เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็เป็นวันแรกของงาน WWDC 2015 งานฝั่งซอฟต์แวร์ของ Apple ที่มีไฮไลท์คือการเปิดตัวระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ให้กับแต่ละผลิตภัณฑ์ของตน รวมถึงมีการสัมมนาและ workshop ให้กับเหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ในงานอีกด้วย สำหรับกลุ่มของผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ ที่น่าสนใจก็คือระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่แต่ละตัวนี่ล่ะครับ ที่มีเปิดตัวไปเมื่อคืนก็ได้แก่ OS X 10.11 El Capitan ของเครื่องแมค, iOS 9 ของพวก iPhone/iPad/iPod Touch และ watchOS 2 ของ Apple Watch รวมถึงมีการเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งเพลงออนไลน์ของตนเองอย่าง Apple Music (Music) ด้วย
สำหรับในบทความนี้ ผมจะขอสรุปข้อมูลและฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ watchOS 2 และ Apple Music ให้ได้อ่านกันครับ มีอะไรน่ารู้บ้าง มาชมกันเลย
watchOS 2
รองรับการทำงานของแอพแบบ native
อันนี้จะเห็นผลกับกลุ่มนักพัฒนาแอพมากกว่าครับ ทำให้สามารถพัฒนาแอพบน Apple Watch ได้ง่ายขึ้น ดึงเอาระบบการทำงานจากตัวแอพเวอร์ชันบน iOS มาทำงานบน watchOS ได้สะดวกกว่าแต่ก่อน ทั้งยังสามารถดึงประสิทธิภาพของ Apple Watch ออกมาได้เต็มที่กว่าเก่า ส่วนผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราก็คงได้ความรู้สึกที่ว่าแอพมันทำงานลื่นขึ้น ทำงานร่วมกับตัวแอพบน iOS ได้ดีกว่าเดิม และกินแบตเตอรี่น้อยลง อะไรประมาณนี้
สามารถนำรูปภาพมาเป็นภาพหน้าปัดนาฬิกาได้
เรียกว่าเป็นการสร้างความเป็นตัวของตัวเองบน Apple Watch ได้ดีเลยทีเดียว ทีนี้คงได้นั่งเปลี่ยนภาพหน้าปัดกันสนุกกว่าเดิมแน่นอน นอกจากจะใช้ภาพนิ่งได้แล้ว ยังสามารถใช้วิดีโอแบบ timelapse มาเป็นภาพหน้าปัดได้ด้วยเช่นกัน จากที่ดูตัวอย่างตอนนำเสนอ บอกเลยว่าดูสวยและดูดีมาก แต่ก็คงต้องแลกกับการซดแบตเตอรี่ฮวบๆ แน่นอน
แอพจากผู้ผลิตอื่นๆ สามารถแสดงข้อมูลบนหน้าปัดหลักได้
ปัจจุบัน เวลาใช้งาน Apple Watch แล้วต้องการดูข้อมูลจากแอพอื่นๆ ก็จำเป็นจะต้องเปิดแอพนั้นขึ้นมาดู ซึ่งบางทีมันก็คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่บน watchOS 2 นี้ Apple ได้เปิดให้ผู้พัฒนาแอพสามารถนำข้อมูลที่จำเป็นมาแสดงบนหน้าปัดหลักได้แล้วครับ จากในภาพตัวอย่างก็จะเห็นว่ามีขึ้นมาเพียบเลย ทั้งไฟลท์บิน, ระบบจัดการอุปกรณ์ในบ้าน, ระบบเชื่อมต่อกับรถยนต์เพื่อดูปริมาณไฟฟ้าที่ชาร์จอยู่ รวมถึงยังมีผลการแข่งขันกีฬาอีกด้วย ทำให้เราสามารถยกนาฬิกาขึ้นมาดูครั้งเดียว ก็เห็นข้อมูลที่จำเป็นแทบทั้งหมดได้เลย ไม่ต้องมาเปิดแอพ หมุนๆๆ ดูอีกต่อไปแล้ว
ท่องเวลา Time Travel ด้วยการหมุนเม็ดมะยม
ตอนนี้ ถ้าต้องดูข้อมูล ดูนัดหมายในลำดับถัดๆ ไป จำเป็นจะต้องใช้การเลื่อนนิ้วสัมผัสหน้าจอ Apple Watch ซึ่งดูไม่ค่อยสะดวกซักเท่าไหร่ แต่ใน watchOS 2 นี้ ได้เพิ่มความสามารถให้กับเม็ดมะยมข้างตัวเรือน ทำให้ผู้ใช้สามารถหมุนเม็ดมะยมเพื่อท่องเวลาไปดูนัดหมายในลำดับต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น
