
ปกติแล้วเวลาจะซื้อมือถือใหม่ เราก็มักจะขายเครื่องเก่าในตลาดมือสอง ขายให้คนรู้จัก หรือใช้การเทิร์นไปพร้อมกับการซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งก็มักจะได้เงินกลับมาส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็นทุนในการซื้อเครื่องด้วย โดยเฉพาะกับ iPhone ที่ฐานราคามือสองค่อนข้างสูง จนทำให้เกิดแนวทางการขายเครื่องเก่าซื้อเครื่องใหม่กันแบบปีต่อปี คล้ายกับเป็นการเช่าใช้เครื่องรายปี หรืออีกทางก็คือใช้ไปซัก 2-3 ปีแล้วค่อยเปลี่ยนรอบเดียว เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดมากขึ้น ในบทความนี้จะมาลองคำนวณกันครับ ว่าถ้าซื้อ iPhone เครื่องใหม่ทุกกี่ปีถึงจะได้ความคุ้มค่าในแง่ต่าง ๆ
ราคา iPhone มือสอง กับการเทิร์นหรือขายเครื่องตามปี
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าราคา iPhone มือสองนั้นมีฐานค่อนข้างสูง เวลาขายก็ได้เงินคืนกลับมาเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่ามือถือ Android โดยเฉพาะยิ่งถ้าสภาพเครื่องดี ไม่มีรอยที่เห็นได้ชัด ไม่มีปัญหาในการใช้งาน รวมถึงเปอร์เซ็นต์แบตยังจัดว่าดีอยู่ ก็มักจะขายหรือเทิร์นได้ราคาดี ทีนี้เราลองมาดูราคามือสองของ iPhone รุ่นหลักในแต่ละปีกันครับ ว่า ณ ตอนนี้มีราคาขายมือสองกันอยู่ที่เท่าไหร่ โดยเป็นราคา iPhone รุ่นปกติ ความจุเริ่มต้นซึ่งเป็นความจุยอดนิยม สภาพดี อุปกรณ์ครบ อิงจาก Facebook Marketplace วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 68

หากผมขาย iPhone 15 ตอนนี้แบบตั้งโพสต์ขายเองเพื่อมาซื้อ iPhone 16 ราคาที่คาดว่าจะสามารถขายออกได้จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 19,000 บาท หรือถ้าอยากให้ออกง่ายหน่อยก็ลดลงมาซักพันนึง ส่วนถ้าไปขายตามร้านก็จะลดหลั่นลงไปอีก ซึ่งสำหรับเครื่องที่มีอายุประมาณ 1 ปีกว่า ๆ ราคาจะตกลงไปจากราคาเปิดตัวประมาณ 42% หารค่าเสื่อมตั้งแต่วันแรกที่เปิดขายจนถึงวันที่เก็บข้อมูล จะตกที่วันละประมาณ 27 บาท เดือนละ 813 บาท และถ้าจะไปซื้อ iPhone 16 ความจุเริ่มต้น ก็ต้องเพิ่มเงินอีกเกือบ 11,000 บาท
แต่ถ้าหากเป็น iPhone 14 ที่มีอายุประมาณ 2 ปีกว่า ราคามือสองจะอยู่ที่ราว 15,000 บาท ตกลงมาจากราคาตั้งต้น 54% ค่าเสื่อมเฉลี่ยตกเดือนละ 600 บาท ซึ่งก็จะใกล้เคียงกับ iPhone 13 ที่มีอายุ 3 ปีกว่าที่ราคามือสองต่างกันแค่ประมาณ 1,000 บาทเท่านั้น แต่ต้องถือว่าใช้มาคุ้มมาก เพราะค่าเสื่อมเฉลี่ยแล้วเหลือแค่เดือนละ 389 บาทเท่านั้น เรียกว่าลดลงมาเกือบครึ่ง ส่วนถ้าถอยมาเป็น iPhone 12 และ 11 ต้องบอกว่าถ้าขายแล้วไปซื้อ iPhone 16 อาจจะเจ็บตัวหนักหน่อย เพราะราคามือสองที่ขายในตลาดกันตอนนี้ลดลงมาเหลือเพียง 7,xxx บาทเท่านั้น ลดลงจาก iPhone 13 เป็นเท่าตัว ซึ่งยอดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อ 16 นั้นเท่า ๆ กับราคา iPhone 16e เลยก็ว่าได้ ทำให้การตัดสินใจขาย iPhone ที่อายุ 2-3 ปี น่าจะเป็นทางเลือกที่เจ็บตัวน้อยสุด
