เปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro ต่างกันมากแค่ไหนกับรุ่นปกติและรุ่นระดับโปร จะเลือกซื้อรุ่นไหนดี
หลังจากการเปิดตัวของ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ไปเมื่อคืนวันที่ 10 กันยายน 2024 ที่ผ่านมา และใกล้จะวางขายในเร็วๆ นี้ทั้งสองซีรีส์คือรุ่นปกติและรุ่นโปรก็มีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน ถึงแม้ว่าจะมีฟีเจอร์ฟหลายๆ อย่างที่รุ่นปกตินั้นอัพเกรดมาให้ใช้งานได้เหมือนๆ กับรุ่นโปรก็ตาม แต่ก็ยังมีอยู่หลายจุดที่ทั้งรปกติและรุ่นโปรนั้นยังต่างกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ และการดีไซน์ภายนอก หรือว่าจะเป็นสเปคด้านใน และฟังก์ชันการใช้งานอื่นๆ ที่ยังคงต่างกันเพื่อแยกความเป็นโปรเอาไว้ด้วย วันนี้ทาง Specphone เลยจะมาเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro ต่างกันมากแค่ไหนกับรุ่นปกติและรุ่นระดับโปร และจะเลือกซื้อรุ่นไหนดี รุ่นไหนเหมาะกับใครบ้างมาดูกันเลย
- เปรียบเทียบดีไซน์ตัวเครื่องและหน้าจอ
- เปรียบเทียบชิปประมวลผลและการเชื่อมต่อ
- เปรียบเทียบกล้องหน้าและกล้องหลัง
- เปรียบเทียบแบตเตอรี่และราคา
- ตารางเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro
สรุป iPhone 16 vs iPhone 16 Pro รุ่นไหนเหมาะกับใครบ้าง
เปรียบเทียบ iPhone 16 Pro Max vs Samsung Galaxy S24 Ultra รุ่นตัวท็อปทั้งคู่ สเปคต่างกันแค่ไหน
เปรียบเทียบดีไซน์ตัวเครื่องและหน้าจอ
เริ่มต้นการเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro กันด้วยตัวเครื่องและหน้าจอของทั้งสองซีรีส์นี้กันก่อนเลย ซึ่งตัวเครื่องของรุ่นปกติกับรุ่นโปรนั้นต่างกันอยู่แล้วอย่างเห็นได้ชัด โดยตัว iPhone 16 และ iPhone 16 Plus นั้นจะใช้วัสดุอะลูมิเนียมพร้อมด้านหลังที่เป็นแบบแบบกระจกแต่งสี ทำให้มีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาพกพาง่าย ส่วนโมดูลกล้องหลังก็มี 2 เลนส์แบบเรียงลงมา ในขณะที่ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max นั้นมีกล้องหลัง 3 ตัวเหมือนเดิม และใช้วัสดุไทเทเนียมพร้อมด้านหลังแบบกระจกผิวด้าน โดยทุกรุ่นนั้นมีจุดที่เหมือนกันคือปุ่ม Action และปุ่ม Camera Control ด้านข้างตัวเครื่องใหม่
ทางด้านหน้าจอของ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro รุ่นปกติกับรุ่นโปรนั้นตีคู่กันมาเลยก็ว่าได้ เพราะว่าทุกรุ่นนั้นใช้หน้าจอที่เป็น Super Retina XDR แบบ OLED พร้อมกับ Dynamic Island และทำความสว่างได้สูงสุด 2,000nits หรือปรับลงมาได้ต่ำสุด 1nits รวมไปถึงการป้องกันจอด้วย Ceramic Shield เจเนอเรชั่นล่าสุด และใช้ Face ID ได้เหมือนกันหมด จะมีความแตกต่างก็คือเรื่องของขนาดที่ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus มีจอกว้าง 6.1 และ 6.7 นิ้วตามลำดับ ส่วนรุ่นโปรอย่าง iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max จะมีหน้าจอกว้าง 6.3 และ 6.9 นิ้วตามลำดับ เพิ่มเติมคือรุ่นโปรทั้งสองรุ่นมีฟีเจอร์ ProMotion ที่ปรับได้ 1-120Hz กับจอภาพแบบติดตลอด
เปรียบเทียบชิปประมวลผลและการเชื่อมต่อ
จุดหลักๆ ที่ทำให้การเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro ทั้งสองซีรีส์นี้ต่างกันก็คือชิปประมวลผลที่รุ่นปกติอย่าง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus นั้นใช้ชิป Apple A18 ที่ทำงานได้เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าทางด้าน CPU 30% และด้าน GPU 40% ที่ทำออกมาได้เร็วแรงกว่าแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับรุ่นโปรทั้ง iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max ที่ได้อัพเกรดมาเป็นชิป Apple A18 Pro ที่เร็วแรงขึ้นไปอีกขั้นกว่ารุ่นก่อนหน้าด้าน CPU 15% และ GPU 20% สามารถพอร์ตเกม AAA เล่นได้แบบสบายๆ พร้อมเรย์เทรซซิ่งที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์เร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า ก็แน่นอนว่ารุ่นปกติยังสู้โปรไม่ได้ในจุดนี้
