ก่อนหน้านี้เราได้เคยเขียนบทความวิธีชาร์จมือถือที่ถูกต้องไปแล้ว แต่ด้วยความที่เขียนตั้งแต่ปี 2020 เราเลยจะมาอัพเดตให้เพื่อนๆ กันกับ “แนะนำวิธีชาร์จแบตที่ถูกวิธีในปี 2022 ชาร์จยังไงให้แบตเสื่อมช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ซึ่งแบตเตอรี่เสื่อมนั้นเป็นอะไรที่อยู่คู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้ามาอย่างยาวนานและเป็นสิ่งที่ไม่มีทางแก้ได้ ดังนั้นการชะลอมันให้อยู่กับเราได้นานที่สุดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด (แต่ถ้ามีเงินหน่อยก็ใช้วิธีเปลี่ยนเรื่อยๆ ก็ได้นะ)
ข้อมูลเรื่องแบตเตอรี่ที่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย
แบตเตอรี่มือถือในปัจจุบันนี้เป้นแบตเตอรี่แบบ Li-ion ซึ่งจะมีอายุการใช้งานตาม Charge Cycle หรือเรียกง่ายๆ ว่ารอบการชาร์จ ซึ่งโดยพืท้นฐานแล้วรอบการชาร์จแบตเตอรี่ในปัจจุบันนี้จะอยุ่ที่ 800 รอบ (ตอนนี้ที่เจอเยอะสุดคือแบตเตอรี่ใน OPPO FInd X5 Pro 5G ที่มีรอบการชาร์จมากถึง 1,600 รอบ) โดยรอบการชาร์จนี้จะนับเมื่อมีการชาร์จแบตเตอรี่สะสมครบ 100% เท่านั้นถึงจะนับเป็น 1 รอบ ดังนั้นไม่ว่าเราจะชาร์จตอนแบตเตอรี่เหลือกี่เปอเซ็นต์ก็จะยังไม่นับว่าเป้น 1 รอบจนกว่าเราจะชาร์จสะสมครบ 100% อย่างเช่นเราใช้แบตเตอรี่จาก 100% จนเหลือเพียง 50% นำไปชาร์จเพิ่มจนเต็มแล้วเอามาใช้ต่อและชาร์จกลับเข้าไปอีก 50% นั่นถึงจะนับเป็น 1 รอบการชาร์จนะ ซึ่งในอดีตเคยได้มีงานวิจัยเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ เพียงแต่ด้วยความที่เป็นข้อมูลที่เปิดเผยออกมาค่อนข้างนานแล้วอาจจะใช้กับในปัจจุบันไมาได้ แต่ก็ใช้อ้างอิงได้ในระดับหนึ่ง โดยในงานวิจัยนั้นมีทั้งงานวิจัยที่นับรอบการชาร์จจากการใช้แบตเตอรี่ และความเสื่อมของแบตเตอรี่เมื่อมีอุณหภูมิมาเกี่ยงข้อง โดยจะสามารถดูได้จากตารางดังนี้
ปริมาณแบตเตอรี่ที่ถูกใช้ไป | จำนวนรอบการใช้งาน / ชาร์จแบตเตอรี่ ก่อนที่ความจุของแบตเตอรี่จะลดลงไปเหลือ 70% |
---|---|
100% | 300 – 600 |
80% | 400 – 900 |
60% | 600 – 1,500 |
40% | 1,000 – 3,000 |
20% | 2,000 – 9,000 |
10% | 6,000 – 15,000 |
ความร้อน | ชาร์จไว้ที่ 40% | ชาร์จไว้ที่ 100% |
---|---|---|
0°C | 98% | 94% |
25°C | 96% | 80% |
40°C | 85% | 65% |
60°C | 75% | 60% (ในเวลาแค่ 3 เดือน) |
แนะนำวิธีชาร์จแบตที่ถูกวิธีในปี 2022
1. เสียบอะแดปเตอร์กับปลั๊กไฟก่อนถึงค่อยเสียบสายชาร์จกับตัวเครื่อง
สิ่งแรกเลยที่ต้องพูดถึงและเป็นสิ่งทีหลายๆ คนทำผิดกันเป็นประจำเลยก็คือลำดับการเสียบปลั๊กและสายชาร์จ โดยทั่วๆ ไปที่เรามักจะทำกันก็คือเสียบสายชาร์จกับตัวเครื่องก่อนแล้วค่อยเอาอะแดปเตอร์ไปเสียบกับปลั๊กไฟ และทุกครั้งที่เสียบปลั๊กไฟเราจะเห็นประกายไฟเล็กกับมีเสียงช๊อตเบาๆ ซึ่งปกติหลายๆ คนจะเมินมันไปเพราะคิดว่าไม่ได้ส่งผลอะไร แต่ทว่าเหตุการณืเหล่านั้นส่งผลต่อตัวแบตเตอรี่นะเออและอย่างเลวร้ายที่สุดก็จะทำให้มือถือระเบิดไฟลุกได้เลย