ทำให้ถ้าหากมองดูจากราคามือสอง ค่าเสื่อมต่อปี และยอดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่ม การเปลี่ยน iPhone รุ่นปกติทุก 1 ปีดูจะเป็นจุดที่ยังไม่ถึงกับคุ้มทุนมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองจากเทคโนโลยีที่มีการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้าไม่ชัดเจนเท่ากับรุ่นโปร ส่วนถ้าเป็นเครื่องอายุ 2-3 ปี ต้องบอกว่าแล้วแต่ความต้องการและกำลังทรัพย์ได้เลย เพราะราคามือสองและส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มนั้นแทบจะเท่า ๆ กัน แล้วถ้ายิ่งใช้นานก็ยิ่งหารค่าเสื่อม ค่าใช้งานต่อวันลงมาได้ถูกลงไปอีก ดังนั้นส่วนตัวผมจึงมองว่าการเปลี่ยน iPhone รุ่นธรรมดาในทุก 2-3 ปีน่าจะเป็นจุดที่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มกว่า ทั้งยังได้เทคโนโลยีที่สดใหม่กว่าอย่างเห็นได้ชัดกว่าการเปลี่ยนเครื่องทุกปีด้วย
ทีนี้ถ้าขยับมาเป็นรุ่น Pro Max ซึ่งเป็นอีกรุ่นยอดนิยมของผู้ใช้ iPhone กันบ้าง แนวโน้มก็จะคล้ายกัน แต่รอบนี้ต้องบอกว่าจะ iPhone 15 Pro Max จะพิเศษหน่อยตรงที่ความจุเริ่มต้นนั้นเป็น 256GB ในขณะที่ Pro Max รุ่นเริ่มต้นของปีก่อน ๆ หน้าจะอยู่ที่ 128GB หรือ 64GB เท่านั้น ทำให้ฐานราคา iPhone 15 Pro Max ขยับสูงขึ้นอย่างชัดเจนทั้งเครื่องมือหนึ่งและมือสอง แต่ถ้าเทียบเปอร์เซ็นต์ราคาตกก็จะอยู่ในช่วงประมาณ 40% เหมือนกับ iPhone 15 รุ่นปกติที่มีอายุตลาดเท่า ๆ กันอยู่ดี แต่ด้วยฐานราคามือสองที่สูงขึ้น ก็ทำให้การขาย iPhone 15 Pro Max ไปซื้อ 16 Pro Max ดูจะน่าสนใจขึ้นมา เพราะยอดที่ต้องจ่ายเพิ่มจะอยู่ที่ประมาณ 19,000 บาท ในขณะที่ถ้าเป็นรุ่นก่อนหน้า ยอดที่ต้องจ่ายนั้นพุ่งขึ้นสูงแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
แต่ในกรณีที่ต้องการความคุ้มค่าจากการใช้งาน ไม่ต้องการเปลี่ยนเครื่อง ย้ายข้อมูลกันบ่อย ๆ ทุกปี ตัวเลือกของการใช้งานซัก 2-3 ปีแล้วค่อยขายก็ยังคงให้ความคุ้มค่าที่ดีอยู่ ราคาขายต่อยังไม่เจ็บช้ำน้ำใจกันเกินไป แถมถ้าพอมาดู iPhone 12 Pro Max พอหารค่าเสื่อมรายเดือนออกมาแล้วแทบจะไม่ต่างจาก 13 Pro Max เท่าไหร่เลยด้วย แต่ราคามือสองนั้นต่างกันถึง 8,000 บาท ซึ่งก็ส่งผลมาถึงยอดเงินที่ต้องโปะเพิ่มตอนจะซื้อ 16 Pro Max ที่ต้องสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดด้วย