แต่ที่ทั้งสองซีรีส์ยังพอมีอะไรให้เหมือนกันบ้างก็คือการเชื่อมต่อ ที่สามารถเชื่อมต่อ 5G และ WiFi7 ที่เร็วกว่าเดิมได้เหมือนกันทุกรุ่น รวมไปถึงฟีเจอร์อย่างการตรวจจับการชนกันและ SOS ฉุกเฉินกับเซ็นเซอร์ก็เหมือนกันด้วย ยกเว้นสแกนเนอร์ LiDAR ที่ยังคงมีเฉพาะรุ่นโปรเท่านั้น
เปรียบเทียบกล้องหน้าและกล้องหลัง
การเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro ที่จุดสำคัญอีกหนึ่งจุดก็คือตัวกล้องที่รุ่นปกติและรุ่นโปรนั้นต่างกันอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยก็มีกล้องหน้าที่เหมือนกันคือ TrueDepth 12MP (ต่างกันเล็กน้อยที่การถ่ายวิดีโอ) และปุ่ม Camera Control ที่กดถ่ายรูปได้ทันที หรือจะเลือกโฟกัส และซูมเข้าออกได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์การผสมเสียง ที่เลือกปรับรับเสียงตอนถ่ายวิดีโอได้หลายแบบทั้งแบบปกติ, ภายในเฟรม, สตูดิโอ หรือภาพยนตร์ กับการเลือกสไตล์การถ่ายภาพทั้งก่อนหรือหลังถ่ายได้เหมือนกันหมดทุกรุ่น
ส่วนกล้องหลังรุ่นปกติอย่าง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus นั้นมีกล้องเพียงสองตัวความละเอียดหลัก Fusion 48MP และอัลตร้าไวด์ 12MP สามารถซูมได้ระดับ 0.5x, 1x และ 2x พร้อมกับการถ่ายภาพแบบมาโครได้แล้วเหมือนรุ่นโปร นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์การทำงานที่เหมือนๆ กับรุ่นโปรหลายอย่าง
แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับรุ่นโปรทั้งสองรุ่นคือ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max ที่มีกล้องหลังถึง 3 ตัวและยังอัพเกรดสเปคให้ดีขึ้นไปอีกระดับด้วยกล้องหลัง Fusion 48MP อัลตร้าไวด์ 48MP และเทเลโฟโต้ 12MP มีกันสั่นแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์รุ่นที่ 2 สามารถซูมได้ 0.5x, 1x, 2x และ 5x รองรับภาพถ่ายบุคคลในโหมดกลางคืน, Apple ProRAW และถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K@120 fps ทำให้การถ่ายสโลว หรือถ่ายวิดีโอนั้นไหลลื่นขึ้นกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ยังมีไมโครโฟนใหม่ 4 ตัวระดับสตูดิโอ
เปรียบเทียบแบตเตอรี่และราคา
ปิดท้ายด้วยการเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro ทั้งสองซีรีส์นี้กันด้วยเรื่องแบตเตอรี่ที่ตอนนี้ยังไม่ได้เผยถึงความจุออกมาทุกรุ่น แต่ทางด้านการใช้งานนั้นก็มีข้อมูลออกมาแล้ว โดยรุ่น iPhone 16 นั้นสามารถดูวิดีโอได้สูงสุด 22 ชั่วโมงและฟังเพลงได้สูงสุด 80 ชั่วโมง ส่วน iPhone 16 Plus ดูวิดีโอได้สุงสุด 27 ชั่วโมงและฟังเพลงได้ถึง 100 ชั่วโมง ในขณะที่รุ่นโปรอย่าง iPhone 16 Pro นั้นดูวิดีโอได้ 27 ชั่วโมงเช่นกันแต่ว่าฟังเพลงได้สูงสุดเพียง 85 ชั่วโมงเท่านั้น และสุดท้ายคือ iPhone 16 Pro Max ที่ทำได้สูงสุดกว่าทุกรุ่น สามารถดูวิดีโอได้ต่อเนื่อง 33 ชั่วโมงและฟังเพลงได้ถึง 105 ชั่วโมง พร้อมรองรับ MagSafe ได้สูงสุด 25W เหมือนกันทุกรุ่น ส่วนราคามีดังนี้
สั่งซื้อล่วงหน้าได้ในวันที่ 13 กันยายน 2024 และวางขายจริงในวันที่ 20 กันายน 2024
รุ่น | 128GB | 256GB | 512GB | 1TB |
iPhone 16 | 29,900 บาท | 33,900 บาท | 41,900 บาท | – |
iPhone 16 Plus | 34,900 บาท | 38,900 บาท | 46,900 บาท | – |