เพื่อป้องกันปัญหฟานั้นสิ่งที่ต้องทำมี 2 รูปแบบขึ้นอยู่กับเงื่อนไข โดยเงื่อนไขก็คือปลั๊กไฟที่จะเอาอะแดปเตอร์ไปเสียบนั้นมีไฟอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ได้เปิดไฟอยู่จะเสียบอย่างไรก็ได้ แต่ถ้ามีการเปิดไฟอยู่ก็ให้ทำการเสียบอะแดปเตอร์ก่อนค่อยเสียบสายชาร์จกับตัวเครื่องนะ เนื่องจากการทำแบบนั้นจะทำให้ไม่เกิดประกายไฟนั่นเอง (ประกายไฟเกิดจากการที่ไฟจากแบตเตอรี่ไหลมาชนกับไฟในปลั๊กนั่นเอง)
2. ถึงจะมีระบบตัดไฟอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ควรเสียบสายชาร์จค้างไว้
ในปัจจุบันนี้อะแดปเตอร์ชาร์จที่ใช้ชาร์จมือถือนั้นไม่ว่าจะเป็นของที่แถมมาให้ในกล่องหน้าของที่ไปซื้อเพิ่มมาต่างก็มีฟีเจอร์ระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเร็วอยู่ ทำให้ถึงแม้จะเสียบชาร์จทิ้งไว้ก็ไม่ส่งผลกับตัวเครื่อง แต่ว่าๆ ตัวระบบชาร์จนั้นจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อแบตเตอรี่ลดจาก 100% ต่อให้ตัวมือถือมีแบตเตอรี่ 99% ก็จะทำงานขึ้นมาอยู่ดี ซึ่งการปล่อยให้มันวนลูปไปแบบนั้นจะส่งผลต่อรอบการชาร์จโดยรวมของแบตเตอรี่ด้วยนะเออ เนื่องจากรอบการชาร์จจะนับการชาร์จ 100% เป้น 1 รอบ ถ้าเกิดการชาร์จ 1% วนไป 100 รอบก็จะทำให้เสียบรอบการชาร์จไฟฟรีๆ 1 รอบด้วยนั่นเอง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อย่างพยายามเสียบสายชาร์จทิ้งไว้นานๆ นะ
3. อยากชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จได้ตามใจ จะชาร์จบ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยก็ได้
ในการชาร์จแบตเตอรี่นั้นด้วยสามัญสำนึกส่วนมากเรามักจะชาร์จแบตเตอรี่มือถือตอนแบตเตอรี่ใกล้จะหมดหรือแบตเตอรี่หมดไปแล้ว ซึ่งการทำแบบนั้นจะทำให้อายุแบตเตอรี่สั้นลงได้นะเออ เนื่องจากการใช้จนเหลือน้อยแล้วค่อยมาชาร์จจะทำให้รอบการชาร์จครบรอบเร็วขึ้นนั่นเอง แถมในจังหวะที่ต้องใช้จริงๆ แล้วแบตเตอรี่เหลือน้อยก็อาจจะเป็นปัญหาได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากมีจังหวะให้ชาร์จได้ก็ชาร์จๆ ไปเลย และถ้าให้ดีเมื่อแบตเตอรี่เหลือสัก 40% – 50% ก็เริ่มชาร์จได้แล้ว เพราะถ้าปล่อยให้ลดไปมากกว่านี้จะไปลดอายุการใช้งานแบตเตอรี่เอา แถมไม่ต้องกลัวด้วยว่าการชาร์จบ่อยๆ จะส่งผลต่อแบตเตอรี่ไหม เนื่องจากแบตเตอรี่มือถือในปัจจุบันนี้เป็น Li-ion ที่จะมีอายุการใช้งานตามรอบการชาร์จ ถ้ายังมีรอบการชาร์จเหลือก้ไม่เสื่อมง่ายๆ แน่นอน (รอบการชาร์จมาตราฐานจะอยู่ที่ 800 รอบ แต่บางแบรนด์อาจจะพัฒนาให้มีรอบมากกว่านั้นก็ได้)
4. ความร้อนนี่แหละศัตรูตัวฉกาจ