ดังนั้นถ้าหากต้องการขายรุ่น Pro Max ไปซื้อ Pro Max รุ่นล่าสุด ก็ควรจะตัดขายที่อายุ 2-3 ปีจะกำลังดี เครื่องไม่ช้ำจนเกินไป ยังขายได้ราคาอยู่ ค่าเสื่อมก็ต่างกันไม่เยอะมาก จะลากไปปีที่ 4 ก็ยังพอไหว แต่ส่วนตัวมองว่ายอดที่ต้องจ่ายเพิ่มตอนซื้อเครื่องใหม่จะค่อนข้างสูงเกินไปหน่อย ซึ่งฝั่งของ iPhone รุ่นปกติก็จะใกล้เคียงกัน
เทคโนโลยีที่ต่างกันในแต่ละรุ่น
อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนหรือซื้อมือถือใหม่ ก็คือความต้องการใช้งานเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาในรุ่นใหม่ รวมถึงการที่รุ่นเก่าไม่สามารถใช้งานบางฟังก์ชันได้ แม้จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเดียวกับรุ่นใหม่ก็ตาม และยังรวมถึงกรณีของดีไซน์ตัวเครื่องที่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปด้วย แต่ในฝั่งของ iPhone ต้องบอกว่าในระยะหลังมักจะมีการปรับดีไซน์เพียงเล็กน้อยในแต่ละรุ่น บางครั้งถึงกับต้องเป็นผู้ที่ติดตามหรือค้นหาข้อมูล iPhone ซักนิดนึง ถึงจะแยกความแตกต่างของแต่ละรุ่นได้ในทันที
ส่วนในด้านของเทคโนโลยีก็จะยิ่งแยกยากขึ้นไปอีก เพราะหลายครั้งเป็นการปรับที่ไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบการใช้งานมากนัก แต่จะเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานบางอย่างให้สะดวกขึ้น เร็วขึ้นเล็กน้อย เช่น การเปลี่ยนชิปเซ็ตให้เร็วขึ้น แรงขึ้น ประหยัดพลังงานขึ้น ซึ่งในแง่ของการใช้งานทั่วไปก็อาจจะสังเกตความแตกต่างได้ยาก รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการซูมเพื่อถ่ายภาพใน iPhone รุ่นปกติ การเปลี่ยนจากสวิตช์เปิด/ปิดเสียงมาเป็นปุ่มแอ็คชั่น ที่ก็ต้องได้ใช้งานเครื่องจริง ๆ ถึงจะทราบความแตกต่าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้พอสมควร
อีกกลุ่มของเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่มเข้ามา แต่จะเป็นสิ่งที่อาจไม่ได้ใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันมากนัก มีเพียงการใช้งานบางรูปแบบเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ เช่น การเพิ่มโมดูล Ultra-wide band (UWB) เข้ามาเพื่อใช้งานร่วมกับพวก AirTag หรือใช้กับ iPhone ที่มี UWB ด้วยกัน เป็นต้น
ทำให้หากเป็นไปได้ ในระหว่างการพิจารณาว่าจะขาย iPhone เครื่องที่ใช้อยู่ไปซื้อเครื่องใหม่ ก็อาจจะลองดูก่อนว่าเครื่องใหม่นั้นมีฟีเจอร์ที่ต้องการใช้หรือไม่ เครื่องที่มีนั้นตอบโจทย์หรือยัง เพราะอาจจะช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่โดยมากแล้ว เครื่องรุ่นที่ต่างกันปีเดียว มักจะมีการขยับของเทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวกระโดดมากนัก เว้นแต่ว่า Apple จะยกเครื่องใหม่ ซึ่งก็คงต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยกันอีกที
เปอร์เซ็นต์สุขภาพแบตเตอรี่
เรื่องของสุขภาพแบตเตอรี่และรอบชาร์จที่ใช้ไป เป็นสิ่งที่ผู้ขายและซื้อ iPhone มือสองให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ และมีผลต่อราคาขายต่อเป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นสิ่งที่กระทบกับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งสะท้อนถึงประสบการณ์การใช้งานที่ผู้ซื้อต่อจะได้รับ และในอดีตยังอาจรวมถึงประสิทธิภาพเครื่องที่ลดลงเล็กน้อยด้วย ยิ่งใน iPhone รุ่นใหม่ ๆ นี้สามารถดูเปอร์เซ็นต์สุขภาพแบตและรอบชาร์จได้จากเมนูของ iOS โดยตรง ก็ทำให้เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญขึ้นไปอีกสำหรับการซื้อและขาย iPhone มือสอง
สำหรับ iPhone ที่ผ่านการใช้งานทั่วไป ไม่ได้ลากใช้จนแบตหมดเกลี้ยงบ่อย ๆ มีอายุการใช้งานราว 1 ปี อย่างเครื่องของผมเองมักจะมีเปอร์เซ็นต์สุขภาพแบตเตอรี่ลงมาเหลือที่ประมาณ 98%-95% และหลังจากนั้นก็จะลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุการใช้งาน ส่วนในปีที่สอง เท่าที่เคยขายออกไป สุขภาพแบตจะอยู่ที่ประมาณ 85% ซึ่งก็ใกล้ลงมาต่ำกว่า 80% ที่ระบบจะแจ้งเตือนให้เข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบและเปลี่ยนแบตแล้ว
จากปัจจัยด้านสุขภาพแบตเตอรี่ดังกล่าว ทำให้ถ้าหากต้องการขาย iPhone เป็นเครื่องมือสองให้ได้ราคาดี เพื่อนำเงินที่ได้ไปเป็นทุนซื้อเครื่องใหม่ การขาย iPhone ที่ใช้มา 1-2 ปีดูจะเป็นจุดที่ช่วยให้ราคาไม่ตกมาก ขายได้ง่ายกว่า iPhone ที่มีอายุมากกว่านั้น แต่ในกรณีที่เครื่องมีอายุมากกว่า 2 ปี หรือมีเปอร์เซ็นต์สุขภาพแบตที่ต่ำกว่า 80% แล้วไม่อยากเปลี่ยนแบต อันนี้แนะนำว่าถ้าจะขายก็ตั้งขายไปเลย ขอแค่ชี้แจงเปอร์เซ็นต์แบตตามจริง แล้วให้ผู้ซื้อต่อไปจัดการเปลี่ยนแบตเองจะดีกว่า เพราะส่วนตัวมองว่าการที่เครื่องถูกแกะเพื่อเปลี่ยนแบตแล้ว มีโอกาสที่จะถูกกดราคาจากฐานในตลาดลงไปอีกขั้น แต่ถ้าเป็นการแกะเปลี่ยนแบตที่ศูนย์ อันนี้มองว่าโอเคอยู่
การรับประกัน
ปิดท้ายด้วยประเด็นเรื่องการรับประกัน ปกติแล้ว iPhone เครื่องใหม่ทุกเครื่องจะมาพร้อมประกันศูนย์ 1 ปี แต่ก็สามารถซื้อแพ็คเกจ AppleCare+ เพิ่มได้ สำหรับในไทยก็จะเป็นการขยายระยะเวลารับประกันให้เป็น 2 ปี มีเพิ่มการประกันอุบัติเหตุให้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง (จ่ายค่าธรรมเนียมในการเคลมจอ/กระจกครั้งละ 1,000 บาท ความเสียหายอื่น ๆ 3,300 บาท) และที่สำคัญคือมีการรับประกันแบตเตอรี่ให้ ถ้าพบว่าแบตสามารถเก็บประจุได้ไม่ถึง 80% ของความจุเดิม หรือเกิดปัญหาที่มีสาเหตุจากแบตเตอรี่จริง ๆ
