iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ที่จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้เป็นวันแรก สำหรับใครที่ลังเลว่าควรซื้อ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ดีไหม? บทความนี้น่าจะช่วยคุณได้ กับ 8 สิ่งดีงามที่พบได้ใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
1. ราคาพร้อมแพ็กเกจที่โดนใจ แถมโปรโมชั่นผ่อน 0% ที่ยาวถึง 30 เดือน
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีโปรโมชั่นเด็ดๆ ทำให้ใครๆก็เป็นเจ้าของได้ไม่ยาก ในราคาที่คุ้มสุดๆ โดย dtac ให้ส่วนลดค่าเครื่องทันที 5,000 บาท และให้ส่วนลดเพิ่มอีก 1,500 บาท หากย้ายค่ายเบอร์เดิมมาใช้ดีแทค เพียงซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจยอดฮิตอย่าง Go No LIMIT ที่ให้เล่นเน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด หรือแพ็กเกจ Super NON STOP เล่นเน็ตได้ไม่มีหยุด ใช้ไม่หมดทบไปเดือนหน้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถผ่อนชำระค่าเครื่องและค่าบริการล่วงหน้าได้ในทีเดียว ที่สำคัญรอบนี้ dtac ปล่อยโปรโมชั่นสุดคุ้มผ่อน 0% นานสูงสุด 30 เดือน หรือ เลือกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18% ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dtac.co.th/iphone-8/#Tab3
2. ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic แรงที่สุดในโลกสมาร์ทโฟน
แม้ว่า iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะมีดีไซน์ภายนอกใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่สิ่งแรกที่ทำให้มันแตกต่าง และเรามองว่าเป็นสิ่งที่ดีงามที่สุดในสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ก็คือ ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic ชิปประมวลผลอันทรงพลังรุ่นล่าสุดของ Apple ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวเดียวกับใน iPhone X เป็นชิปเซ็ตแบบ Hexa-Core (6 Core) แบ่งออกเป็น 2 Core ตัวแรง และ 4 Core สำหรับประหยัดพลังงาน
ประสิทธิภาพของชิปเซ็ตรุ่นดังกล่าว สามารถกดคะแนนจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่เอาไว้ทดสอบประสิทธิภาพของชิปเซ็ตไปได้ถึง 220,000 คะแนน ทิ้งห่างจากสมาร์ทโฟนแอนดรอยรุ่นท็อปสุดไปหลายช่วงตัว (รุ่นท็อปสุดของ Android ที่ใช้ชิป Snapdragon 835 ทำคะแนนได้ประมาณ 175,000 คะแนน) และด้วยพลังที่ล้นเหลือของชิป Apple A11 Bionic ใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ทำให้มั่นใจได้เลยว่า สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ ซื้อทีเดียว ใช้กันได้ยาว ๆ
3. หน้าจอ Retina HD อัพเกรดให้เทพขึ้นด้วย True Tone Display
แต่เดิมหน้าจอ Retina ของ iPhone ก็มักจะเป็นหน้าจอที่ได้มาตรฐาน และได้รับคำชมในแง่ของการแสดงผลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ได้มีการอัพเกรดเทคโนโลยีหน้าจอให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการใส่เทคโนโลยี True Tone Display ที่เคยอยู่ใน iPad Pro ให้กับหน้าจอ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
การที่เพิ่มเทคโนโลยี True Tone Display เข้ามา ทำให้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus สามารถแสดงสีสันได้สมจริงในทุกสภาพแสง หลักการทำงานของเทคโนโลยี True Tone คือใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบแบบ 4 ช่องสัญญาณ เพื่อปรับไวท์บาลานซ์บนหน้าจอให้ตรงกับอุณหภูมิสี
ของแสงรอบ ๆ ซึ่งก็เป็นการช่วยลดอาการเมื่อยล้าของสายตาได้ นอกจากนี้หน้าจอของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังเป็นหน้าจอแบบขอบเขตสีกว้าง มาตรฐาน P3 ที่เป็นมาตรฐานเดียวกับในวงการภาพยนตร์อีกด้วย
4. ดีไซน์ที่คุ้นเคย และเพิ่มเติมด้วยวัสดุสุดพรีเมียม