iPhone 16 Pro | 39,900 บาท | 43,900 บาท | 51,900 บาท | 59,900 บาท |
iPhone 16 Pro Max | – | 48,900 บาท | 56,900 บาท | 64,900 บาท |
ตารางเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro
iPhone 16 | iPhone 16 Plus | iPhone 16 Pro | iPhone 16 Pro Max | |
ขนาด/น้ำหนัก | 146.7 x 71.6 x 7.8 มม./ 170 กรัม | 160.9 x 77.8 x 7.8 มม./ 199 กรัม | 149.6 x 71.5 x 8.25 มม./ 199 กรัม | 163 x 77.6 x 8.25 มม./ 227 กรัม |
สี | น้ำเงินอัลตร้ามารีน, น้ำเงินอัลตร้ามารีน เขียวอมฟ้า, เขียวอมฟ้า ชมพู, ขาว, ดำ | น้ำเงินอัลตร้ามารีน, น้ำเงินอัลตร้ามารีน เขียวอมฟ้า, เขียวอมฟ้า ชมพู, ขาว, ดำ | ไทเทเนียมทะเลทราย, ไทเทเนียมธรรมชาติ, ไทเทเนียมขาว, ไทเทเนียมดำ | ไทเทเนียมทะเลทราย, ไทเทเนียมธรรมชาติ, ไทเทเนียมขาว, ไทเทเนียมดำ |
หน้าจอ | Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.1 นิ้ว Dynamic Island | Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.7 นิ้ว Dynamic Island | Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.3 นิ้ว Dynamic Island จอภาพแบบติดตลอด | Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.9 นิ้ว Dynamic Island จอภาพแบบติดตลอด |
Refresh Rate | 60Hz | 60Hz | 120Hz | 120Hz |
ปุ่มเสียง | Action | Action | Action | Action |
ปุ่ม Camera Control | มี | มี | มี | มี |
ชิป | A18 Bionic | A18 Bionic | A18 Pro | A18 Pro |
RAM | 8GB | 8GB | 8GB | 8GB |
ROM | 128/256/512GB | 128/256/512GB | 128/256/512GB/1TB | 256/512GB/1TB |
การเชื่อมต่อ | 5G, Wi-Fi7 | 5G, Wi-Fi7 | 5G, Wi-Fi7 | 5G, Wi-Fi7 |
Apple Intelligence | รองรับ | รองรับ | รองรับ | รองรับ |
กล้องหน้า | TrueDepth 12MP | TrueDepth 12MP | TrueDepth 12MP | TrueDepth 12MP |
กล้องหลัง | หลัก: 48MP อัลตร้าไวด์: 12MP รองรับ Macro | หลัก: 48MP อัลตร้าไวด์: 12MP รองรับ Macro | หลัก: 48MP อัลตร้าไวด์: 48MP เทเลโฟโต้: 12MP | หลัก: 48MP อัลตร้าไวด์: 48MP เทเลโฟโต้: 12MP |
แบต | สูงสุด 80 ชั่วโมง | สูงสุด 100 ชั่วโมง | สูงสุด 85 ชั่วโมง | สูงสุด 105 ชั่วโมง |
ราคา | เริ่มต้น 29,900 บาท | เริ่มต้น 34,900 บาท | เริ่มต้น 39,900 บาท | เริ่มต้น 48,900 บาท |
สรุป iPhone 16 vs iPhone 16 Pro รุ่นไหนเหมาะกับใครบ้าง
จากการเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 16 Pro ทั้งสองซีรีส์นี้จะเห็นได้ว่าความแตกต่างของแต่ลบะรุ่นนั้นมีความต่างกันอย่างชัดเจนในด้านการใช้งาน ถ้าไม่นับเรื่องการดีไซน์หรือวัสดุที่อาจมีคนชอบต่างกันในเรื่องของความสวยงาม ก็ยังมีความต่างกันในเรื่องของขนาดหน้าจอ น้ำหนักที่รุ่นปกติจะเบากว่า ซึ่งตัวหน้าจอนอกจากจะมีนาดที่ต่างกันแล้ว ความไหลลื่นรุ่นปกติก็ยังสรุ่นโปรไม่ได้ ดังนั้นใครชอบหน้าจอลื่นๆ ก็ต้องรุ่นโปรเท่านั้น
ส่วนเรื่องความเร็วแรงถ้าใครเน้นใช้ทั่วไปอันนี้รุ่นปกติก็ทำได้ดีมากอยู่แล้ว แต่ถ้าใครอยากเล่นเกมพร้อมกราฟิกหนักๆ รุ่นโปรจะตอบโจทย์ได้มากกว่า รวมไปถึงการถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอ ที่ใครเน้นเรื่องการใช้งานในด้านนี้เป็นหลักรุ่นโปรก็ยังทำได้ดีและเหมาะกว่ารุ่นปกติในทุกๆ ด้านของการถ่ายภาพและวิดีโอ ส่วนใครที่ไม่ได้เน้นเรื่องนี้มากนัก หรือเอาไว้ถ่ายทั่วไปรุ่นปกติทั้งสองรุ่นนั้นทำได้ดีและยังมีฟีเจอร์ที่ถ่ายมาโครได้แล้วด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเน้นการใช้งานแบบไหนเป็นหลัก สรุปง่ายๆ ถ้าใช้ทั่วไปรุ่นปกติก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่ถ้าชอบใช้ฟีเจอร์เยอะๆ เล่นเกมสวย ถ่ารูปเทพก็ต้องรุ่นโปรไปเลยจบสุด