หลังจากที่มีข่าวหลุดออกมามากมาย ในที่สุด iPhone รุ่นใหม่ปี 2017 ได้แก่ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อย โดย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะเป็นเหมือนรุ่นอัพเกรดจาก iPhone 7/ iPhone 7 Plus แต่ได้สเปคที่แรงกว่า ดีไซน์ที่ทนทานมากกว่า รวมถึงกล้องที่ใช้เซนเซอร์ใหม่ทั้งหมด
ส่วน iPhone X (ไอโฟนเท็น) ที่บนเวที Apple กล่าวว่ามันจะเป็นสมาร์ทโฟนแห่งอนาคต มาพร้อมกับดีไซน์ในแบบที่เคยหลุดมาแล้ว หน้าจอไร้ขอบ, ระบบสแกนใบหน้า Face ID, กล้องคู่เซนเซอร์ใหม่ มี OIS ทั้งสองกล้อง ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น แน่นอนว่ามาพร้อมกับชิป Apple A11 ที่แรงกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปในท้องตลาดเกือบ 2 เท่า
*หมายเหตุ ราคาไทยเป็นราคาโดยประมาณ ที่อ้างอิงจากสินค้า Apple รุ่นอื่นที่ขายในไทยแล้ว เช่น iPad Pro 10.5, Macbook Air*
iPhone 8/ iPhone 8 Plus ราคาในไทยเท่าไหร่?
สำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เปิดราคามาสูงกว่าตอน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เล็กน้อย และลดจำนวนรุ่นความจุลง เหลือเพียง 64 GB กับ 256 GB ตามลำดับ ราคา iPhone 8/ iPhone 8 Plus ที่ขายในไทยก็น่าจะประมาณนี้ครับ
- iPhone 8 ความจุ 64 GB ราคา $699 ประมาณ 27,000 บาท
- iPhone 8 ความจุ 256 GB ราคา $849 ประมาณ 32,000 บาท
- iPhone 8 Plus ความจุ 64 GB ราคา $799 ประมาณ 29,900 บาท
- iPhone 8 Plus ความจุ 256 GB ราคา $949 ประมาณ 35,300 บาท
iPhone X ราคาในไทยเท่าไหร่?
มาถึงรุ่นท็อปสุดของ Apple ในปี 2017 ได้แก่ iPhone X เปิดราคามาได้ปวดร้าวมาก ที่ค่าตัวเริ่มต้น $999 หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 37,000 บาทได้
- iPhone X (ไอโฟนเท็น) 64 GB ราคา $999 ประมาณ 37,100 บาท
- iPhone X 256 GB ราคา $1149 ประมาณ 42,500 บาท
iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ขายในไทยเมื่อไหร่?
กำหนดการวางจำหน่ายของ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้อยู่ในประเทศกลุ่มที่ 1 และมีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในกลุ่มที่ 3 เหมือนเคย เพราะฉะนั้น iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะมีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงประมาณปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน 2560
ส่วน iPhone X ที่ต่างประเทศเองมีกำหนดการวางจำหน่ายวันที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2560 ทำให้มีโอกาสที่จะเข้าประเทศไทยในปีหน้า หรือปี พ.ศ. 2561 เลยทีเดียว
สรุปข้อมูลเกี่ยวกับ iPhone X, iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
iPhone 8 ดีไซน์คล้ายเดิม แต่แข็งแรงขึ้น ส่วน iPhone X ก็ไร้ขอบไงล่ะ!!