จริงอยู่ที่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังใช้ดีไซน์แบบเดียวกับตอน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus (แต่มีความหนากับน้ำหนักมากกว่าเล็กน้อย) แต่ในความเดิม ๆ ของมันก็ถูกแทนที่ด้วยวัสดุตัวเครื่องแบบใหม่ จากเดิมที่เป็นอลูมิเนียมทั้งตัวแบบ Unibody เปลี่ยนมาใช้เป็นขอบอลูมิเนียมกับฝาหลังกระจก
กระจกที่ใช้ในฝาหลังของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เป็นกระจกที่ Apple เคลมว่าแข็งแรงที่สุดในโลกสมาร์ทโฟน มีด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีเงิน Silver, สีดำ Black, สีทองแบบใหม่ และเราก็แอบกระซิบบอกคุณเลยว่า สีดำใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะคล้ายกับสีดำ JetBlack เมื่อสมัย iPhone 7 แต่มันทนทานต่อรอยขีดข่วนมากกว่า และไม่มีปัญหาสีลอกแน่นอน
5. อุปกรณ์เสริม ใช้ของเดิมก็ได้
บางทีการที่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ใช้ดีไซน์แบบเดิม อาจจะเป็นข้อดีก็ได้ เพราะการที่มีดีไซน์แบบเดิม ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมของรุ่นเก่าได้ ถ้าอัพเกรดจาก iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus ก็ใช้เคสของเดิมได้เลย รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น กล้องเสริม, สายชาร์จ และอื่น ๆ ที่ iPhone 7 ใช้ได้ คุณก็สามารถใช้งานร่วมกับ iPhone 8 ได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่
ข้อดีอีกอย่างก็คืออุปกรณ์เสริม โดยเฉพาะพวกเคส iPhone 7 ช่วงหลังมานี่ก็มีการปรับราคาลงพอสมควร และด้วยความที่มันใช้งานร่วมกันได้ ก็น่าจะประหยัดค่าอุปกรณ์เสริมไปได้เยอะเลยครับ
6. ชาร์จเร็วก็ได้ ชาร์จไร้สายก็ดี
ฟีเจอร์ใหม่ที่ Apple ใส่เข้ามาใน iPhone เป็นครั้งแรกก็คือฟีเจอร์เกี่ยวกับการชาร์จไฟ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จเร็วมาตรฐาน USB PD (Power Delivery) ทำให้สามารถชาร์จ iPhone 8 จาก 0 – 50% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที และอีกฟีเจอร์ก็จะเป็นการชาร์จไร้สาย ผ่านแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi ซึ่งตอนนี้ทั้งอะแดปเตอร์ที่รองรับ USB PD กับแท่นชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi ก็เริ่มวางจำหน่ายแล้วด้วย
7. เซ็นเซอร์กล้องรุ่นใหม่ ใหญ่ขึ้น ถ่ายได้ดีขึ้น
ตามหน้าสเปคของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังคงใช้กล้องความละเอียดเท่าเดิมที่ 12 ล้านพิกเซล รวมถึงกล้องคู่ใน iPhone 8 Plus ก็ยังคงเป็นกล้องคู่ที่มีรูรับแสง f/1.8 และ f/2.8 ตามลำดับเหมือนตอน iPhone 7 Plus แต่ Apple ได้มีการปรับปรุงกล้องใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus โดยเลือกใช้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ มีขนาดใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อน ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยทำได้ดีมากยิ่งขึ้น
นอกจากเรื่องเซ็นเซอร์ที่ใช้เซ็นเซอร์ชุดใหม่แล้ว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังมีการใช้ Image Signal Processor (ISP) ที่ทำงานร่วมกับชิป Apple A11 Bionic ที่จะคอยตรวจจับองค์ประกอบต่างๆ ในฉากที่ถ่าย ไม่ว่าจะเป็นคน การเคลื่อนไหว และสภาพแสง เพื่อปรับแต่งรูปภาพให้ สวยยิ่งขึ้น รวมถึงโหมด HDR ที่ประมวลผลได้รวดเร็วและแม่นยำด้วยเช่นกัน
8. โหมด Portrait Lighting ละลายหลังอย่างเนียน*
สำหรับ Portrait Lighting หรือโหมดการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล ที่ถูกเพิ่มมาเฉพาะใน iPhone 8 Plus ทำให้การถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait ทำได้ดี และหลากหลายขึ้นกว่าตอน iPhone 7 Plus ไม่ว่าจะเป็นการละลายหลังที่ทำได้อย่างเนียนตา ระดับความเนียนที่ใกล้เคียงกับ DSLR และไฮไลท์จากตัว Portrait Lighting ที่ต่อยอด Portrait Mode ได้เป็นอย่างดี
โหมดต่าง ๆ ใน Portrait Lighting จะประกอบไปด้วยการจัดแสงอัตโนมัติในแบบต่าง ๆ มีให้เลือกด้วยกัน 5 แบบ ได้แก่
- Natural Light
- Studio Light
- Contour Light
- Stage Light
- Stage Light Mono