ในปัจจุบันสมาร์ทโฟนเกือบทุกรุ่นบนโลกนี้ได้มีการใช้พอร์ต microUSB ในการเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนและเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเอาไว้ชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสากลที่สมาร์ทโฟนใช้ร่วมกัน ซึ่งในปีนี้ เราจะได้เห็นพอร์ตการเชื่อมต่อมาตรฐานแบบใหม่ที่มีชื่อว่า USB -C ซึ่งในขณะนี้อาจจะยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่ในอนาคตจะเป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟน ซึ่งเรามาทำความรู้จักกับพอร์ต USB-C นี้กัน
USB-C คืออะไร
USB-C เป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบใหม่แบบ Type-C ซึ่งจะเป็นพอร์ตมาตรฐานสากลที่จะนำมาใช้กันบนสมาร์ทโฟนในอนาคต โดยมีลักษณะแตกต่างจากพอร์ตที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อย่าง microUSB หรือ Micro-B ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปทรงของพอร์ตที่เสียบได้ด้านเดียว แต่ USB-C จะมีลักษณะเป็นวงรี ที่จะสามารถเสียบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้านไหนก็ได้โดยไม่ต้องพลิกกลับไปกลับมา USB-C เป็น USB 3.1 Gen 2 ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 10 Gbps และรองรับการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ที่ 7.5W และรองรับการจ่ายไฟได้ถึง 100W
ทำไมต้องใช้ USB – C
ในขณะที่อุปกรณ์ใหม่ที่กำลังลงสู่ตลาด เรามักจะมองหาอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติการเชื่อมต่อที่ทันสมัย ซึ่ง USB-C เป็นพอร์ตเชื่อมต่อที่เป็นมาตรฐานสากลในอนาคต และสามารถรองรับกับทุกอุปกรณ์ ซึ่งในอนาคตจะมีการใช้งาน USB-C ทุกอุปกรณ์มือถือ โดยในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ได้ใช้พอร์ต USB-C แล้ว นั่นก็คือ Apple Macbook , Apple TV ,Google Chromebook Pixel , Pixel C, Hp Envy & Pavilion laptops, Tablet Windows 10 8-inch สำหรับสมาร์ทโฟนก็ได้เริ่มใช้พอร์ต USB-C แล้ว เช่น LG G5, Nexus 6P & 5X, OnePlus 2 และ Microsoft Lumia 950
ประโยชน์ของ USB-C
มีการออกแบบที่บางเฉียบและทันสมัย เป็นพอร์ตที่สามารถเสียบโดยไม่ต้องพลิกด้านทำให้มันง่ายต่อการใช้งาน และรองรับประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10 Gbps และรองรับการชาร์จพลังงานที่รวดเร็วทำให้ใช้งานได้หลากหลายกับอุปกรณ์มือถือต่าง ๆ และจะเป็นพอร์ตมาตรฐานมาแทน microUSB ในอนาคต นอกจากนี้ยังสนับสนุน Protocols อื่น ๆ อีกเช่น USB , HDMI , DisplayPort , VGA และการชาร์จพลังงาน USB-C จะเพิ่มประสิทธิภาพในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เร็วขึ้นอีกด้วย ดังสโลแกนที่ว่า Fast,Flexible and Powerful
ที่มา androidcentral