวกัน แต่อาจจะเลือกใช้ Aperture level ที่ f/4 – 5.6 เพื่อให้มีความเนียนมากที่สุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะของตัวแบบกับกล้องด้วยนะครับ ยิ่งตัวแบบอยู่ไกล ก็ควรปรับ Aperture level ให้เบลอแบบพอดี ๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเผลอถ่ายรูปด้วยโหมด Wide aperture ไปแล้ว แต่รู้สึกไม่พอใจกับความหน้าชัดหลังเบลอ หรือเลือกจุดโฟกัสผิดก็ไม่ต้องกลับไปถ่ายใหม่ เพราะโหมด Wide aperture เองสามารถปรับโฟกัสใหม่หลังจากที่เราถ่ายภาพไปแล้วได้ รวมถึงเลือก Aperture level ทีหลังก็ยังได้ และยังสามารถเลือกเอฟเฟครูปแบบการเบลอหลังได้อีกต่างหาก เพียงเลือกภาพที่เราถ่ายด้วยโหมด Wide aperture แล้วกดที่สัญลักษณ์รูรับแสง จะมีเมนูให้เลือก Aperture level, ฟิลเตอร์ ส่วนการปรับโฟกัสใหม่ก็เพียงแค่กดเลือกจุดโฟกัสใหม่เท่านั้นเอง พอเลือกเสร็จแล้วก็กด Save เป็นอันเรียบร้อย
นอกจาก Wide aperture หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอแล้ว ใน Huawei P10 Series ยังมีโหมดใหม่ที่ได้ร่วมกันพัฒนากับทาง Leica ซึ่งก็คือ Portrait Mode ที่ออกแบบมาสำหรับถ่ายภาพบุคคลโดยเฉพาะ เมื่อใช้ Portrait Mode (กดที่สัญลักษณ์รูปบุคคล) จะได้ภาพถ่ายที่เหมือนกับพกพาสตูดิโอภาพของ Leica ไปไหนมาไหนทุกที่เลยทีเดียว มีการใช้ระบบจดจำใบหน้าแบบ 3 มิติ, ปรับปรุงเรื่องสี และมาพร้อมกับการทำหน้าชัดหลังเบลอ (Bokeh effect) อย่างเป็นธรรมชาติ
เปรียบเทียบระหว่าง Portrait Mode กับรูปถ่ายจากโหมด Auto
การใช้โหมดขาวดำ (Monochrome)
โหมดขาวดำในกล้องของ Huawei P10 Series ยังคงเป็นการใช้เซนเซอร์ Monochrome ในการบันทึกภาพโดยเฉพาะเช่นเดียวกับ Huawei P9 Series แต่มีการเพิ่มความละเอียดของเซนเซอร์ Monochrome ให้มีความละเอียดมากขึ้นที่ 20 ล้านพิกเซล การที่มีความละเอียดมากขึ้น ก็ส่งผลให้ Huawei P10 Series สามารถเก็บรายละเอียดภาพขาวดำได้ดีมากยิ่งขึ้น
ความแตกต่างระหว่างภาพในโหมด Monochrome ที่ถ่ายด้วยกล้อง Huawei P10 Series จะไม่เหมือนการใส่ฟิลเตอร์ของสมาร์ทโฟนปกติทั่วไป เนื่องจากเป็นการถ่ายภาพขาวดำจากเซนเซอร์โดยตรง ภาพที่ได้จะโดดเด่นเรื่อง Contrast และอารมณ์ของภาพเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นโหมด Monochrome เลยเหมาะกับการถ่ายภาพที่เน้นเรื่องอารมณ์ ถ่ายแล้วดูมีอะไรขึ้นนั่นเอง
นอกจากการพัฒนาด้านความละเอียดของเซนเซอร์ Monochrome แล้วโหมด Monochrome ในกล้องของ Huawei P10 Series ยังมาพร้อมกับความสามารถในการถ่ายขาวดำแบบ Portrait Mode ได้อีกด้วย ทำให้การถ่ายภาพคนด้วยโหมดขาวดำมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น เหมือนกับการถ่ายภาพในสตูดิโอของทาง Leica และยังสามารถเปิดใช้โหมด Wide aperture ในขณะที่ถ่าย Monochrome ได้เช่นกัน ถือว่าเป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Huawei P10 Series เท่านั้นครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมด Monochrome + Portrait เทียบกับ Monochrome ปกติ
กล้องหน้า Leica Selfie
กล้องหน้าก็เป็นอีกสิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของ Huawei P10 Series เพราะรอบนี้ไม่ใช่แค่กล้องหลังที่เป็นเลนส์ Leica แต่ยังรวมถึงกล้องหน้าที่ใช้เลนส์ และการปรับแต่งซอฟท์แวร์จากทาง Leica ด้วย แน่นอนว่ามาพร้อมกับ Portrait Mode ทำให้การถ่ายภาพด้วยกล้องหน้า Leica บน Huawei P10 Series มีการละลายฉากหลัง, การใช้ระบบการจดจำใบหน้าแบบ 3 มิติ, การปรับปรุงภาพหน้าของบุคคลได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังคงได้ภาพเซลฟี่ในสไตล์ของทาง Leica เช่นเดียวกับการใช้กล้องหลังถ่าย Portrait Mode