ถึงแม้ว่าดีไซน์โดยรวมจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ว่ามีการเปลี่ยนใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัด โดย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีวัสดุตัวเครื่องเป็นกระจกกับอลูมิเนียม
ส่วน iPhone X จะใช้กระจกที่แข็งพิเศษและกรอบตัวเครื่องสแตนเลสให้ความแข็งแรงคงทนมากกว่า รวมถึงดีไซน์ก็แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด มาพร้อมกับดีไซน์แบบไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮม
ชิปเซ็ตตัวใหม่ Apple A11 เร็ว แรงขึ้นกว่าเดิม 70 %
ชิปใหม่ที่ถูกเปิดตัว และนำมาใช้กับ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X คือ Apple A11 Bionic ที่มาพร้อมกับ CPU 4 Core ประหยัดแบตซึ่งเร็วกว่าชิพ A10 Fusion ถึง 70% และ 2 Core ตัวแรง ที่แรงกว่าเดิม 25% (รวมเป็น 6 Core) ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบนิวรอล AI ที่จะคอยมาช่วยประมวลผลต่าง ๆ ให้เร็วยิ่งขึ้น
กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านเท่าเดิม แต่เซนเซอร์ใหม่หมด
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus (กล้องคู่) มาพร้อมกล้อง 12 ล้านพิกเซล มีแฟลช LED True Tone 4 ตัวเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่หมด สามารถถ่ายรูปได้สว่างขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 83% มีโหมด Portrait Lighting ให้ปรับแสงได้ความต้องการ รวมถึงสามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ดีขึ้น และที่สำคัญสามารถถ่ายวิดีโอได้ระดับ 4K 60 fps และถ่าย Slow-mo ที่ความละเอียด Full HD 240 fps ได้แล้ว
ส่วน iPhone X จะเหนือกว่าด้วยกล้องคู่เทเลโฟโต้ f/2.4 ทำให้ถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดีกว่า f/2.8 ของกล้องเทเลโฟโต้ใน iPhone 8 Plus
กล้องหน้า TrueDepth ล้ำหน้ากว่าที่เคย (เฉพาะ iPhone X)
*เฉพาะ iPhone X* กล้องหน้า TrueDepth ทำให้สามารถใช้ Portrait Mode และ Portrait lighting ได้เหมือนกับกล้องหลัง ของ iPhone 8 Plus นอกจากนี้ยังสามารถทำ Animoji ได้เป็นอีโมจิที่เคลื่อนไหวไปตามหน้าตาของผู้ใช้ได้อีกด้วย ส่วนกล้องหน้า iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังคงเป็นกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซลเท่าเดิม
หน้าจอ Super Retina HD แสดงผลได้ดีขึ้น คมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีใน iPhone
จอ OLED ขนาด 5.8 นิ้วบน iPhone X ถูกพัฒนามาเป็น Super Retina HD Display แบบใหม่ สามารถลบข้อด้อยของ OLED แบบเดิม ๆ ไปได้หมด มีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล 458ppi คอนทราสสูงถึง 1,000,000:1 กินพื้นที่หน้าจอของ iPhone X ทั้งหมด นอกจากนี้ยังรองรับมาตรฐาน HDR , HDR10 และ Dolby Vision ทำให้การแสดงผลบนหน้าจอนั้นทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนหน้าจอของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็มีขนาดเท่าเดิมคือ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้วตามลำดับ แต่มีการเพิ่มเรื่อง True Tone Display เข้ามา และมีขอบเขตสีที่กว้างกว่าเดิม
ระบบปลดล็อก Face ID และ Touch ID
Face ID เป็นระบบปลดล็อคเครื่องแบบใหม่เฉพาะใน iPhone X ใช้วิธีการจดจำใบหน้าของผู้ใช้ ไม่ว่าจะใส่แว่นตา เปลี่ยนทรงผม หรือหนวดขึ้นเต็มหน้า Face ID ก็สามารถจำผู้ใช้ได้ โดยที่ข้อมูลหน้าผู้ใช้จะถูกเก็บไว้บนเครื่อง และประมวลผลบนเครื่องเท่านั้น ไม่ส่งเข้าเซิร์ฟเวอร์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานกับ Apple Pay และแอพที่รองรับได้เหมือนกับ Touch ID
ส่วนระบบการปลดล็อกของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังคงเป็น Touch ID เหมือนกับตอน iPhone 7
ระบบชาร์จไร้สายก็มา
iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X รองรับการชาร์จไร้สายหรือ Wireless Charging ตามมาตรฐานของ Qi สามารถชาร์จผ่านแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi ได้เลย และ Apple เองก็ได้ออกที่ชาร์จไร้สายแบบใหม่ที่เรียกว่า AirPower มาพร้อมกันอีกด้วย สามารถชาร์จ iPhone, Apple Watch และ AirPods ได้พร้อมกันถึง 3 เครื่อง