โหมดดูเวลาตอนกลางคืน พร้อมใช้เป็นนาฬิกาปลุกได้
อันนี้น่าจะเหมาะกับคนที่นิยมชาร์จแบต Apple Watch ไว้ที่หัวเตียงครับ เพราะถ้าเป็นเวลากลางคืน แล้วเราวาง Apple Watch ไว้ในแนวนอน หน้าปัดนาฬิกาก็จะปรับเป็นแนวนอน แสดงเวลาอยู่ตลอดในความสว่างระดับต่ำที่พอเพียงสำหรับการใช้งานกลางคืน นอกจากนี้ยังใช้เป็นนาฬิกาปลุกได้ด้วย ซึ่งปุ่มตรงเม็ดมะยมและปุ่มกดข้างๆ กันจะใช้เป็นปุ่ม snooze และปุ่มปิดเสียงปลุกไปเลยในตัว
เพิ่มเพื่อนได้มากขึ้น
สำหรับคนที่มีเพื่อนใช้งาน Apple Watch ด้วยกันเยอะๆ น่าจะชอบฟีเจอร์นี้ครับ เพราะทำให้สามารถติดต่อ ส่งรูปวาด พูดคุยกับเพื่อนได้สะดวกกว่าเดิม เนื่องจากสามารถเพิ่มเพื่อนเข้าไปได้มากกว่า 12 คนแล้ว ทั้งยังสามารถสร้างกลุ่มให้กับเพื่อนได้ด้วย ทำให้ค้นหาเพื่อนได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
วาดรูปได้หลากหลายสีกว่าเดิม
ฟีเจอร์การวาดรูปแล้วส่งให้เพื่อนบน Apple Watch นับเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ Apple ใช้นำเสนออยู่บ่อยๆ แต่กับใน watchOS รุ่นแรกสามารถใช้ได้แค่สีเดียวเท่านั้น ส่วนบน watchOS 2 ได้รับการอัพเกรดให้วาดภาพด้วยปากกามากกว่า 1 สีในภาพได้แล้ว ทีนี้ก็วาดรูปดอกไม้ได้สวยกว่าเดิมแล้วแหละนะ
ตอบกลับอีเมลได้จากใน Apple Watch ได้เลย
คราวนี้นอกจากจะอ่านอีเมลบน Apple Watch ได้แล้ว คราวนี้ยังเพิ่มความสามารถให้ตอบกลับอีเมลจากบนนาฬิกาได้เลย ไม่ต้องมาเปิด iPhone เพื่อตอบอีกต่อไป สำหรับรูปแบบการพิมพ์อีเมลตอบกลับนั้นไม่ใช่การจิ้มคีย์บอร์ดบน Apple Watch นะ แต่เป็นการเลือกตอบได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการตอบด้วยชุดข้อความที่มีอยู่แล้ว ตอบด้วยอีโมติคอน หรือจะตอบด้วยการสั่งพิมพ์ด้วยเสียงพูดก็ได้เช่นกัน (แน่นอนว่ายังไม่มีภาษาไทย)
Health ทำงานร่วมกับแอพอื่นๆ ได้ดีขึ้น
จุดนี้ก็จะเน้นพัฒนาระบบหลังบ้านให้ส่วนของ Health ทำงานร่วมกับแอพ tracking แอพช่วยดูแลสุขภาพจากผู้ผลิตรายอื่นๆ บน Apple Watch ให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น สามารถดึงข้อมูลมาแสดงรวมกับในส่วนของ Activity ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ไม่ต้องไปไล่เปิดแอพเพื่อดูข้อมูลให้วุ่นวายอีกต่อไป
Siri ฉลาดขึ้น สมเป็นเลขาส่วนตัวกว่าเดิม
หลักๆ ก็เน้นเรื่องความฉลาด เพิ่มความสามารถในการโต้ตอบ สามารถสั่งให้เปิดดูข้อมูลจากแอพอื่นๆ ได้ เช่น สั่งให้เปิดรูปล่าสุดในฟีด Instagram มาให้ดูได้ และที่สำคัญคือเปลี่ยนหน้าตาไปนิดหน่อยด้วย เป็นแบบแถบสีสเปคตรัมเหมือนกับของ iOS 9 เลย
เพิ่ม Apple Pay และ Wallet เข้ามาในตัว
แต่เดิมเวลาจะจ่ายเงินด้วย Apple Watch กระบวนการโดยคร่าวๆ คือ Apple Watch จะเป็นแค่ตัว NFC สำหรับรับส่งข้อมูลการซื้อสินค้า ข้อมูลบัตรจาก iPhone เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานเท่านั้น แต่ใน watchOS 2 เป็นต้นไป Apple จะจับเอา Apple Pay และ Wallet ที่รวมข้อมูลบัตรเครดิตต่างๆ ของเราที่ผูกไว้กับ iPhone เรามาอยู่ใน Apple Watch เลยครับ ก็น่าจะช่วยเพิ่มความสะดวก ความเร็วในการใช้งานได้นิดหน่อยนะ ที่คงจะสะดวกขึ้นแน่ๆ คือการเรียกดูข้อมูลคร่าวๆ ของบัตรที่สามารถดูได้จากนาฬิกาเลย ไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอีกต่อไป