ซึ่งในประเด็นเรื่องของแบตเตอรี่ก็จะสอดคล้องกันกับหัวข้อด้านสุขภาพแบตเตอรี่ในข้างต้น ที่ iPhone อายุ 1-2 ปีมักจะยังมีเปอร์เซ็นต์สุขภาพแบตไม่ควรจะลดต่ำกว่า 80% ทำให้ถ้าหากต้องการขายเป็น iPhone มือสอง เครื่องที่ยังเหลือประกัน AppleCare+ อยู่ ซึ่งมีอายุไม่ถึง 2 ปีก็จะเป็นข้อได้เปรียบในการขาย ทำให้สามารถตั้งราคาได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องกดลงไปต่ำกว่าราคาเฉลี่ย เพราะด้วยระยะเวลา AppleCare+ ที่ยังเหลือ หากผู้ซื้อต่อพบปัญหาเกี่ยวกับแบตหรือตัวเครื่อง ก็ยังสามารถนำเครื่องเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบและเปลี่ยนอะไหล่ได้ฟรี ในกรณีที่ไม่ได้เป็นความเสียหายจากอุบัติเหตุ
แต่สิ่งที่อาจจะทำให้การตัดสินใจซื้อ AppleCare+ ไว้เพื่อเผื่อการขายต่อเป็นไปได้ยากนิดนึงก็คือราคาแพ็คเกจ AppleCare+ ในไทยเองที่ตอนนี้มีแต่แบบจ่ายเงินก้อนครั้งเดียวตอนซื้อเลย โดยราคาก็จะเป็นไปตามด้านบนนี้ อย่างใน iPhone รุ่นปกติก็ 5,790 บาทแล้ว ซึ่งหลายท่านอาจจะมองว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับผู้ที่ใช้เครื่องแบบค่อนข้างถนอม ไม่เคยทำตกจนเกิดความเสียหายเลย เพราะประโยชน์ที่จะได้ตอนขายต่อนั้นอาจจะไม่คุ้มกันกับค่า AppleCare+ เท่าไรนัก
ปิดท้ายนี้ จากหลาย ๆ ข้อก็ค่อนข้างจะเป็นไปในแนวทางเดียวกันว่า การเปลี่ยน iPhone ทุก 2-3 ปีดูจะเป็นจุดที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มค่าที่สุด ทั้งในแง่ของเงินที่ใช้ ค่าเสื่อมของเครื่องเก่า การขยับตามรอบเทคโนโลยี และสุขภาพแบตเตอรี่ที่ยังอยู่ในจุดสามารถขายเครื่องออกได้ไม่ยากนัก
ส่วนถ้าหากต้องการเปลี่ยนแบบปีต่อปี จริง ๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกับผู้ที่จะเน้นความง่ายในการปล่อยเครื่องเก่าออก ไม่ว่าจะผ่านการขายในตลาดมือสอง ขายผ่านหน้าร้านที่รับซื้อ รวมถึงการเทิร์นไปพร้อมกับการซื้อ iPhone ใหม่เลย เพราะจะยังได้ราคากลับคืนมาที่ค่อนข้างสูงอยู่ ขายง่าย สภาพเครื่องก็มักจะยังดีอยู่ เปอร์เซ็นต์ของปัญหาจากอายุการใช้งานก็ยังไม่มากนัก และได้ใช้ของใหม่ประจำปีไปตลอด เพียงแต่ก็จะเป็นการต้องลงเงินเพิ่มในส่วนนี้ทุก ๆ ปี ต้องย้ายข้อมูลทุกรอบที่ซื้อ แม้ว่าตัวระบบ iOS จะออกแบบมาให้การย้ายเครื่องทำได้ง่ายแล้วก็ตาม แต่หลาย แอปก็ยังบังคับว่าต้องเข้าไปล็อกอินใหม่ โดยเฉพาะแอปธนาคาร แอปสายการเงินหรือด้านระบบความปลอดภัยที่บางท่านอาจไม่สะดวกในการทำเรื่องนี้มากนัก
สุดท้าย ก็ต้องแล้วแต่ความพอใจของแต่ละท่านครับ ว่าสะดวกกับการเปลี่ยน iPhone เปลี่ยนมือถือทุกกี่ปี เพราะบางท่านอาจจะไม่ได้มองเรื่องเงินเป็นหลักด้วยซ้ำ เอาว่าเครื่องปัจจุบันยังใช้ได้ ยังตอบโจทย์ดี และเข้ามือแล้วก็ใช้ต่อไป แบบนี้ก็ไม่ผิดเช่นกัน หรือถ้าคิดเห็นอย่างไร พิมพ์มาในช่องคอมเมนต์ได้เลย