การเปิด Portrait Mode สำหรับกล้องหน้าของ Huawei P10 Series ให้กดที่รูป Portrait ในเมนูกล้อง แล้วก็สามารถยกขึ้นถ่ายได้เหมือนปกติครับ ส่วนการปรับระดับความสวยของใบหน้า ให้กดที่ไอคอนรูป Portrait บริเวณมุมขวาของเมนูกล้อง จากนั้นเลือกระดับความ Beauty ได้ตามสะดวก
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจในกล้องหน้า Huawei P10 Series ก็คือ Adaptive Selfie หรือการถ่ายรูปเซลฟี่เป็นกลุ่ม โหมดดังกล่าวเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าอะไร แต่จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ เมื่อเราทำการเซลฟี่แล้วมีสมาชิกในรูปหลายคน (จากการทดสอบ 3 คนขึ้นไป) กล้องหน้าของ Huawei P10 Series จะทำการเปลี่ยนระยะเป็นเลนส์มุมกว้างโดยอัตโนมัติ ทำให้เราสามารถเก็บภาพเซลฟี่ได้ครบ หมดปัญหาเพื่อนตกเฟรม
การใช้โหมดโปร (Manual)
จุดเด่นของ Huawei P10 Series นอกจากโหมดต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวมาแล้ว ยังมีอีกหนึ่งโหมดที่น่าสนใจ และเป็นที่ถูกใจของบรรดาช่างภาพหลายคน ได้แก่โหมดโปร หรือ โหมด Manual, โหมด M เนื่องจากโหมดโปรที่อยู่ในกล้อง Huawei P10 Series เป็นโหมดโปรที่สามารถปรับแต่งการตั้งค่ากล้องได้ละเอียดไม่แพ้กล้อง DSLR หรือกล้อง Mirrorless แม้แต่น้อย
การเปิดใช้งานโหมดโปรในกล้อง Huawei P10 Series ให้ทำการเลื่อนไอคอนที่อยู่บริเวณปุ่มชัตเตอร์ออกมา จะพบว่ามีรายละเอียดให้ปรับตั้งค่าดังนี้
- การวัดแสง
- ISO
- ความเร็วชัตเตอร์
- ค่าบ่งบอกปริมาณแสง (EV)
- การจับโฟกัส
- White Balance
เมื่อเปิดใช้งานโหมด Pro เราจะสามารถตั้งค่าให้ Huawei P10 Series ถ่ายภาพแบบไฟล์ RAW ได้ด้วยครับ เพียงปัดหน้าจอ (เมื่อเปิดโหมด Pro) ไปทางขวามือ ตรงใต้เมนู Resolution จะมีเมนู RAW format โผล่ขึ้นมา ถ้าเราเลือกเปิดให้บันทึกไฟล์ RAW ด้วย เวลาที่ถ่ายภาพ ตัวเครื่องจะเก็บภาพให้ 2 แบบ ได้แก่ ไฟล์ที่เป็นนาสกุล .jpeg กับไฟล์นามสกุล .dng
ซ้าย: ไฟล์ RAW ขวา: ไฟล์ jpeg
การที่เราถ่ายไฟล์ RAW มาจะเหมาะกับการนำภาพไปแต่งเพิ่มเติมผ่านโปรแกรมอื่น ๆ ที่นิยมกันก็เช่น Adobe Lightroom Photopshop, Snapseed เนื่องจากเป็นไฟล์ที่ไม่ได้ผ่านการแต่งภาพจากซอฟท์แวร์กล้อง และเป็นไฟล์ที่ความละเอียดสูง โดยเฉลี่ยเมื่อถ่ายภาพไฟล์ RAW ด้วยกล้องของ Huawei P10 Series จะมีขนาดต่อ 1 ไฟล์อยู่ที่ประมาณ 20 MB ขึ้นไป
ภาพรวมของโหมด Pro บนกล้อง Huawei P10 Series ส่วนตัวผมว่าเป็นโหมดที่ได้ใช้ไม่บ่อย ด้วยตัวซอฟท์แวร์ของ Huawei P10 Series เองเป็นซอฟท์แวร์กล้องที่ฉลาด ในการถ่ายภาพปกติ ไฟล์ .jpeg มีการแต่งภาพให้สวยมากอยู่แล้ว การใช้โหมด Pro เลยเหมาะกับสภาพแสงยาก ๆ หรือที่แสงน้อยจัด ๆ มากกว่า และข้อแนะนำสำหรับการถ่ายภาพด้วยโหมด Pro คือควรพกขาตั้งกล้องติดไปด้วยครับ เพราะในสภาพที่แสงน้อยมาก ๆ การเปิดความเร็วชัตเตอร์นาน ๆ (ระดับ 1 วินาทีขึ้นไป) จะช่วยให้ตัวกล้องเก็บแสงได้มาก และถ่ายภาพได้สว่างมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับการสั่นไหว เนื่องจากมือของคนเราไม่ได้นิ่งอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
อย่างภาพด้านบนเป็นการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ด้านซ้ายถ่ายด้วยโหมด Auto ส่วนด้านขวาเลือกใช้โหมด Pro มีการตั้งค่ากล้อง ISO 50/ ความเร็วชัตเตอร์ 1 วินาที แต่ถ้าเป็นไฟล์ .jpeg จะเป็นการตั้งค่าอัตโนมัติที่ ISO 400 และความเร็วชัตเตอร์ 1/25 วินาที จึงทำให้ภาพดูไม่สว่าง และไม่คมเท่ากับโหมด Pro
หวังว่าเทคนิคการใช้งานโหมดต่าง ๆ ของกล้อง Huawei P10 Series ที่เราได้นำมาเสนอก็น่าจะช่วยให้เพื่อน ๆ ที่ใช้งาน Huawei P10 Series ถ่ายรูปได้สนุกมากยิ่งขึ้นครับ