เข้าถึงฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ต่างๆ ได้มากกว่าเดิม
หลักๆ เลยก็คือทำให้ผู้พัฒนาแอพและผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานฟีเจอร์พื้นฐานของ Apple Watch ได้มากขึ้นครับ ที่เห็นได้ชัดเลยจากการนำเสนอก็คือ เราสามารถบันทึกเสียงด้วยไมค์ในตัว, ฟังเพลง/เสียงจากลำโพงในตัว รวมถึงสามารถเล่นวิดีโอสั้นๆ เช่นจากแอพ Vine บนหน้าจอ Apple Watch ได้ด้วย
Apple Music (Music)
ต่อมาก็เป็นหนึ่งสิ่งใหม่ที่ Apple เปิดตัวเมื่อคืนนี้ครับ ถือเป็นหนึ่งบริการที่ลือกันมาได้ซักพักแล้ว และมันก็มาจริงเสียที กับบริการฟังเพลงออนไลน์ในลักษณะของการสตรีมมิ่งสดจากเน็ต แบบเดียวกับพวก Deezer, KKBox, Spotify และยังมีวิทยุให้ฟังกันได้ทั่วโลกอีก ซึ่งจุดเด่นและคุณสมบัติหลักๆ ของ Apple Music ก็มีประมาณนี้ครับ
- เป็นการสตรีมมิ่งเพลงทั้งหมดจากบน iTunes
- มีวิทยุจัดสดที่สามารถฟังได้ทั่วโลก (ใช้ชื่อเป็น Beats 1)
- สามารถคัดแนวเพลง ศิลปินที่ชอบได้
- มีระบบจัดเพลงที่สอดคล้องกับแนวที่ฟัง ด้วยการใช้คนจริงๆ ช่วยจัดและคัดแนวเพลง ไม่ได้เป็นระบบคัดอัตโนมัติ ซึ่งจุดนี้ Apple มองว่าเป็นการปฏิวัติวงการเพลงเลย
- มีระบบ Connect ขึ้นมา ให้ศิลปินแชร์ข้อมูล ความคืบหน้า คลิปวิดีโอ รูปถ่ายให้แฟนเพลงดูได้ (มันก็คือ iTunes Ping ที่กลับมาอีกรอบนั่นเอง)
- ศิลปินอิสระทั่วไป สามารถแชร์ข้อมูลของตนผ่าน Connect ได้ด้วย ไม่ได้จำกัดเฉพาะศิลปินดังเท่านั้น
- ตัวแอพ Music เปลี่ยนไอคอนใหม่ และใช้เป็นแอพฟังเพลงรวมกันทั้งเพลงในเครื่อง และเพลงแบบออนไลน์บนระบบ Apple Music
ส่วนตรงนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นข้อมูลสำคัญ และความเด็ดของ Apple Music เลย
- เริ่มเปิดใช้งาน 30 มิถุนายน 2558 นี้ ทั่วโลกร้อยกว่าประเทศ (คงมีไทยด้วยแหละ)
- 3 เดือนแรก ใช้งานฟรี !! หลังจากนั้น มีค่าใช้งานเดือนละ $9.99 หรือประมาณ 330 บาทต่อเดือน
- ถ้าสมัครใช้งานแบบครอบครัว (Family plan) จะอยู่ที่เดือนละ $14.99 หรือประมาณ 500 บาทต่อเดือน ใช้งานได้สูงสุด 6 คน เฉลี่ยเหลือตกคนละประมาณ 83 บาทต่อเดือนเอง
- จะมีแอพให้ใช้งานบน Android ด้วย !! (iTunes บน Windows ก็ใช้ได้เหมือนกัน)
ดูแล้วข้อสุดท้ายนี่น่าจะเป็นไฮไลท์สุดๆ เลยล่ะครับ ส่วนตัวผมว่าถ้าตัวแอพทำออกมาดี ไม่หน่วง เผลอๆ น่าจะเรียกผู้ใช้งานจากฝั่ง Android มาใช้บริการ iTunes กันได้อีกเยอะเลย เพราะเพลงบน iTunes นี้มีหลากหลายมาก เพลงไทยก็มีเยอะ แถมบริการ Google Musics ที่ซื้อเพลงได้ก็ยังไม่มาเปิดในบ้านเราซะที ดูแล้วน่าจะเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้ Android ที่อยากซื้อเพลง หรือใช้บริการสตรีมมิ่งเพลงออนไลน์ได้ดีเลยแหละ
ที่มา: PhoneArena, 9to5mac