ในการใช้งานปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ นั้นไม่ว่าอย่างไรก็หลีกเลี่ยงความร้อนไม่ได้ ซึ่งถึงแม้ในมือถือและแท็บเล็ตทุกเครื่องจะมีระบบระบายความร้อนติดมาด้วย ทว่าความร้อนเหล่านั้นต้องแผ่ไปถึงชิ้นส่วนต่างๆ ก่อนที่จะระบายเสร็จสิ้นแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งานที่สถานที่ๆ มีอุณหภูมิสูงอย่างประเทศไทย หรือไม่ก็มีการใช้งานระหว่างการชาร์จ ซึ่งความร้อนเหล่านี้จะไปส่งผลต่อซีลยาง, แผงวงจี และสารเคมีที่อยู่ในตัวแบตเตอรี่ ซึ่งถ้าซีลต่างๆ หรือสารเคมีในแบตเตอรี่เกิดเสื่อมขึ้นมาจะทำให้ตัวแบตเตอรี่บวมขึ้นมาได้ ต่อให้รอบการชาร์จยังไม่หมดก็ตาม และถ้าปล่อยเอาไว้ก็จะส่งผลต่อตัวมือถือด้วย โดยที่เห็นชัดๆ เลยก็คือหน้าจอที่จะถูกดันขึ้นมา ถ้าปล่อยให้ดันไปแบบนั้นชิ้นส่วนหน้าจอจะเกิดการงอหรืออย่างแย่คือเสียหายไปเลย ทำให้อาจจะต้องเสียค่าซ่อมแพงยิ่งขึ้นก็ได้
4. อย่าให้เครื่องโดนแรงกระแทกไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม
อย่าให้เครื่องโดนแรงกระแทก คำพูดนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็ฯไปไม่ได้เลยก็ได้ เพราะยังไงมนุษย์เราก็ต้องมีจังหวะเผลอบ้างอะไรบ้าง ถึงแม้การตั้งสติจะช่วยลดอัตราการเกิดเหตุได้บ้างแต่ก็ใช่ว่าจะหมดไป ตัวเลือกที่พอจะช่วยบรรเทาได้ก็คือการใส่เคสกันกระแทก ซึ่งจะช่วยลดแรงกระแทกต่อตัวเครื่าองให้น้อยลงได้ ซึ่งการที่บอกว่าอย่าให้มีการกระแทกใดๆ ก็เป้นผลมาจากชิ้นส่วนต่างๆ ในตัวมือถือนั้นต่างก็ติดด้วยกาว หรือไม่ก็ใช้วิธีเชื่อม ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านั้นเรียกได้ว่าบอบบางสุดๆ ถ้าเกิดแรงกระแทกในระดับนึงก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายได้ แบตเตอรี่เองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เรียกได้ว่าบอบบางเช่นกัน เพราะโครงสร้างภายในตัวแบตเตอรี่นั้นมีความบางแบบสุดๆ ซึ่งถ้าเกิดความเสียหายก็อาจจะทำให้แบตเตอรี่บวมหรือระเบิดได้เลย
6. อย่าเห็นแก่ของถูก เพราะมันอาจเพิ่มความเสียหายได้อีก
อย่าเห็นแก่ของถูก นี่อาจจะเป็นคำพูดที่มีการพูดกันอยุ่เรื่องๆ แต่ก็ไม่อาจห้ามใจได้ เพราะยังไงของราคาถูกมันก็ดึงดูดใจอยู่ดี ซึ่งอะแดปเตอร์และสายชาร์จนั้นก็เป็นของที่พบเจอได้ทั่วไป มีทั้งถูกและแพง ซึ่งพวกของแพงๆ ก็จะมีระบบป้องกันต่างๆ อย่างดีอยู่แล้ว แต่ของถูกๆ นี่ถ้าดูไม่เป็นหรือโชคไม่ดีก็อาจจะได้ของไม่ได้มาตราฐานมา (คนขายมักจะพูดว่าเป็นของแท้จากโรงงานทำให้ดูค่อนข้างน่าเชื่อถือ) ซึ่งการใช้ของที่ไมไ่ด้มาจราฐานมาชาร์จแบตเตอรี่นั้นมันส่งผลต่อตัวแบตเตอรี่เอาเรื่องเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายไฟที่ไม่คงที่ การที่ไม่มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม หรือแม้กระทั่งการที่งานประกอบไม่ดีจนชิ้นส่วนผิดรูป ฯลฯ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลต่ออายุของแบตเตอรี่รวมไปถึงอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุแบตเตอรี่ระเบิดได้ด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ของที่พอมีราคาหน่อย หรือซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือจะช่วยยืดอายุการใช้งานมือถือให้ยืนยาวไปได้อีกนาน